“อาวุโสเจิ้งซิง ไฉนครานี้ท่านถึงนำพาเด็กๆในตระกูลหลิงหูมาด้วยตัวเองได้เล่า?”
ด้วยเสียงผ่านพลังกล่าวเตือนของโหวชิ่งหนิง ต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันทีว่าคนที่นำพารุ่นเยาว์ของตระกูลมู่หรงมาครั้งนี้ ก็คือผู้นำตระกูลมู่หรงคนปัจจุบัน มู่หลิงอวิ๋นลิ่ว
มู่หรงอวิ๋นลิ่ว เป็นชายหนุ่มร่างสูงแลแล้วเหมือนมีอายุราวๆ 30 ปี แต่อันที่จริงอายุอานามของมันก็ปาเข้าไปเกือบ 20,000 ปี และยังเป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำที่มีอายุน้อยที่สุดของตระกูลมู่หรง
“ตำแหน่งผู้นำตระกูลของเจ้าหนูเหรินเจี๋ยถูกเพิกถอนออกไป ทั้งมันยังถูกทางตระกูลลงโทษอยู่ เช่นนั้นข้าก็เลยพาเด็กๆมาด้วยตัวเอง”
หลิงหูเจิ้งซิงกล่าวทักทายมู่หรงอวิ๋นลิ่ว หลังจากเอ่ยทักชายชราที่ติดตามอยู่ข้างกายมู่หรงอวิ๋นลิ่ว เพราะนั่นคือ 1 ในอาวุโสสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลมู่หรง และรู้จักกันมาเนิ่นนานแล้ว
และในเมื่อมันก็รู้ว่าหลิงหูเหรินเจี๋ยกับมู่หรงอวิ๋นลิ่วสนิทกันมาก เช่นนั้นก็เลยบอกออกไปตามตรงไม่มีปิดบัง
เป็นธรรมดาว่าพอได้ยินคำตอบของหลิงหูเจิ้งซิง สีหน้าของมู่หรงอวิ๋นลิ่วก็เปลี่ยนไปทันที มันโพล่งอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “อะไร!? เจ้านั่นมันถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้นำเรอะ!?”
“ให้ตายเถอะ เรื่องสำคัญแบบนี้ ไฉนเจ้าบ้านั่นถึงไม่บอกให้ข้ารู้เล่า!”
“ผู้อาวุโสเจิ้งซิง แล้วนี่เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ ที่แท้เกิดอะไรขึ้น”
มู่หรงอวิ๋นลิ่วเร่งกล่าวถามรายละเอียดจากหลิงหูเจิ้งซิงทันที สองตายังมากล้นไปด้วยความสงสัย
จังหวะนี้แม้แต่ชายชราที่ติดตามมู่หรงอวิ๋นลิ่วมาก็อดมองจ้องหลิงหูเจิ้งซิงเพื่อรอฟังไม่ได้
ต่อมาหลิงหูเจิ้งซิงก็เริ่มเล่าต้นสายปลายเหตุเรื่องราวออกมาให้มู่หรงอวิ๋นลิ่วฟัง กระทั่งด้านคนของตระกูลมู่หรงเองก็พลอยได้รู้เรื่องราวไปด้วย ว่าที่แท้อดีตผู้นำตระกูลหลิงหูนั้นได้ทำเพื่อต้วนหลิงเทียนอย่างไร ทำให้คนของตระกูลมู่หรงหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอิจฉา บ้างก็ชิงชังรังเกียจ
“อาคันตุกะต้วน”
หลังทราบรายละเอียดเรื่องราวแล้ว มู่หรงอวิ๋นลิ่วก็เบนสายตามาตกยังร่างต้วนหลิงเทียน พลางเอ่ยถามเสียงหนักว่า “หลิงหูเหรินเจี๋ยสหายข้าต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้…ท่านไม่มีคำใดคิดกล่าวบ้างหรือ?”
เมื่อโดนมู่หรงอวิ๋นลิ่วมองถามด้วยสายตาไม่พอใจ ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยตอบไปเสียงเบา “ข้าได้ให้คำมั่นกับตระกูลหลิงหูไปแล้ว ว่าภายใน 100 ปีข้าจะทวงตำแหน่งผู้นำตระกูลคืนให้หลิงหูเหรินเจี๋ย”
“100 ปี?”
มู่หรงอวิ๋นลิ่วขมวดคิ้วด้วยความงุนงง จนเมื่อหลิงหูเจิ้งซิงอธิบายเรื่องราวให้ฟัง มันถึงได้รู้ว่าสัญญา 100 ปีที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถึงคืออะไร
“ภายใน 100 ปี คืนหินเทพ 50 ล้านตำลึงให้ตระกูลหลิงหู?”
“แถมตอนแรกต้วนหลิงเทียนผู้นั้นยังบอกว่าจะชดใช้หินเทพ 100 ล้านตำลึงให้แก่ตระกูลหลิงหูภายในเวลา 100 ปีอีกด้วย แม้ว่าทางตระกูลหลิงหูจะขอเพียงแค่ 50 ล้านตำลึงก็พอใจแล้ว อย่างไรก็ตามมันยังยืนกรานว่าจะชดใช้หินเทพ 100 ล้านตำลึง? เพียงแต่ในเมื่อตระกูลหลิงหูต้องการ 50 ล้านตำลึง ที่เหลือก็เลยจะมอบให้หลิงหูเหรินเจี๋ย?”
ถึงแม้มันจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนสามารถหลอมกลั่นโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งขั้นสุดยอดออกมาได้ตามอำเภอใจ หลังได้ฟังวาจาสรรเสริญต้วนหลิงเทียนจากหลิงหูเหรินเจี๋ยผู้เป็นสหายไม่หยุด แต่มันก็รู้สึกว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนคิดจะหาหินเทพ 100 ล้านตำลึงยังไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น
ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งตระกูลมู่หรงของพวกมันเอง เงินคงคลังที่ใช้หมุนเวียนภายในตระกูลยังมีแค่หินเทพสิบกว่าล้านตำลึงเท่านั้น
กลับกัน ในสายแร่หินเทพของตระกูลมู่หรง ก็สามารถผลิตหินเทพได้หลายร้อยล้านตำลึงเหมือนกับตระกูลหลิงหู
อย่างไรก็ตาม สายแร่หินเทพนั้น ไม่อาจขุดหินเทพออกมาใช้ได้ตามอำเภอใจ และถ้าไม่จำเป็นจริงๆก็ไม่มีใครคิดจะขุดหินเทพจากสายแร่ออกมาใช้ นั่นเพราะหากสายแร่มีปริมาณหินเทพมากเท่าไหร่ มันก็จะเติบโตและขยายตัวเร็วขึ้นเท่านั้น
แต่ถ้าขุดหินเทพจากสายแร่หินเทพออกมาใช้ สิ่งนี้มันไม่ต่างอะไรจากฆ่าแม่ไก่เพื่อเอาไข่
เพราะปกติแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่สายแร่หินเทพที่คอยดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินท่ามกลางสวรรค์และโลก มันก็จะขยายตัว ก่อเกิดหินเทพจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
กล่าวได้ว่ายิ่งสายแร่หินเทพขยายตัวใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินมาสร้างหินเทพมากขึ้นเท่านั้น
“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นน่ะเหรอ อาคันตุกะต้วนของตระกูลหลิงหูที่กำลังดัง ต้วนหลิงเทียน? คนที่หลอมโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งขั้นสุดยอดได้ตามอำเภอใจ”
“ภายในเวลา 100 ปี พี่แกบอกว่าจะหาหินเทพมาชดใช้ 100 ล้านตำลึงล่ะ…เหอะๆ กระทั่งปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจอมราชัน ยังไม่กล้าโอ้อวดถึงเพียงนี้กระมัง?”
“ลือกันว่าอาคันตุกะต้วนของตระกูลหลิงหูยังมีอายุไม่ถึง 3,000 ปีที ถือว่าอ่อนวัยกว่าพวกเราเสียอีก มันก็เลยเข้าทำนองลูกวัวแรกเกิดไม่หวาดพยัคฆ์อย่างไรเล่า…”
“เขาถึงได้พูดกันฉอดๆอย่างไรเล่า ว่าเด็กมันห้าว! รอให้ผ่านไปครบร้อยปีก่อนเถอะ มันถึงจะรู้สึกว่าที่สัญญาที่ลั่นไว้ให้กับตระกูลหลิงหูวันนี้มันเหลวไหลขนาดไหน! ถึงตอนนั้นมันไม่พ้นต้องสลดและสำเหนียกตัว ว่าความสามารถของมันมีจำกัดแค่ไหน!!”
…
หลังได้ยินเรื่องราวที่หลิงหูเจิ้งซิงเล่าออกมา นอกจากโหวชิ่งหนิงแล้ว รุ่นเยาว์คนอื่นๆของตระกูลมู่หรง ก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาปรามาส เพราะพวกมันเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีวันทำตามคำพูดได้แน่นอน
“โฮ่วชิ่งหนิง ข้าได้ยินท่านพ่อบอกมา เห็นว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้เป็นเพื่อนเจ้าเหรอ?”
หลังมองพินิจต้วนหลิงเทียนอยู่พักหนึ่ง สตรีงดงามที่ยืนลอยร่างข้างโหวชิ่งหนิงก็หันไปกระซิบถามโหวชิ่งหนิงเสียงเบาพอให้ได้ยินกัน 2 คน
“มิผิด คุณหนู 3”
โหวชิ่งหนิงพยักหน้ารับ
สตรีงดงามที่ลอยร่างข้างกายโหวชิ่งหนิง ก็คือลูกสาวคนเล็กของมู่หรงอวิ๋นลิ่วที่ดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลมู่หรงคนปัจจุบัน มู่หรงอวิ๋นเยว่
มู่หรงอวิ๋นเยว่นั้นคอยตามโหวชิ่งหนิงแจมาตลอด ทำให้โหวชิ่งหนิงต้องทนรับสายตาอิจฉาริษยาอันแหลมคมปานมีดดาบของหนุ่มๆในตระกูลมู่หรงมาตลอดทางเช่นกัน แต่พอดีว่าโหวชิ่งหนิงชินกับเรื่องนี้เสียแล้ว เพราะมันมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่ในตระกูลมู่หรง
“เพื่อนของเจ้าคนนี้ดูก็รู้ว่าเชื่อถือไม่ได้ ถึงกับกล้าพูดวาจาเขื่องโขออกมาโดยไม่รู้จักประมานตัวเอง หลังจากนี้ข้าเชื่อว่าท่านพ่อเองก็คงไม่รู้สึกยกย่องมันอีกต่อไป”
มู่หรงอวิ๋นเยว่ขมวดคิ้วกล่าวเตือนอย่างจริงจัง “วันหน้าเจ้าก็หาทางห่างๆมัน อย่าไปสุงสิงกับมันมากนัก ข้ากลัวมันจะทำให้เจ้าพลอยเสียคนไปด้วย…”
พอได้ยินวาจาดังกล่าวของมู่หรงอวิ๋นเยว่ โหวชิ่งหนิงก็อยากตอกหน้านางสวนกลับไปดังๆว่า ‘ผู้อื่นจะพาข้าเสียคนก็เรื่องของข้า เจ้ายุ่งอะไรด้วย’ แต่มันก็ไม่ได้พูดออกไป เพียงเอ่ยตอบเสียงเรียบว่า “ในเมื่อต้วนหลิงเทียนลั่นวาจาเช่นนั้นออกมา ข้าเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนต้องทำตามคำพูดได้แน่”
ถึงแม้ว่าตัวโหวชิ่งหนิงเองก็รู้สึกว่า การที่ต้วนหลิงเทียนพูดไว้ว่าจะชดใช้หินเทพ 100 ล้านตำลึงให้ตระกูลหลิงหูภายใน 100 ปีนั้น มันค่อนข้างฟังดูเกินจริงไปบ้าง
อย่างไรก็ตาม พอนึกถึงเรื่องราวดุจปาฏิหาริย์ที่ต้วนหลิงเทียนได้สร้างขึ้นมาในอดีต มันก็เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนต้องสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกครั้งแน่
นอกจากนี้ มันเองก็รู้จักต้วนหลิงเทียนมาสักพักแล้ว มันจึงรู้ดีแก่ใจว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนขี้คุย ที่จะกล่าววาจาเขื่องโขไปเรื่อย
“นี่เจ้ายังจะเชื่อในตัวมันอีกหรือ?”
คิ้วมู่หรงอวิ๋นเยว่ขดย่นเป็นปม จากนั้นก็เอื้อมมือไปแตะหน้าผากของโหวชิ่งหนิงหน้าตาเฉย “โหวชิ่งหนิง เจ้าคงไม่ได้เป็นไข้หรอกนะ…”
“คุณหนู 3 โปรดสำรวมด้วย หญิงชายแตกต่างไม่ควรใกล้ชิด”
ในขณะที่โหวชิ่งหนิงหลีกเลี่ยงมือนาง มันก็อดกล่าวเตือนมู่หรงอวิ๋นเยว่ออกไปไม่ได้ แต่แม้มันจะทำเหมือนไม่พอใจ ทว่าใบหน้ากลับเห่อร้อนเผยความขวยเขินออกมา
ด้านหนุ่มๆของตระกูลหมู่หรงเห็นฉากดังกล่าว ก็กำหมัดกัดฟันกันดังกรอดๆ
“โหวชิ่งหนิง ผู้หญิงข้างกายเจ้าเป็นใครหรือ?”
ด้วยความที่ในบรรดาคนของตระกูลมู่หรงนั้น ต้วนหลิงเทียนรู้จักก็แต่โหวชิ่งหนิง เขาก็เลยให้ความสนใจอีกฝ่ายอยู่ตลอด พอเห็นว่าสหายคนนี้คลายจะสนิทสนมกับสตรีหน้าตาสะสวยนางนั้น ก็เลยอดส่งเสียงผ่านพลังไปถาม เพื่อยืนยันความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายดู
โหวชิ่งหนิงไปเข้าร่วมตระกูลมู่หรงได้ไม่ทันไร ดูเหมือนไม่เพียงจะอยู่ดี กระทั่งส่อแววจะสละโสดแล้วเหรอ?
“นี่คือคุณหนู 3 ของตระกูลมู่หรง มู่หรงอวิ๋นเยว่ และนางยังเป็นลูกสาวคนเล็กของผู้นำตระกูลมู่หรงคนปัจจุบัน”
โหวชิ่งหนิงก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับเร็วไว
“โฮ่ว…ดูท่าอีกไม่นานเพื่อนข้าคงกลายเป็นเขยของตระกูลมู่หรงแล้วกระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มถามผ่านพลังด้วยสายตาหยอกล้อ
“ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไรเช่นนั้นนะ!”
โหวชิ่งหนิงเร่งกล่าวตอบกลับมาเร็วไว “เป้าหมายของข้าคือเร่งทะลวงไปให้ถึงขอบเขตจอมราชันเทพโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็นำพานิกายหมื่นจันทราให้กลายเป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ! เว้นเสียแต่นิกายหมื่นจันทราของข้าจะกลายเป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ หาไม่แล้วข้าไม่คิดเรื่องแต่งงานใดๆทั้งสิ้น!!”
น้ำเสียงยามกล่าวของโหวชิ่งหนิง ช่างจริงจังทั้งแน่วแน่
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มันพูดวาจาดังกล่าวออกมา ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายก็เผลอมองไปทางมู่หรงอวิ๋นเยว่โดยไม่รู้ตัว ส่วนด้านมู่หรงอวิ่นเยว่นั้น เขาสังเกตเห็นสายตาหลงใหลของนางที่มีต่อสหายเขาแต่แรกแล้ว
ต้วนหลิงเทียนย่อมแลเห็นได้ชัดเจน
นี่คล้ายๆ บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี อยู่บ้าง
(หลงรักอีกฝ่ายอยู่ข้างเดียว ทอดสะพานให้ก็แล้วทำนู่นนี่นั่นให้ก็แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่เหลียวแลไม่เห็นค่า)
ติดก็ตรงที่ เขามองออกว่าโหวชิ่งหนิงไม่ใช่ไม่มีใจ แต่ระงับตัวเองเอาไว้
ขณะเดียวกัน ด้านรุ่นเยาว์ของตระกูลมู่หรง มีบางคนที่ดันได้ยินคำพูดกระซิบกระซาบระหว่างโหวชิ่งหนิงกับมู่หรงอวิ๋นเยว่ ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวแขวะออกมา
หากทว่าพอมู่หรงอวิ๋นเยว่หันไปเหลือบมองตาขวาง คนเหล่านั้นก็ได้แต่ปิดปากเงียบอีกรอบ
เห็นฉากดังกล่าวมุมปากต้วนหลิงเทียนก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าคุณหนู 3 ตระกูลมู่หรงจะมีใจให้สหายเขาไม่น้อย ไม่งั้นนางคงไม่ออกตัวปกป้องราวแม่เสือแบบนี้
“คุณหนู 3…”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปส่งเสียงผ่านพลังทักมู่หรงอวิ๋นเยว่ทันที
“หือ?”
ด้านมู่หรงอวิ๋นเยว่ที่อยู่ๆก็ได้รับเสียงผ่านพลังจากต้วนหลิงเทียนนางก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนพลางเอ่ยถามด้วยเสียงผ่านพลังด้วยความงุนงง “ต้วนหลิงเทียน เจ้าส่งเสียงผ่านพลังมาหาข้าหรือ?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับไปเร็วไว จากนั้นก็เอ่ยถามผ่านพลังด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “คุณหนู 3 หากข้าเข้าใจไม่ผิด…ดูเหมือนท่านจะแอบชอบสหายข้าอยู่กระมัง”
“เจ้า…เจ้าพูดเหลวไหลอะไรของเจ้าอยู่กัน!”
พวงแก้มมู่หรงอวิ๋นเยว่ขึ้นสีแดงระเรื่อยากที่ใครจะสังเกตเห็น จากนั้นก็เร่งกล่าวกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงมีโทสะ “ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่เพียงแต่จะได้รู้ว่าเจ้าชอบพูดจาคำโต แต่ที่แท้เจ้ายังชอบกล่าวเหลวไหลอีกด้วย”
“คุณหนู 3 ในเมื่อท่านไม่อยากยอมรับออกมาเช่นนี้ ข้าก็จนปัญญาจะช่วยท่านแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวผ่านพลังสืบต่อด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “เฮ่อ สหายข้าคนนี้ปณิธานแรงกล้านัก ข้าเกรงว่าท่านคงต้องรออีกหลายพันไม่ก็หลายหมื่นปี…เพราะตอนนี้มันเอาแต่จะมุ่งมั่นบ่มเพาะให้ด่านพลังทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพ ทั้งยังตั้งเป้าว่าจะนำพานิกายหมื่นจันทราที่ในปัจจุบันเป็นเพียงขุมกำลังระดับราชาเทพ ให้กลายเป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอีก…”
“แถมมันยังบอกข้าอีกด้วย ว่าหากเป้าหมายเรื่องยกระดับนิกายหมื่นจันทราให้เป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพของมันยังไม่ลุล่วง มันก็ไม่คิดจะแต่งงาน…”
พอได้ยินคำพูดผ่านพลังดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน สองตามู่หรงอวิ๋นเยว่ก็ฉายชัดถึงความกังวลขึ้นมาทันที “มัน…มันพูดเช่นนี้จริงๆหรือ?”
เรียกว่ามู่หรงอวิ๋นเยว่ตื่นตระหนกจริงๆแล้ว
นางชอบโหวชิ่งหนิงมาก
กระทั่งตัวนางเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าไฉนยามพบเจอโหวชิ่งหนิงครั้งแรก นางยังรู้สึกเสมือนหัวใจเต้นรัวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ต่อมาจึงเริ่มตั้งคำถามว่านี่ใช่ ‘รักแรกพบ’ ในตำนานที่เพื่อนสาวทั้งหลายชมชอบพูดถึงหรือไม่ และต่อมายิ่งพบเจอโหวชิ่งหนิงมากเท่าไหร่ ความรู้สึกที่มีต่อโหวชิ่งหนิงก็ยิ่งมากขึ้น
นางเองก็รู้ดีว่าสตรีควรรักนวลสงวนตัว และไม่ออกตัวแรงจนเกินไป…
แต่ทุกครั้งที่นางพบเจอโหวชิ่งหนิง นางก็อดไม่ไหวทุกที
“ข้าจะโกหกท่านไปทำอะไรเล่า หาไม่แล้วท่านไม่รู้สึกแปลกๆบ้างหรือว่าไฉนโหวชิ่งหนิงคล้ายจะเย็นชาใส่ท่านนัก?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามให้คิด
“ดูเหมือนเป็นเช่นนั้นจริงๆ…”
มู่หรงอวิ๋นเยว่ลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่แท้สาเหตุที่โหวชิ่งหนิงพยายามขีดเส้นกั้นนาง ไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายไม่ชอบนาง แต่เพราะอีกฝ่ายมีอุดมการณ์อันสูงส่ง และไม่คิดให้เรื่องอื่นใดมาส่งผลกระทบก่อนจะบรรลุเป้าหมาย
“ท่านอยากแต่งกับมันหรือไม่เล่า?”
ตั้งแต่ที่เห็นว่าโหวชิ่งหนิงก็เหมือนจะมีใจให้คุณหนู 3 นี้ไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะผันตัวไปเป็นพ่อสื่อสักครา และพอได้มาคุยกับมู่หรงอวิ๋นเยว่ผ่านพลัง เขาก็รู้ดีว่ามู่หรงอวิ๋นเยวก็มีใจให้โหวชิ่งหนิงมาก จึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่อาจไม่ส่งเสริม!
“เจ้า…เจ้ามีหนทางหรือ?”
ขณะเอ่ยถามคำนี้ออกไป แน่นอนว่าสองตามู่หรงอวิ๋นเยว่ก็ลุกวาวขึ้นมาเจิดจ้า
จังหวะนี้นายคล้ายไม่รู้ว่าคำ ‘สำรวม’ คืออะไร
ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ได้ทันทีว่า ปลางับเหยื่อแล้ว