ภายใต้ความคาดหวังของใครหลายๆคน วันที่นิกายมังกรสวรรค์จะเปิดรับสมัครศิษย์ก็ใกล้เข้ามาทุกที
เมื่อเหลือเวลาอีกครึ่งปีก่อนที่นิกายมังกรสวรรค์จะเปิดรับสมัครศิษย์ หลายๆคนที่อยู่ห่างจากนิกายมังกรสวรรค์ก็เริ่มเดินทางมายังละแวกใกล้เคียง และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่อะไร หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระ ก็มาจากตระกูลที่ไม่มีอำนาจอะไรมากนัก
สำหรับผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดแล้ว ถึงแม้ชีวิตจะมีอิสระเสรีไปไหนก็ได้ แต่ราคาของความอิสระก็คือทรัพยากรบ่มเพาะที่ไม่เพียงพอต่อการฝึกฝน
มีหลายคนนักที่ช่วงแรกๆรู้สึกสบายใจที่เป็นผู้ฝึกตนพเนจร แต่เมื่อมีลูกหลานทายาทขึ้นมา อาศัยความสามารถของตัวเองก็ไม่อาจสรรหาทรัพยากรบ่มเพาะมาสนับสนุนลูกหลานหรือเหล่าศิษย์ได้ และมักมาเสียใจเอาภายหลัง เช่นนั้นเมื่อนิกายมังกรสวรรค์เปิดรับสมัครศิษย์ พวกมันย่อมไม่พลาดโอกาสดังกล่าว
นิกายมังกรสวรรค์จะอย่างไรก็เป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ และเป็นดั่งจ้าวผู้ปกครองพื้นที่ภาคตะวันออกของเขตคฤหาสน์ตงหลิง
ในพื้นที่ละแวกนิกายมังกรสวรรค์ ก็จะมีขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทั้งขุมกำลังระดับราชาเทพมากมายรายล้อม ประหนึ่งดาวล้อมเดือน และขุมกำลังทีด้อยกว่าก็ให้ความเคารพต่อนิกายมังกรสวรรค์ กระทั่งมีจ่ายส่วยเพื่อไม่ให้นิกายมังกรสวรรค์ฮุบกลืน
สถานที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์นั้น ตั้งอยู่บริเวณจุดตัดของเทือกเขา 9 แนว เทือกเขาดังกล่าวคนในพื้นที่ก็เรียกมันว่าเทือกเขา 9 มังกร สิ่งที่สำคัญก็คือบริเวณจุดตัดของแนวเทือกเขาทั้ง 9 นั้น มีสายแร่หินเทพที่อุดมสมบูรณ์ ถึงขั้นผลิดผลึกเทพออกมาได้
ผลึกเทพที่ว่า ก็เหมือนกันกับผลึกเทพที่อยู่ในจี้ห้อยคอของฮ่วนเอ๋อ ซึ่งนางเคยให้ต้วนหลิงเทียนเอาไว้ใช้บ่มเพาะพลังครั้งยังอยู่ในระนาบเทวโลก
แม้แต่ในระนาบเทพเอง ผลึกเทพก็จัดว่าเป็นสิ่งล้ำค่า
ผลึกเทพ 1-2 ชิ้น สามารถนำไปแลกหินเทพได้ 100-200 ตำลึง
สายแร่หินเทพ และเหมืองที่สามารถขุดผลึกเทพออกมาได้นั้น โดยปกติแล้วก็จะอยู่ภายใต้การครอบครองของขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ
“สถานที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์นั้นมีอาณาบริเวณกว้างขวางใหญ่โต เจ้าเห็นแนวเทือกเขาทั้ง 9หรือไม่ บริเวณส่วนปลายด้านหนึ่งของพวกมันจะไปบรรจบกัน และจุดตัดดังกล่าวก็เป็นสถานที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์…ค่ายกลพิทักษ์ของนิกายมังกรสวรรค์เอง ก็ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางทั้งหมด”
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าไม่ไกลจากสถานที่ตั้งนิกายมังกรสวรรค์มากนัก ปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งกำลังชีมือชี้ไม้บอกเล่าเรื่องราวต่อชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ
พอชายหนุ่มมองตามมือชายชราไป มันก็แลเห็นแนวเทือกเขาสุกไพศาล 9 แนวประหนึ่งมังกรทั้ง 9กำลังฟุบหมอบโดยมีปลายด้านหนึ่งบรรจบกัน มองจากฟ้าสูงแล้วช่างแลดูโออ่าน่าเกรงขามอยู่บ้าง
“ครั้งนี้ข้าจะผ่านการทดสอบ และเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ให้ได้!”
ชายหนุ่มมีรูปลักษณ์แลดูธรรมดาไม่โดดเด่นอะไร ทว่ายามกล่าวสีหน้ามันกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ด้วยพรสวรรค์กับความเข้าใจของเจ้า เรื่องจะเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ไม่ถือว่ายากเย็นอะไร…หลังจากเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ในฐานะศิษย์ฝ่ายนอกได้แล้ว เจ้าตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะและขยันทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้มาก เพื่อที่จะได้เลื่อนระดับเป็นศิษย์ฝ่ายในโดยเร็วที่สุด”
ชายชรากล่าวกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อีกครึ่งปีหลังจากนี้ นิกายมังกรสวรรค์ไม่เพียงแต่จะเฟ้นหาศิษย์ฝ่ายในกับศิษย์ฝ่ายนอกที่มีอายุไม่ถึง 10,000 ปีเท่านั้น ยังเฟ้นหาผู้อาวุโสทั้งผู้ดูแลทั้งฝ่ายในฝ่ายนอกรวมๆแล้ว 5,000 ตำแหน่ง…ด้วยพลังฝีมือของปู่หากไปเข้าร่วมการทดสอบ ก็น่าจะผ่านการทดสอบและกลายเป็นอาวุโสฝ่ายนอกได้อยู่”
ได้ยินคำพูดของชายชรา ชายหนุ่มก็ส่ายหัวไปมา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ท่านปู่ หากตอนนั้นท่านเลือกจะเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์แต่แรก ป่านนี้ท่านอาจได้เป็นอาวุโสฝ่ายในไปแล้วก็เป็นได้”
“ใต้หล้าไร้โอสถรักษาอาการเสียใจ…”
ชายชราคลี่ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา “ตอนนี้ถึงปู่จะเสียใจ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ปู่เพียงหวังว่าเจ้าจักไม่เดินตามรอยปู่…”
“ก็ถือว่าได้อย่างเสียอย่าง เพราะชั่วชีวิตที่ผ่านมาปู่ก็มีอิสระไม่ต้องตกอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์และข้อบังคับของนิกาย”
ชายชราถอนหายใจ
อันที่จริงมีอีกเรื่องหนึ่งที่ชายชราไม่ได้กล่าวบอกต่อผู้หลาน
นั่นก็คือ หายนะสวรรค์ที่จะมาถึงในอีก 300 ปีหลังจากนี้ มันไม่มีความมั่นใจว่าจะข้ามผ่านได้เลย กระทั่งรู้สึกว่า 9 ใน 10 ส่วนว่ามันอาจจะต้องจากโลกนี้ไป เช่นนั้นสิ่งที่มันคาดหวังมากที่สุดตอนนี้ก็คือให้หลานของมันพบบ้านอันดี ไม่ต้องใช้ชีวิตระหกระเหินเฉกเช่นมัน
และนิกายมังกรสวรรค์ก็เป็นตัวเลือกที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
…
“ท่านพ่อ พวกเราไม่ต้องรีบถึงขนาดนี้ก็ได้กระมัง มิใช่ว่ายังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งปีก่อนที่นิกายมังกรสวรรค์จะเปิดรับสมัครคนหรือไร?”
ภายในเรือเหาะระดับราชาเทพที่กำลังเหินข้ามผ่านผืนดินอันกว้างใหญ่สุดไพศาล ชายหนุ่มในชุดผ้าทออ่างดีปักลายหรูหรา ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามชายวัยกลางคนที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศไม่ไกล
ได้ยินคำถามดังกล่าวของลูกชาย ด้านชายวัยกลางคนก็ลืมตาขึ้นมา จากนั้นรอยยิ้มก็เริ่มคลี่กลางขึ้นบนใบหน้าจริงจัง “จ้งเอ๋อ หากเทียบกับการอยู่บ้านว่างๆแล้ว การไปก่อนก็ถือว่าเป็นเรื่องดี…นอกจากนั้นการที่ไปถึงสถานที่เร็วหน่อย ก็อาจมีประโยชน์สำหรับเจ้า”
“ประโยชน์?”
ชายหนุ่มในชุดผ้าทอปักลายหรูหรา เอ่ยถามด้วยความสงสัย
ชายวัยกลางคนก็ยิ้มตอบลูกชายไปว่า “การทดสอบเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกก็ดีศิษย์ฝ่ายในก็ดี ก่อนหน้านี้ลักษณะการสอบสามารถอาศัยความร่วมมือกันได้…ข้าพาเจ้าไปถึงที่นั่นก่อน ไม่แน่เจ้าอาจได้รู้จักสหายสัก 2-3 คน จากนั้นเมื่อพวกเจ้าร่วมมือกัน ก็อาจผ่านการประเมินทดสอบช่วงแรกๆได้ไม่ยาก”
“จากการประเมินครั้งก่อน แม้ด้วยพลังฝีมือของเจ้าอาจจะผ่านได้ แต่หากช่วยกันหลายแรงไยมิใช่ง่ายกว่าเดิมเล่า? หากเริ่มมาดี การทดสอบช่วงหลังๆเจ้าก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
ได้ยินดังนั้น สองตาชายหนุ่มก็ลุกวาวขึ้นมาทันที “ยังเป็นท่านพ่อที่คิดคำนวณได้กระจ่าง”
“เป็นไร ตอนนี้ไม่บ่นแล้ว?”
ชายวัยกลางคนยิ้มถาม
ชายหนุ่มก็ได้แต่คลี่ยิ้มโง่งม “เป็นข้าสายตาสั้นไม่อาจมองการณ์ไกลจนทำให้ท่านพ่อผิดหวังแล้ว…”
“เอาล่ะ เจ้ารู้แล้วก็ดี และการทดสอบคราวนี้พ่อไม่ได้ต้องการอื่นใดมากนัก เพียงแค่เจ้าผ่านการทดสอบประเมิณศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสรรค์ได้ พ่อก็ภูมิใจในตัวเจ้าแล้ว…ส่วนการแข่งขันมังกรซ่อนนั้น พ่อไม่ได้คาดหวังให้เจ้าได้อันดับดีเด่อะไร”
ชายวัยกลางคนกล่าว
“เอ๋าท่านพ่อ ไหงท่านพูดงี้ล่ะ ข้าเป็นลูกแท้ๆของท่านรึเปล่า ท่านคงไม่ได้เก็บข้ามาเลี้ยงหรอกนะ?”
ชายหนุ่มย่นคิ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “ข้าเองก็เป็นถึงอัจฉริยะที่ร้ายกาจที่สุดในตระกูล ลูกบ้านรองสู้ข้าได้ที่ไหนกัน เช่นนั้นการแข่งขันมังกรซ่อนนั่น ถึงข้าอาจไม่มีปัญญาติด 1 ใน 10 แต่ถ้าแค่ 100 อันดับแรกล่ะก็ ข้าเชื่อว่าทำได้อยู่!”
“โอ้! 100 อันดับแรกเชียวรึ?”
ชายวัยกลางคนหัวเราะ ก่อนจะส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม “อันธพาลน้อยเจ้า อย่าได้พูดถึง 100 อันดับแรกเลย ขอเพียงเจ้าติด 500 อันดับแรกได้ บิดาคนนี้สามารถเอากลับไปโม้สหายได้หมื่นปีแล้ว”
ชายวัยกลางคนเองก็รู้สึกพูดไม่ออกกับความไม่รู้ของลูกชายอยู่บ้าง เพราะลูกชายมันไม่เคยพบเจอเหล่าอัจฉริยะที่แห่แหนมาจากทุกทั่วสารทิศเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนโดยเฉพาะ คนเหล่านั้นมีใครไม่ใช่อัจฉริยะที่ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพฟูมฟักมาอย่างดีบ้าง? เอาแค่อัจฉริยะจากขุมกำลังระดับราชาเทพเหมือนตระกูลมันก็มีจนนับไม่ถ้วนแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ตระกูลของมันจะเป็นตรระกูลระดับราชาเทพที่ปกครองเมืองเล็กๆอยู่ แต่ในละแวกพื้นที่นิกายมังกรสวรรค์ พวกมันไม่ต่างอะไรกับตระกูลราชาเทพระดับล่างๆเลย
“โธ่ท่านพ่ออะ! จะดูเบาข้าเกินไปแล้ว! ท่านรอดูได้เลย…ข้าต้องติด 100 อันดับแรกได้แน่!”
ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ
ชายวัยกลางคนเห็นลูกชายมั่นใจ ก็ไม่อยากบั่นทอนกำลังใจอีกฝ่าย ในสายตาของมันลูกชายตัวเองก็เหมือน กบน้อยก้นบ่อ ไม่เคยเห็นโลกกว้าง พอพบเจอกับความโหดร้ายของการแข่งขันมังกรซ่อนเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นลูกชายมันก็จะตระหนักได้เอง ว่าถึงแม้จะโดดเด่นในตระกูลแค่ไหน แต่พอออกมาสู่โลกกว้างแล้ว ก็ถือว่าเป็นคนธรรมดาเท่านั้น…
…
ณ นิกายหมื่นปีศาจ
บริเวณยอดเขาแห่งหนึ่ง ปรากฏร่าง 3 ร่างยืนอยู่อย่างเงียบงัน และทุกคนล้วนมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม
ชายหนุ่ม 2 คนที่หน้าตาละม้ายคล้ายกัน 4-5 ส่วน กำลังมองไปยังชายหนุ่มอีกคน ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
ชายหนุ่มคนนี้มาในชุดคลุมสีดำสนิทไร้ลวดลาย เส้นผมยาวสวยถูกปล่อยไว้พาดหลังไม่รวบมัด ยามสายลมโชยพัดเส้นผมของมันก็ปลิวสยายไปตามแรงลม คนแม้ยืนอยู่เฉยๆกลับให้ความรู้สึกสง่างามมีพลัง ทั้งรวมกับความเย็นชาที่ราวกับจะผลักไสผู้อื่นให้ล่าถอยห่างไปพันลี้นั่น กลับหนุนเสริมบุคลิกของมันให้ดูเหมือนเจ้าชายเย็นชาอ่างไรอย่างนั้น
“พี่เชียนเย่ ท่านต้องรีบกลับไปขนาดนี้เลยหรือ?”
หนึ่งใน 2 ชายหนุ่มที่ยืนเคียงกัน คนที่แลดูอ่อนวัยกว่า ได้แต่เอ่ยถามชายหนุ่มคลุมดำออกมาด้วยสีหน้าน้ำเสียงไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
“เสี่ยวเชียนจวิน…”
ชายหนุ่มชุดดำคนนี้ มันคือรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของนิกายหมื่นปีศาจ หยางเชียนเย่ บุตรชายแท้ๆของหลานชิง ประมุขนิกายหมื่นปีศาจ
ส่วนเหตุผลที่ไฉนมันถึงไม่ใช่แซ่หลานตามหลานชิงผู้เป็นบิดานั้น เป็นเพราะมารดาของมันได้สละชีวิตเพื่อช่วยหลานชิงเอาไว้ เช่นนั้นหลานชิงที่สลักความดีของภรรยาเอาไว้ในใจมาโดยตลอด ก็ปล่อยให้ลูกชายคนเดียวของมันใช้แซ่หยางตามผู้เป็นมารดา
หยางเชียนเย่ คลี่ยิ้มอันหาได้ยากออกมา ขณะมองไปยังหลานชายคนรองของ ตู้จ้าน อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายหมื่นปีศาจ ตู้เชียนจวิน “หลังจากนี้ครึ่งปีเจ้าที่จะไปนิกายมังกรสวรรค์กับพี่ชายเจ้าต้องระวังท่าทีให้มาก…นิกายมังกรสวรรค์ไม่เหมือนนิกายหมื่นปีศาจ ที่นี่เจ้าอาจทำอะไรตามใจชอบและไม่สนกฏระเบียบอะไรยังหาเรื่องผู้ใดก็ได้ แต่ในนิกายมังกรสวรรค์นั้น มี ‘ตอเหล็ก’ อยู่มากมาย เจ้าอย่าได้เอานิสัยเก่าไปใช้ที่นั่นซะเล่า….”
“หลังไปถึงนิกายมังกรสวรรค์แล้ว เจ้าเชื่อฟังพี่ชายของเจ้าให้มากรู้หรือไม่?”
ขณะหยางเชียนเย่มองกล่าวกับตู้เชียนจวินนั้น สายตาของมันก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เพราะมันเองก็เห็นตู้เชียนจวินมาแต่เล็กแต่น้อย และเห็นอีกฝ่ายเป็นดั่งน้องชายแท้ๆคนหนึ่งของตัวเอง กระทั่งวันคล้ายวันเกิดของตู้เชียนจวินเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน มันยังมอบเรือเหาะระดับราชาเทพให้อีกฝ่ายเป็นของขวัญ ต้องทราบด้วยว่ามันเองก็มีเรือเหาะระดับราชาเทพอยู่แค่ลำเดียวเท่านั้น มันรักและเอ็นดูตู้เชียนจวินแค่ไหน ดูจากจุดนี้ก็ทราบได้
“ข้ารู้แล้วน่าพี่เชียนเย่…”
ต่อหน้าหยางเชียนเย่ ตู้เชียนจวินคล้ายเด็กน้อยว่านอนสอนง่ายคนหนึ่ง หากต้วนหลิงเทียนมาเห็นตู้เชียนจวินในสภาพเด็กดีเช่นนี้คงอดแปลกใจไม่ได้แน่ เพราะเมื่อเทียบกับตู้เชียนจวินที่เขาพบเจอในเทพซ่อนของจักรพรรดิเทพฉินหวู่นั้น มันช่างแตกต่างออกไปราวคนละคน เพราะขานั้นช่างแลดูเย่อหยิ่งถือดี จองหองเป็นที่สุด
“พี่เชียนเย่…”
สองตาตู้เชียนจวินฉายแวววาดหวังออกมา “ไฉนท่านไม่แจ้งต่อผู้ส่งสารคนนั้น ว่าให้พาท่านไปหลังจากนี้ครึ่งปีเล่า? เช่นนั้นท่านก็จะได้เห็นข้าทำผลงานดีๆในการแข่งขันมังกรซ่อนอย่างไรเล่า และข้าเชื่อมั่นว่าต้องติด 100 อันดับแรกได้แน่นอน!”
“เชียนจวินอย่าดื้อ!”
ทว่ารอบนี้ไม่ทันที่หยางเชียนเย่จะได้พูดอะไร ชายหนุ่มที่ยืนข้างๆตู้เชียนจวินพลันกล่าวออกมาเสียงแข็ง “ผู้ส่งสารท่านนั้น สถานะสูงส่งเพียงใด เจ้าคิดจะให้ผู้อื่นเสียเวลาตามใจเจ้าได้อย่างไร สิ่งที่เจ้าสมควรทำตอนนี้มิใช่ดื้อดึงเอาแต่ใจ แต่เป็นการอวยพรให้พี่เชียนเย่ของเจ้า สร้างชื่อเสียงในขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่ติด 5 อันดับแรกในเขตคฤหาสน์ตงหลิงของพวกเราจนเป็นที่เลืองลือ! จะได้เป็นหน้าเป็นตาแก่นิกายหมื่นปีศาจของเรา”
ชายหนุ่มที่กล่าวตำหนิตู้เชียนจวินก็ไม่ใช่ใครอื่น มันคือตู้ปั้วจวิน พี่ชายแท้ๆของตู้เชียนจวินเอง
ตู้ปั้วจวินเองก็ถือเป็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะของนิกายหมื่นปีศาจเช่นกัน เรียกว่ามันเป็นรองก็แต่หยางเชียนเย่เท่านั้น หากไม่มีหยางเชียนเย่แล้วล่ะก็ ตำแหน่งรุ่นเยาว์อัจฉริยะอันดับ 1ของนิกายหมื่นปีศาจไม่พ้นต้องเป็นของมัน กล่าวได้ว่ามันเกิดมาผิดยุคสมัย และต้องโดนหยางเชียนเย่กดหัวอยู่ร่ำไป
เพียงแต่ว่า มันไม่ได้ไม่พอใจอะไรในเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว
เนื่องจากหยางเชียนเย่นั้นเติบโตมาด้วยกันกับมันตั้งแต่ยังเด็ก และยังสนิทกันปานพี่น้องแท้ๆ
“เสี่ยวเชียนจวิน”
หยางเชียนคลี่ยิ้มกล่าวว่า “รอให้ข้าตั้งหลักที่นั่นได้เมื่อไหร่ ข้าจะหาเวลาแวะไปเยี่ยมเจ้าที่นิกายมังกรสวรรค์ ถึงตอนนั้นพี่เชียนเย่จะเอาของขวัญดีๆไปให้เจ้า และรับรองได้เลยว่ามันไม่เลวร้ายไปกว่าเรือเหาะระดับราชาเทพแน่นอน”
นิกายที่หยางเชียนเย่จะไปเข้าร่วมนั้น ถือเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่ทรงพลังที่สุดในเขตคฤหาสน์ตงหลิง หลังจากที่มันได้รับการทาบทามจากขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้ามากมาย ในที่สุดมันก็เลือกนิกายนี้
หากยึดเอาจากในโลกมนุษย์ที่ต้วนหลิงเทียนอาศัยอยู่ในชีวิตก่อน หยางเชียนเย่คนนี้ก็เหมือนเด็กมัธยมปลาย ที่ถูกมหาลัยดังมาแย่งกันดึงตัว ก่อนที่จะสอบวัดผลการศึกษาครั้งใหญ่อะไรประมาณนั้น