“หนทางข้าพอมี ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะลองดูหรือไม่”
ต้วนหลิงเทียนผล่าวตอบมู่หรงอวิ๋นเยว่ผ่านพลัง
“ทำอย่างไรหรือ”
มู่หรงอวิ๋นเยว่เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ จังหวะนี้นางเรียกว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะถูกต้วนหลิงเทียนชี้นำให้คล้อยตามเรียบร้อย
แต่แน่ล่ะ ว่าหากหลังจากนี้มาฉุกคิดขึ้นได้ อย่างมากนางก็รู้สึกว่าทำตามใจต้องการเท่านั้น ไม่ได้ต้องนึกเสียใจอะไรภายหลัง
“ผู้นำตระกูลมู่หรงบิดาท่าน สมควรรักและเอ็นดูท่านมากใช่หรือไม่?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังคุยกับมู่หรงอวิ๋นเยว่อยู่นั้น เขาก็สังเกงตเห็นว่ามู่หรงอวิ๋นลิ่วที่กำลังสนทนากับหลิงหูเจิ้งซิงอยู่ มักจะเหลือบมองมาทางมู่หรงอวิ๋นเยว่บ่อยๆ
และโหวชิ่งหนิง ก็บอกเขาว่า มู่หรงอวิ๋นเยว่เป็นลูกสาวคนเล็กของมู่หรงอวิ๋นลิ่ว
เรื่องลูกๆของมู่หรงอวิ๋นลิ่วที่เขารู้มา ก็จำกัดไว้แค่เรื่องราวของลูกชาย 2 คนของมันเท่านั้น และเป็นดั่งคำว่า บิดาพยัคฆ์ไม่มีลูกสุนัข จริงๆ เพราะลูกชายทั้ง 2 ของมู่หรงอวิ๋นลิ่วนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
ลูกชายคนโตของมันนั้นได้เข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ตั้งแต่หมื่นปีก่อน และในปัจจุบันก็เป็นถึงผู้อาวุโสมังกรขาวแล้ว
ส่วนลูกชายคนที่ 2 นั้น พรสวรรค์ก็นับว่าโดดเด่นไม่ใช่ชั่ว อายุยังไม่ทันมากมายอะไร ก็บรรลุถึงราชาเทพขั้นสูง กระทั่งยังเป็นราชาเทพขั้นสูงที่เก่งกว่าผู้ใดในตระกูลมู่หรง และลูกชายคนนี้ก็ถูกมู่หรงอวิ๋นลิ่วปลูกฝังให้รับช่วงต่อตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อจากมัน เช่นนั้นก็เลยไม่ได้เข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์
ส่วนลูกสาวคนสุดท้อง มู่หรงอวิ๋นเยว่หรือคุณหนู 3 นั้น ในฐานะที่เป็นลูกสาวคนเดียวของมู่หรงอวิ๋นลิ่ว และเป็นน้องสาวคนเล็ก มู่หรงอวิ๋นลิ่วย่อมรักและเอ็นดูนางกว่าใคร
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว”
ถึงแม้นางจะไม่ทราบว่าไฉนอยู่ๆต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเรื่องนี้ออกมา แต่มู่หรงอวิ๋นเยว่ก็กล่าวตอบผ่านพลังพลางเชิดหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ ปานนกยูงรำแพน
“ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ว่าเจ้าจะช่วยข้าอย่างไร”
มู่หรงอวิ๋นเยว่ถามย้ำ
“เรื่องนี้กล่าวไปง่ายดายนัก”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม พลางมองถามมู่หรงอวิ๋นเยว่ว่า “คุณหนู 3 ไม่พ้นข้างกายท่านต้องมียอดฝีมือจากตระกูลมู่หรงคอยติดตามคุ้มครองกระมัง?”
“ใช่”
มู่หรงอวิ๋นเยว่ตอบ “แต่พอดีวันนี้ท่านพ่อมาด้วย ท่านย่าฉานก็เลยไม่ได้มาด้วย…แต่ปกติแล้วยามข้าไปไหนมาไหนด้านนอก จะเป็นท่านย่าฉานที่คอยติดตามคุ้มครองข้า”
“และท่านย่าฉานก็เป็นจอมราชันเทพฝีมือฉกาจ”
วาจาประโยคสุดท้ายของมู่หรงอวิ๋นเยว่ เผยให้รู้ว่าฐานะของนางในตระกูลมู่หรงสูงขนาดไหน เพราะโดยปกติแล้วทายาทสายหลักเหมือนมู่หรงอวิ๋นเยว่นั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีตัวตนระดับจอมราชันเทพคอยติดตาม
“พอการแข่งขันมังกรซ่อนจบลง หลังจากเจ้ากลับไปยังตระกูลมู่หรงแล้ว เจ้าไปหาย่าฉานที่เจ้าว่า จากนั้นให้นางเดินทางไปเข้าพบบิดาของโหวชิ่งหนิงที่นิกายหมื่นจันทราโดยตรง”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มพลางกล่าว “แล้วให้นางบอกบิดาของโหวชิ่งหนิงว่า ให้มาสู่ขอเจ้าเป็ฌนลูกสะใภ้ที่ตระกูลมู่หรง”
“แต่เรื่องนี้จะทำได้ก็ขึ้นอยู่กับว่า…ก่อนที่บิดาของโหวชิ่งหนิง จะไปสู่ขอเจ้าให้แต่งงานกับโหวชิ่งหนิงที่ตระกูลมู่หรง เจ้าห้ามให้โหวชิ่งหนิงล่วงรู้เรื่องนี้โดยเด็ดขาด”
“ค่อยมาบอกมันหลังจากที่เรื่องการสู่ขอจบลงด้วยดีแล้วเท่านั้น”
“ถึงตอนนั้น มันก็จะกลายเป็นสามีของเจ้า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมารวดเดียวจบ ด้านมู่หรงอวิ๋นเยว่เองก็ได้แต่ยืนมองต้วนหลิงเทียนตาปริบๆ ด้วยไม่คิดเยว่าต้วนหลิงเทียนจะบังเกิดความคิดมัดมือชกแบบนี้…
“เอ่อ…ทำเช่นนี้จะดีหรือ?”
มู่หรงอวิ๋นเยว่เองก็อดไม่ได้ที่จะตระหนกกับแผนการมัดมือโหวชิ่งหนิงอันกล้าหาญของต้วนหลิงเทียน และนางเองก็ไม่ได้โง่ หากนางกล่าวบอกเรื่องนี้ต่อบิดาแต่แรก และถ้าแผนการทั้งหมดเป็นไปได้ด้วยดี หากไม่ใช่ตัวนางกล่าวปฏิเสธ นางก็ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน
“แล้วมันจะมาโกรธข้าภายหลังหรือไม่เล่า…”
มู่หรงอวิ๋นเยว่
“ไม่โกรธหรอก”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มพลางกล่าว “เจ้าคิดว่ามันไม่สนใจเจ้าจริงๆเหรอ ข้าเป็นสหายของมันทั้งคน หากว่ามันไม่มีใจให้เจ้าเลย เจ้าคิดว่าข้าจะเสนอวิธีมัดมือชกเพื่อนข้าแบบนี้ให้เจ้าไหมเล่า”
“ข้าในฐานะเพื่อนของโหวชิ่งหนิง ย่อมหวังให้มันใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
โหวชิ่งหนิงนับเป็นเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่ต้วนหลิงเทียนมีในระนาบเทพ อย่างที่เขาบอก เขาไม่มีคิดร้ายกับโหวชิ่งหนิงแน่นอน
และเหตุไฉนที่เขาผันตัวมาเป็นพ่อสื่อหมายให้โหวชิ่งหนิงลงเอยกับมู่หรงอวิ๋นเยว่ในเร็ววัน ก็เพราะทั้งคู่ล้วนชอบพอกัน เพียงแค่โหวชิ่งหนิงห้ามใจเอาไว้เท่านั้น ที่สำคัญหากทั้งคู่แต่งงานกันจริงๆ สำหรับโหวชิ่งหนิงแล้วก็มีแต่เรื่องดี
ถึงแม้ว่าหลังจากวันนี้ไป โหวชิ่งหนิงอาจจะอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ ทว่าขอเพียงมีตำแหน่งลูกเขยของผู้นำตระกูลมู่หรงติดตัว ฝ่ายตระกูลมู่หรงในนิกายมังกรสวรรค์ต้องดูแลโหวชิ่งหนิงอย่างดี เช่นนั้นคนก็คล้ายปลาได้น้ำแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด
ในนิกายมังกรสวรรค์ คนของตระกูลมู่หรงที่ได้ดีที่สุดสองคนก็เป็นชนชั้นอาวุโสมังกรขาวทั้งคู่ และคนที่มีโอกาสจะก้าวหน้าขึ้นไปอีก ก็คือพี่ชายคนโตของมู่หรงอวิ๋นเยว่ ยังเป็นพี่ชายแท้ๆร่วมบิดามารดาเดียวกันอีก
หากโหวชิ่งหนิงแต่งกับมู่หรงอวิ๋นเยว่จริง กล่าวได้ว่าพี่ชายคนโตของมู่หรงอวิ๋นเยว่ก็จะเห็นโหวชิ่งหนิงเป็นดั่งน้องเขยแล้ว ยังไม่ดูแลได้หรือ
อาจบอกได้ว่าต้วนหลิงเทียนนั้นมีเจตนาดีกับโหวชิ่งหนิงจริงๆ ขึ้นอยู่กับว่าโหวชิ่งหนิงจะเข้าใช้ความหวังดีของเขารึเปล่า
แต่เขารู้ว่าโหวชิ่งหนิงในปัจจุบัน ต้องพึ่งแรงผลักดันจากเขา
‘หวังว่ามันจะเข้าใจ ว่าข้าหวังดี’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบทอดถอนในใจ
“คุณหนู 3”
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็กล่าวเสริมผ่านพลังว่า “วันหน้าหากโหวชิ่งหนิงมันถามว่าไฉนท่านทำเช่นนั้น…ท่านก็บอกมันไปตามตรงได้เลย ว่าข้าเป็นคนเสนอความคิดดังกล่าวให้ท่านเอง”
“ด้วยวิธีนี้ ก็จะไม่กระทบถึงความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ของพวกท่าน”
พอต้วนหลิงเทียนพูดจบคำ มู่หรงอวิ๋นเยว่ก็อดอึ้งไปไม่ได้ ด้วยไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนเต็มใจจะรับบทคนร้าย
“ต้วนหลิงเทียน หลังจากข้าได้รู้เรื่องที่เจ้ากล่าววาจาเขื่องโข ข้าเองก็รู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่ตัวดีอันใด…ตอนนี้ข้าทราบแล้ว ที่แท้เจ้าดียิ่ง”
มู่หรงอวิ๋นเยว่อดประทับใจต้วนหลิงเทียนไม่ได้
“ถึงแม้ข้าจะไม่คิดว่าเจ้าสามารถทำตามที่สัญญากับตระกูลหลิงหูได้ภายในเวลา 100 ปี แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากนัก ข้าจะพยายามช่วยหาหินเทพให้เจ้าสักล้านตำลึง”
“มากกว่านี้ข้าก็คงหาไม่ไหวเหมือนกัน”
พอมู่หรงอวิ๋นเยว่กล่าวว่าจะช่วยหาหินเทพให้ต้วนหลิงเทียนล้านตำลึง ด้านต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นเบาๆ
เพราะต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตราชาเทพทั่วๆไป ก็ยังยากที่จะหยิบควักหินเทพล้านตำลึงออกมาจับจ่ายในคราวเดียว
“คุณหนู 3 สำหรับความหวังดีของท่านข้าคงรับไว้ด้วยใจ…เพราะข้าเชื่อมั่นว่าข้าสามารถทำตามข้อตกลงที่บอกไว้กับตระกูลหลิงหูได้แน่นอน”
น้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ
“ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้ากำลังคุยกับคุณหนู 3 อยู่หรือ”
โหวชิ่งหนิงเองก็ไม่ได้ตาบอด เมื่อเห็นสีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปมาโดยที่สีหน้ามู่หรงอวิ๋นเยว่ก็บัดเดีย๋วยินดีบัดเดี๋ยวย่นคิ้ว จึงอดไม่ได้ที่มันจะขมวดคิ้วกล่าวถามต้วนหลิงเทียนผ่านพลัง
กระทั่งน้ำเสียงขณะกล่าวถามยังแฝงความกังวลอยู่บ้าง
“ใช่ ทำไมรึ”
ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม “ข้าเห็นว่าคุณหนู 3 ตระกูลมู่หรงคนนี้งดงามนัก หากว่านางมีใจให้ข้า เช่นนั้นข้าก็เสมือนได้ย่นเวลาเหน็ดเหนื่อยไป 3,000 ปี”
“ถึงแม้ข้าดูๆแล้วนางอาจมีใจให้เจ้า แต่เหมือนว่าเจ้าจะไม่ชอบนางไม่ใช่หรือ”
“เช่นนั้นหากข้าคิดจะไล่จีบนาง เจ้าก็คงไม่ว่าอะไรกระมัง”
วาจาประโยคท้ายๆน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนยังแฝงความหยอกล้อหลายส่วน
“ต้วนหลิงเทียน เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ทำเป็นเล่นเชียว”
โหวชิ่งหนิงไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนกำลังหยอกมันเล่น เช่นนั้นพอได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนใจมันก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมาทันที “นางยังเยาว์นัก ไร้เดียงสาดั่งผ้าขาว เจ้าอย่าได้ทำร้ายนางเลย”
“เจ้าเองก็ไม่ใช่บอกข้าว่าเจ้ามีภรรยากับลูกแล้วหรือไร?”
โหวชิ่งหนิงเอ่ยถาม
“ตราบใดที่มีความสามารถสูงพอ ผู้ชายอย่างเราๆจะมี 3 ภรรยา 4 อนุก็ไม่เห็นแปลกนี่”
ต้วนหลิงเทียนย้อนถามพลางยักคิ้ว
ด้านโหวชิ่งหนิงพอได้ฟังก็ได้แต่เงียบไป เห็นได้ชัดว่ามันไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อดี ทว่าหว่างคิ้วของมัมนบัดนี้ขดย่นเป็นปมแน่น
“แต่ก็นะ”
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันพูดออกมาต่อว่า “หากว่าเจ้าสนใจนาง เช่นนั้นข้าก็คงไม่คิดไปไล่จีบนางในดวงใจของเจ้าหรอก ว่าแต่..”
คราวนี้ ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้พูดจบ โหวชิ่งหนิงเหมือนรีบ มันเร่งโพล่งผ่านพลังออกมาว่า “ใช่! ข้าสนใจนาง!!”
“หลังจากที่ข้านำพานิกายหมื่นจันทราให้เป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพได้แล้ว ข้าจะไปเยือนตระกูลมู่หรงด้วยตัวเองเพื่อสู่ขอนางมาแต่งเป็นภรรยาข้า!”
น้ำเสียงของโหวชิ่งหนิงยังหนักแน่นจริงจังนัก
เดิมทีตอนที่มู่หรงอวิ๋นเยว่เข้าหามัน ตัวมันก็คิดไปว่านางเป็นเผือกร้อนที่จะนำพาความวุ่นวายมาหามัน
อย่างไรก็ตาม พอโดนนางตามเกาะแกะมากเข้า มันก็สัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ไม่เดียงสาของมู่หรงอวิ๋นเยว่ ต่อมามันก็เริ่มเพิกเฉยต่อสายตาคนมอง และเริ่มรู้สึกดีต่อใจมากขึ้นเรื่อยๆทึกครั้งที่นางมาหา
ไม่ทันรู้ตัว มันก็ตกหลุมรักสาวน้อยไม่เดียงสาคนนี้แล้ว
อนิจจาช่องว่างระหว่างฐานะและอัตลักษณ์ ทำให้มันรู้สึกด้อยค่า จึงไม่กล้าจะก้าวต่อไป
แต่วันนี้ ‘ความก้าวร้าว’ ของต้วนหลิงเทียน ทำให้มันจำต้องเปิดเผยความในใจออกมา
“ในเมื่อเจ้าชมชอบนาง เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยุ่งกับนาง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็เลิกมองมู่หรงอวิ๋นเยว่ แต่แน่นอนว่าเขาไม่ลืมบอกเรื่องที่เขาพึ่งคุยกับโหวชิ่งหนิงให้มู่หรงอวิ๋นเยว่รับรู้
จังหวะนี้สองตามู่หรงอวิ๋นเยว่ก็ลุกวาวขึ้นมาทันที ใบหน้าเริ่มฉายความมุ่งมั่นประการหนึ่ง
…
ในระหว่างที่ต้วนหลิงเทียนคุยกับมู่หรงอวิ๋นเยว่ผ่านพลัง คนของตระกูลหลิงหูก็เริ่มเข้าไปพูดคุยกับคนของตระกูลมู่หรง กล่าวได้ว่านอกจากคนที่เหลือจะขัดสมาธิกลางหาวเพื่อฝึกฝนหรือพักผ่อนแล้ว ที่เหลือก็จับกลุ่มกัน 3-5 คนเพื่อคุยสัพเพเหระ
บ้างก็พูดถึงเรื่องปัญหาในการฝึกฝน บ้างก็สนทนาเรื่องสตรีที่ชอบ บางคนก็เอ่ยถามความเป็นมา แน่นอนว่าส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้เวลาอันมีค่าไปกับการบ่มเพาะ ไม่ก็เข้าใจกฏ
ยังมีบางส่วนที่พูดถึงเขา
“นั่นคนของนิกายหมอกเร้นลับนี่!”
หลังผ่านไปเกือบ 2 ชั่วยาม รุ่นเยาว์คนหนึ่งของตระกูลมู่หรงพลันเอ่ยขึ้นเสียงดัง ทำให้หลายๆคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนหันไปดูตามต้นเสียงทันที
พอมองไป ก็พบเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเหินร่างลัดฟ้ามาฉับไว
ผู้ที่เหินร่างอยู่ด้านหน้าคนกลุ่มนี้ เป็นชายวัยกลางกับชายชรา ซึ่งทั้งคู่ล้วนเป็น ‘คนรู้จัก’ ของต้วนหลิงเทียน
ประมุขนิกายหมอกเร้นลับ เฉียนหยิ่น
หนึ่งในอาวุโสสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายหมอกเร้นลับ อาวุโสเหล่ย
ถัดจากทั้งคู่ก็มีคนเหินร่างติดตามมาไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นก็เป็นคนที่ต้วนหลิงเทียนรู้จักเช่นกัน ไม่ใช่ใครอื่น มู่หรงสุยเฟิง คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์ ที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่
“นานแล้วไม่พบกัน ท่านคณบดี”
พอเห็นมู่หรงสุยเฟิงอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังไปทักทายอีกฝ่ายทันที
เขายังคงรู้สึกขอบคุณมู่หรงสุยเฟิง คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์อยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ตัวเขาจะไม่ได้อยู่ในนิกายหมอกเร้นลับแล้วก็ตาม เพราะความหวังดีเอาใจใส่ที่อีกฝ่ายเคยมีให้ยังอยู่ในใจเขา
“ต้วนหลิงเทียน พวกเราไม่พบกันก็เกือบ 30 ปีได้แล้วกระมัง”
มู่หรงสุยเฟิงก็หันไปมองตามเสียงผ่านพลัง จนไปหยุดลงยังร่างต้วนหลิงเทียนไกลๆ จากนั้นใบหน้าของมันก็ปรากฏรอยยิ้มคลี่กางขึ้น ก่อนส่งเสียงผ่านพลังทักต้วนหลิงเทียนกลับ
“ใช่ เกือบ 30 ปีแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ เขายังรู้สึกเหมือนวันที่นั่งคุยกับมู่หรงสุยเฟิงยังพึ่งผ่านไปไม่นาน ราวกับเกิดขึ้นเมื่อวานอย่างไรอย่างนั้น
“น่าเสียดายที่ข้าทำให้ท่านคณบดีผิดหวัง และล้มเหลวเรื่องสร้างผลงานอันโดดเด่นให้นิกายหมอกเร้นลับ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอโทษออกไป “จุดนี้ข้าต้องขออภัยคณบดีด้วย ที่ทำให้ท่านผิดหวัง”
“เรื่องของเจ้าเองข้าก็ได้ยินมาหมดแล้ว”
มู่หรงสุยเฟิงส่ายหัวไปมา พลางกล่าว “แต่ต้นจนจบเจ้าก็แค่อยู่ของเจ้าดีๆ ทว่าผู้อื่นมาหาเรื่องเจ้าเอง เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าทำมันไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรที่เจ้าต้องขอโทษข้าหรอก”
“คงกล่าวได้เพียงว่า นิกายหมอกเร้นลับไร้วาสนากับเจ้า…”