“ต้วนหลิงเทียน!”
ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะคุยกับมู่หรงสุยเฟิงไม่ทันจบคำดี เสียงผ่านพลังหนึ่งก็ดังขึ้นในหูเขา แถมน้ำเสียงยังอ่อนโยนรื่นหูเจือไว้ด้วยความยินดีหลายส่วน
ได้ยินแค่เสียงต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าเป็นใคร
“เจ้าก็มาด้วยหรือ…”
สองตาต้วนหลิงเทียนกวาดผ่านร่างศิษย์นิกายหมอกเร้นลับทั้งหลายไปหยุดลงบนร่างคนๆหนึ่ง
“อื้อ”
ถังอู๋เยียนเอ่ยตอบเสียงเบา ดวงตาคู่งามของนางที่มองต้วนหลิงเทียนอยู่ฉายแววซับซ้อนไม่น้อย ด้วยนางเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆที่นางคิดว่าจะสามารถลืมชายหนุ่มเบื้องหน้าได้แล้ว แต่พอได้เจอกันอีกครั้งใจยังหวั่นไหวเช่นเคย
ความรู้สึกที่ถูกเก็บตายไว้ในใจ เหมือนจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งใจที่คิดว่าชินชาไปแล้วยังเต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม
“เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
หลังสูดลมหายใจเข้าพักหนึ่ง ถังอู๋เยียนก็เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ก็ดี”
ต้วนหลิงเทียนตอบสั้นๆ และไม่คิดจะพูดอะไรสืบต่อ ทำให้ถังอู๋เยียนที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบนางบ้าง ก็ได้แต่เงียบไป
ไม่เจอกันเนิ่นนาน แต่เจ้ายังเฉยเมยกับข้าเช่นนี้หรือ?
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่อบถอดถอนในใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นความคาดหวังในแววตาของถังอู๋เยียน เลือกที่จะหันหน้าไปมองคนอื่นแทน
และการกวาดตามองไปครั้งนี้ เขาก็พบว่านอกจากประมุขนิกายหมอกเร้นลับ เฉียนหยิ่น อาวุโสเหล่ย และถังอู๋เยียนแล้วก็ไม่มีใครในนิกายหมอกเร้นลับที่เขารู้จักอีกเลย
สุดท้ายเขาก็เลิกสนใจคนของนิกายหมอกเร้นลับ และหันไปมองโหวชิ่งหนิงที่ลอยร่างไม่ห่างมู่หรงอวิ๋นเยว่มากนัก และไม่ว่าใครก็ล้วนนิ่งเงียบคล้ายเหม่อคิดอะไรอยู่ ไม่พ้นเพราะเรื่องที่คุยกับเขาเป็นแน่
‘หากเป็นอย่างที่คิดไว้ก็ดี…และเจ้าโหวชิ่งหนิงนั่น หลังบิดาไปทำเรื่องสู่ขอมู่หรงอวิ๋นเยว่แล้วเสร็จก็หวังว่าจะไม่ดื้อรั้นอะไรอีก หาไม่แล้วมู่หรงอวิ๋นเยว่คงต้องผิดหวังอย่างแรง’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
ขณะเดียวกัน ด้านเฉียนหยิ่นประมุขนิกายหมอกเร้นลับ กับอาวุโสเหล่ยก็นำพาศิษย์นิกายหมอกเร้นลับเข้ามาทัก ยอดฝีมือทั้ง 2 ของตระกูลมู่หรง รวมถึงอาวุโสทั้ง 3 ของตระกูลหลิงหูที่นำพารุ่นเยาว์ทั้งหลายเดินทางมาวันนี้
ในฐานะขุมกำลังระดับจอมราชันที่อยู่ใกล้กัน พวกมันย่อมรู้จักกันมานาน หรือให้กล่าวว่าเสาหลักของแต่ละขุมกำลังทั้งหลายไม่ว่าใครก็ต้องเคยพบเจอกันบ่อยครั้ง ส่วนจะสนิทหรือไม่สนิทนั้นก็อีกเรื่อง
ด้านตระกูลมู่หรงนั้น นำมาโดยผู้นำตระกูลมู่หรงกับชายชราที่ติดตามข้างกาย
ส่วนตระกูลหลิงหูก็เป็นหลิงหูเจิ้งซิง ผู้เฒ่าเหิง และผู้เฒ่าฮวน
และผู้นำของทั้ง 3 ขุมกำลังที่มาครั้งนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องราวบาดหมางแต่อย่างใด เช่นนั้นจึงพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันด้วยดี ทุกคนยังทำเหมือนลืมเลือนมรสุมโลหิตในเมืองหลิงหูที่มีอาวุโสฟงเป็นต้นเหตุเมื่อ 20 ปีก่อนหมดสิ้น
อันที่จริงตั้งแต่ที่นิกายหมอกเร้นลับประกาศขับไล่คนในสายอาวุโสฟงออกจากนิกายหมอกเร้นลับนั้น ตระกูลหลิงหูกับนิกายหมอกเร้นลับก็เสมือนได้สลายความขัดแย้งไปโดยปริยาย
ตระกูลหลิงหูไม่อาจกล่าวโทษนิกายหมอกเร้นลับได้อีก และไม่มีเหตุผลที่ต้องกล่าวโทษ
จนเมื่อคนของนิกายหมื่นปีศาจมาถึง เฉียนหยิ่นประมุขนิกายหมอกเร้นลับรวมถึงอาวุโสเหล่ยที่กำลังคุยกับคนของตระกูลหลิงหูและตระกูลมู่หรงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมทันที
เพราะผู้ที่นำคนของนิกายหมื่นปีศาจมาเป็นชายวัยกลางคนกับชายชราผู้หนึ่ง
กับชายวัยกลางคนนั้น ต้วนหลิงเทียนไม่คุ้นหน้ามันเลย
แต่กับชายชราเขารู้สึกว่าหน้าตามันคุ้นๆพิกล
จนเมื่อเขาเหลือบไปเห็นชายหนุ่ม 2 คนที่เหินร่างติดตามอยู่ด้านหลังชายชรา มุมปากเขาก็ยกยิ้มขึ้นมาบางๆอย่างอดไม่ได้ ‘ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนข้าถึงรู้สึกว่าตาแก่นั่นหน้ามันคุ้นๆนัก…ที่แท้มันก็คืออาวุโสสูงสุดของนิกายหมื่นปีศาจ ตู้จ้าน’
ตู้จ้าน เป็นหนึ่งในอาวุโสสูงสุดที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุดในนิกายหมื่นปีศาจ กล่าวได้ว่าสถานะของมันก็คล้ายๆกับอาวุโสเหล่ยของนิกายหมอกเร้นลับ
ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเรื่องราวของมันมานานแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น 1 ใน 2 ชายหนุ่มที่ติดตามมันมาด้านหลัง ก็เคยเข้าไปในเทพซ่อนของจักรพรรดิเทพฉินหวู่กับเขา
ตู้เชียนจวิน!
หลานชายคนที่ 2 ของตู้จ้าน
สำหรับชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างๆตู้เชียนจวิน พอเห็นหน้าตาที่ละม้ายคล้ายตู้เชียนจวินและตู้จ้าน ถึงเขาจะพึ่งเคยเจอมันครั้งแรก แต่ก็ไม่ยากที่จะคาดเดาว่ามันเป็นใคร
ตู้ปั้วจวิน!
หลานชายคนโตของอาวุโสตู้จ้าน
ในบรรดารุ่นเยาว์ของนิกายหมื่นปีศาจ พลังฝีมือของตู้ปั้วจวินคนนี้เป็นรองก็แต่หยางเชียนเย่ ลูกชายคนเดียวของประมุขนิกายหมื่นปีศาจ หลานชิง ร่ำลือกันว่าแม้พลังฝึกปรือของมันจะอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นสูง แต่มันก็แข็งแกร่งจนมีตัวตนใต้ขอบเขตจอมราชันเทพไม่กี่คนในนิกายหมื่นปีศาจที่สามารถต่อกรกับมันได้
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองสำรวจพวกตู้ปั้วจวิน ทั้ง 3 ก็หันมามองเขาเช่นกัน
แน่นอนว่าตู้จ้านกับตู้ปั้วจวินยังไม่เคยเจอเขามาก่อน ที่ไฉนพวกมันมองจ้องเขาแบบนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะตู้เชียนจวินมันจ้องเขาตั้งแต่มาถึง ทั้งคู่ก็เลยหันมองตามสายตาตู้เชียนจวินมา
อย่างไรก็ตามทั้งคู่เพียงมองสำรวจต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย ก่อนจะเลิกสนใจ
คงเหลือแต่ตู้เชียนจวินเท่านั้น ที่จ้องเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง ยังเอ่ยทักเขาเสียงหนักว่า “ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลยว่าการเข้าสู่เทพซ่อนวันนั้น จะเป็นเจ้ากับหวูเฟิงที่กลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย”
น้ำเสียงของตู้เชียนจวินช่างเต็มไปด้วยไม่พอใจถึงที่สุด
“เจ้าก็ได้แต่โทษว่าตัวเองโชคร้ายเท่านั้น…”
ได้ยินเสียงกล่าวเสียดสีของตู้เชียนจวิน ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มบางๆ พลางมองมันด้วยสายตาหยอกล้อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวนว่า “ที่ๆพวกเราเข้าไปก็เป็นเหมือนกัน”
“แม้แต่วิธีเปิดด่านทดสอบสืบทอดมรดกภายในเทพซ่อนก็เหมือนกัน”
“ก็แค่เจ้ามันช้ากว่าข้าเท่านั้น”
“จริงสิ แล้วเจ้าอยากรู้ไหมว่าไฉนเจ้าถึงช้ากว่าข้า…”
ต้วนหลิงเทียนยักคิ้วถามด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน
”ทำไม?”
นี่เป็นเรื่องที่ตู้เชียนจวินสงสัยมาหลายปีดีดัก ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงเป็นผู้ที่สามารถเปิดบททดสอบสืบทอดมรดกของจักรพรรดิเทพฉินหวู่ได้ก่อนมัน?
มันลองถามตัวเองดู ก็ตอบได้ว่าวันนั้นภายในโถงใหญ่ มันก็สำรวจรูปปั้นจักรพรรดิเทพฉินหวู่อย่างละเอียดแล้ว แต่มันกลับไม่พบกลไกใดๆที่จะเปิดบททดสอบรับมรดกเลย
“อยากรู้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตามองตู้เชียนจวิน ก่อนจะพูดว่า “เช่นนั้น…เจ้าส่งหินเทพมาให้ข้าสักแสนตำลึงแล้วข้าจะบอกเจ้าเป็นไง?”
หินเทพแสนตำลึง!
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน สีหน้าตู้เชียนจวินก็เต็มไปด้วยความโกรธทันที มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตาของมันก็ดุร้ายปานจะพ่นไฟออกมาได้ “ต้วนหลิงเทียน เจ้าอย่าได้คิดจะหลอกข้าเล่นหน่อยเลย!”
“เฮ่ๆ ข้าไม่ได้คิดล้อเล่นกับเจ้านา ข้าจะบอกจริงๆถ้าเจ้าจ่ายมา…”
ต้วนหลิงเทียนยัดคิ้วถามด้วยรอยยิ้มสืบต่อ “อะไรกัน? อย่าบอกนะว่าเจ้าที่เป็นถึงหลานชายของอาวุโสสูงสุด ตู้จ้าน แห่งนิกายหมื่นปีศาจ กลับมีหินเทพติดตัวไม่ถึงแสนตำลึง จึงไม่อาจควักออกมาจ่ายข้าได้?”
“เฮ่อ ไฉนเจ้าน่าสงสารถึงขนาดนี้ล่ะ…”
“เอาแบบนี้เป็นไง เดี๋ยวข้าลดให้เจ้าครึ่งนึง เจ้าแค่ส่งหินเทพมาให้ข้า 50,000 ตำลึงพอ”
ขณะเอ่ยประโยคท้าย สีหน้าแววตาต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความล้อเลียนชัดเจน
ด้านตู้เชียนจวิน บัดนี้สีหน้ามันก็มืดดำปานถ่านไหม้ หากไม่ใช่มันรู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต้วนหลิงเทียน และรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะช่วยมันเล่นงานต้วนหลิงเทียนตอนนี้ได้ มิเช่นนั้นมันคงพุ่งไปแลกกับต้วนหลิงเทียนให้ตายกันไปข้างแล้ว
ดังนั้นถึงมันจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนกับลังล้อมันเล่นอย่างสนุกสนาน แต่มันก็ทำได้แค่อดทนกล้ำกลืนเท่านั้น ได้แต่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้ายแหลมคมปานมีดดาบถ่ายเดียว
และในขณะที่มันเต็มไปด้วยความคับข้องใจ มันก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่า ‘ช่างหัวมารดามัน สารเลวนี่จะอย่างไรมันก็ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว’
‘สุดท้าย เมื่อมันเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์เมื่อไหร่ มันก็ต้องตาย!’
‘อาจารย์ปู่ไม่ใช่แค่อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ธรรมดาๆอีกต่อไป ตอนนี้ยังเกี่ยวดองกับรองประมุข เซวีย ของนิกายมังกรสวรรค์แล้ว เช่นนั้นคิดจะฆ่าศิษย์ที่พึ่งเข้านิกายมังกรสวรรค์สักคนยังจะไปยากอะไร?’
คิดถึงจุดนี้ สีหน้าของตู้เชียนจวินก็ค่อยๆดีขึ้น ขณะเดียวกันมันก็ไม่คิดจะมองต้วนหลิงเทียนอีก ด้วยกลัวจะอารมณ์เสียอีกรอบ
“ผู้เฒ่ามู่หรง อาวุโสเจิ้งซิง”
ในขณะเดียวกัน ด้านชายวัยกลางคนที่นำพาคนของนิกายหมื่นปีศาจมา มันก็เอ่ยคำทักทายมู่หรงอวิ๋นลิ่วกับอาวุโสเจิ้งซิงด้วยรอยยิ้ม แต่ขณะมองไปยังเฉียนหยิ่นและอาวุโสเหล่ยของนิกายหมอกเร้นลับ สายตามันก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
พอมู่หรงอวิ๋นลิ่วกับหลิงหูเจิ้งซิงกล่าวทักอีกฝ่ายกลับ ต้วนหลิงเทียนก็เลยได้ทราบว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นเป็นใคร
ประมุขนิกายหมื่นปีศาจ หลานชิง
ไฉนที่หลานชิง ตู้จ้าน ถึงได้เขม่นกับเฉียนหยิ่นและอาวุโสเหล่ยจนบรรยากาศอึมครึมลงทันตาเห็น มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใดเนื่องเพราะนิกายหมอกเร้นลับกับนิกายหมื่นปีศาจนั้นเป็นศัตรูกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ประมุขเฉียนหยิ่น”
ทันใดนั้นเอง หลานชิงก็หันไปมองกล่าวกับเฉียนหยิ่นด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “นิกายหมอกเร้นลับของเจ้าวันนี้ ดูเหมือนจะไร้ศิษย์โดดเด่นคนใดที่จะเข้าร่วมชิงชัยในการแข่งขันมังกรซ่อนของนิกายมังกรสวรรค์แล้วกระมัง?”
“เช่นนั้นข้าขอแนะนำให้นิกายหมอกเร้นลับของเจ้าล้มเลิกเรื่องการแข่งขันมังกรซ่อนเสียประเสริฐกว่า เพียงเข้าร่วมการทดสอบประเมินของนิกายมังกรสวรรค์อย่างเดียวพอ…”
“หาไม่แล้วข้าเกรงว่าเด็กๆในนิกายหมื่นปีศาจของข้า อาจลงมือด้วยอำมหิตเข่นฆ่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับของเจ้าจนตกตายหมดสิ้นเสียเปล่าๆ”
กล่าวถึงจุดนี้ใบหน้าหลานชิงก็ปรากฏรอยยิ้มสดใสคลี่กางขึ้นมา
ในขณะที่ศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับกำลังมีโมโหเพราะวาจาปรามาสดังกล่าว เฉียนหยิ่นก็พ่นลมสบถกล่าวออกเสียงแข็ง “เหอะ! การแข่งขันมังกรซ่อนของนิกายมังกรสวรรค์ยังไม่ทันเริ่ม เจ้าจักมาวางท่าหาพระแสงด้ามง้าวอันใด?”
“นอกจากนั้นตอนแข่งขันมังกรซ่อน เจ้าอย่าพึ่งหวงศิษย์นิกายหมอกเร้นลับของข้านักเลย เอาเวลาไปห่วงศิษย์นิกายหมื่นปีศาจที่จะตายใต้คมดาบศิษย์นิกายหมอกเร้นลับของข้าเสียจะดีกว่า!”
เผชิญหน้ากับวาจาดูถูกของหลานชิง เฉียนหยิ่นก็ไม่ยอมแพ้กล่าวสวนกลับไปเสียงแข็ง
“อ้อ?”
หลานชิงยิ้มหยัน ก่อนจะผายมือไปทางตู้ปั้วจวินที่อยู่ด้านหลัง “นี่คือศิษย์หลักของนิกายหมื่นปีศาจข้า ตู้ปั้วจวิน”
“หรือ ก่อนการประเมินทดสอบรับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์จักเริ่มขึ้น เจ้ากับข้าไม่มาเดิมพันอะไรกันสักหน่อยเล่า?”
“ทางนิกายหมื่นปีศาจของข้าจะส่งตู้ปั้วจวินออกไปเพียงลำพัง ส่วนนิกายหมอกเร้นลับของเจ้าส่งผู้ใดมาก็ได้ 2 คน ให้ตู้ปั้วจวินสู้ 1 ต่อ 2…หากนิกายหมอกเร้นลับแพ้ ก็แค่จ่ายหินเทพให้นิกายหมื่นปีศาจข้าสัก 2 ล้านตำลึง กลับกันหากนิกายหมื่นปีศาจของข้าแพ้ ข้าก็จะมอบหินเทพ 2 ล้านตำลึงให้เจ้า…”
“เป็นอย่างไรเล่า กล้าหรือไม่?”
กล่าวถึงจุดนี้ มุมปากหลานชิงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มดูแคลนถึงขีดสุด
ได้ยินคำท้าของหลานชิง ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในกลุ่มคนของตระกูลหลิงหูก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความเสียดาย เสียดายที่ในปัจจุบันเขาเป็นคนของตระกูลหลิงหูไปแล้ว ก็เลยไม่อาจออกตัวสู้ในนามนิกายหมอกเร้นลับได้ ไม่งั้นเขาก็คงได้รับหินเทพ 2ล้านตำลึงมาอย่างง่ายดาย
การออกตัวลงประลองแบบนี้ เมื่อชนะก็เสมือนทำให้นิกายหมอกเร้นลับได้หน้า เช่นนั้นนิกายหมอกเร้นลับย่อมไม่ตระหนี่หินเทพ 2 ล้านตำลึงที่เป็นเงินเดิมพันจากนิกายหมื่นปีศาจแน่นอน
น่าเสียดายแท้ๆ
“ว่าอย่างไร ตกลงนิกายหมอกเร้นลับของพวกเจ้ากล้าหรือไม่?”
พอเห็นแววตาของเฉียนหยิ่นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแต่ไม่รับคำท้าเสียที หลานชิงก็ยิ้มถามออกมาน้ำเสียงยังสูงขึ้นชัดเจน “กระทั่งนิกายหมื่นปีศาจข้าส่งตู้ปั้วจวินออกไปคนเดียว แต่นิกายหมอกเร้นลับของเจ้าสามารถส่งคนออกมาสู้ได้ 2 คนยังไม่กล้าอีกรึ?หรือว่านิกายหมอกเร้นลับของเจ้าไม่มีผู้ใดแล้วจริงๆ?”
หลานชิงยังคงกล่าวยั่วยุต่อไป
ในขณะเดียวกัน เหล่าศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับก็เริ่มหันไปมองยังร่าง 2 ร่างที่ลอยตัวอยู่ในกลุ่มพวกมัน เป็นชายหนุ่มนุชดสีเทาเรียบง่ายกับชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียว
ทั้งคู่ล้วนเป็นราชาเทพขั้นสูง และพวกมันยังมีพลังฝีมือติดอยู่ใน 3 อันดับแรกในบรรดาศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับ
ในอดีตก่อนที่ซั่งกวนฉงเฟิงจะตาย มันก็ได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์หลักที่แข็งแกร่งที่สุดเทียบเท่าทั้ง 2 คนนี้
ถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของซั่งกวนฉงเฟิงจะด้อยกว่าทั้ง 2 คน…แต่เพราะระดับพลังฝึกปรือของซั่งกวนฉงเฟิงยังอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นกลางเท่านั้น ไม่ได้บรรลุถึงราชาเทพขั้นสูงเหมือนทั้งคู่
‘วันนี้หากนิกายหมอกเร้นลับไม่สู้ เกรงว่าคงเสียหน้าครั้งใหญ่แล้วจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนที่เหลือบมองไปรอบๆ เขาก็พบว่ามีผู้คนเริ่มเหินเข้ามามามุงชมเรื่องราวอยู่ห่างๆมากมาย ราวกับคนพวกนี้สูดได้กลิ่นดินปืนอย่างไรอย่างนั้น