“ตู้ปั้วจวินผู้นี้กลับซุกซ่อนพลังเอาไว้จริงๆ!”
“ปรากฏว่าพลังสายเลือดที่มันใช้ออกมาก่อนหน้าไม่ใช่ทั้งหมด…ข้าได้ยินมานานแล้วว่าบางคนสามารถควบคุมพลังสายเลือดให้ปลดปล่อยออกมาบางส่วนได้ วันนี้นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ข้าได้เห็นคนทำอะไรเช่นนี้กับตา!”
“เดิมทีการประลองก็สูสีอยู่หรอก แต่พอตู้ปั้วจวินใช้พลังสายเลือดที่แท้จริงออกมา ข้าเกรงว่าผลการประลองคงออกมาแล้ว”
…
การระเบิดพลังออกมาอย่างกะทันหันของตู้ปั้วจวิน ทำให้ผู้ชมอดตกใจไม่ได้
ส่วนทางด้านนิกายหมอกเร้นลับนั้น สีหน้าของเฉียนหยิ่นประมุขนิกายหมอกเร้นลับบิดเบี้ยวไปทันที
กลับดัน คนของนิกายหมื่นปีศาจบัดนี้ พากันคลี่ยิ้มสดใสทั้งสะใจออกมา
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าหลินฉงกับหลิวอี้หมิงต้องแพ้พ่ายแน่ๆ อยู่ๆอาวุธเทพในมือของพวกมันก็ถูกสับเปลี่ยน จากนั้นพลังเทพที่ทรงพลังกว่ากาลก่อนก็ปะทุขึ้น!
ในช่วงเวลาคับขัน ทั้งคู่กลับเปลี่ยนอุปกรณ์เทพ!
“เฮ่ นั่นมันอุปกรณ์เทพขั้นสูง!”
“จึกๆๆ…คราวนี้นิกายหมอกเร้นลับ ถึงกับมอบอุปกรณ์เทพขั้นสูง 2 ชิ้นให้หลินฉงกับหลิวอี้หมิงยืมใช้ในการแข่งขันมังกรซ่อนเชียว?”
“เหอะๆ นิกายหมอกเร้นลับนำอุปกรณ์เทพขั้นสูงให้หลินฉงกับหลิวอี้หมิงยืมแล้วอย่างไรเล่า…อย่าได้ลืมไปว่าตู้ปั้วจวินเป็นหลานของ ตู้จ้าน อาวุโสสูงสุดของนิกายหมื่นปีศาจ ในมือมันจะไม่มีอุปกรณ์เทพขั้นสูงได้หรือ?”
…
อุปกรณ์เทพขั้นสูงในมือของหลินฉงกับหลิวอี้หมิงนั้น เป็นอาจารย์ของพวกมันให้ยืมใช้เป็นการชั่วคราว และหมายให้พวกมันทั้งคู่ใช้เป็นไพ่ตายในการแข่งขันมังกรซ่อน
อนิจจาการประลองกับตู้ปั้วจวิน กลับบีบบังคับให้พวกมันจำต้องนำไพ่ตายใบนี้ออกมาใช้ เพราะหากพวกมันไม่เอาออกมาใช้ เกรงว่าคงต้องแพ้พ่ายเป็นแน่
“พวกเจ้าคิดว่า…พวกเจ้ามีอุปกรณ์เทพขั้นสูงแค่คนเดียวรึ?”
ในขณะที่ผู้ชมโดยรอบกำลังคาดเดากันไปเรื่อย มุมปากตู้ปั้วจวินก็ยกยิ้มบางๆขึ้น จากนั้นอุปกรณ์เทพในมือมันก็เปลี่ยนไปทันที กลายเป็นอุปกรณ์เทพขั้นสูงเช่นกัน!
พริบตาต่อมาพลังกระบวนท่าที่มันใช้ก็ทวีความรุนแรงขึ้นในฉับพลัน สุดท้ายก็เอาชนะกระบวนท่าผสานของทั้งคู่ลงได้!
ปงงง!!
เปรี๊ยงง!!
…
แรงระเบิดอันน่าหวาดกลัวอุบัติขึ้นอีกครั้ง พลังของตู้ปั้วจวินทำลายการจู่โจมของหลินฉงกับหลิวอี้หมิงลงได้ราบคาบ กระทั่งยังเหลือพลังทำลายไม่ใช่ชั่วเข่นฆ่าเข้าใส่ทั้งคู่สืบต่อ! แม้ว่าอานุภาพทำลายจะพร่องไปบ้างแล้ว แต่ในจังหวะที่ทั้งคู่ไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ ขืนโดนเข้าต้องสาหัสเป็นแน่!!
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เฉียนหยิ่งประมุขนิกายหมอกเร้นลับก็ไม่อาจนิ่งดูดายสืบไป คนวูบร่างไปหยุดขวางเบื้องหน้าทั้งสองทันที จากนั้นก็สลายพลังที่เหลือของตู้ปั้วจวินได้ง่ายดาย
ฉากดังกล่าวทำให้ผู้คนโดยรอบขมวดคิ้วอยู่บ้าง
ด้านคนของนิกายหมื่นปีศาจยิ่งไม่พอใจกว่าใคร
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่คนของนิกายหมื่นปีศาจจะได้โวยวายอะไร เฉียนหยิ่นประมุขนิกายหมอกเร้นลับก็เร่งกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด “การประลองครั้งนี้ นิกายหมอกเร้นลับของข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
“ตู้ปั้วจวินของนิกายหมื่นปีศาจช่างร้ายกาจสมคำร่ำลือจริงๆ”
“สมแล้วที่เป็นถึงอันดับ 2 ในบรรดารุ่นเยาว์ของนิกายหมื่นปีศาจ พลังฝีมือเป็นรองก็แต่หยางเชียนเย่ผู้นั้นคนเดียว!”
เฉียนหยิ่นกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด
จากนั้นเฉียนเย่สะบัดมือเบาๆ แหวนพื้นที่วงหนึ่งก็ลอยไปหยุดลงเบื้องหน้าหลานชิงประมุขนิกายหมื่นปีศาจ “ประมุขหลานชิง ในแหวนนั่นมีหินเทพ 2 ล้านตำลึงที่นิกายหมอกเร้นลับเราแพ้เดิมพันเก็บไว้ ลองนับดูก่อนได้”
“ประมุขเฉียนเกรงใจไปแล้ว”
หลานชิงที่เดิมสีหน้าบูดบึ้งเพราะเฉียนหยิ่งเข้ามาแทรก แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายประกาศยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ใบหน้าบูดบึ้งของมันก็เริ่มปรากฏรอยยิ้มสดใสเข้ามาแทนที่
เพราะหากเป็นตัวมันเอง ถ้าตู้ปั้วจวินตกอยู่ในอันตรายมันก็จะสอดมือเช่นกัน
เช่นนั้นแม้การสอดมือของเฉียนหยิ่นจะทำให้มันไม่พอใจ แต่มันก็มีคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
เมื่อเทียบกับการที่ศัตรูเก่าเปิดปากกล่าวคำยอมแพ้มันต่อหน้าผู้คนมากมาย กล่าวได้ว่าความไม่พอใจเล็กๆนั่น ก็สลายหายไปหมดสิ้น
อย่างไรก็ตามในบรรดาศิษย์ของนิกายหมื่นปีศาจ ยังมีคนอดกล่าวคำเย้ยหยันออกมาไม่ได้ “คนของนิกายหมอกเร้นลับนี่ ที่แท้ก็แพ้ไม่เป็นจริงๆ”
“ใช่ หากว่าข้าจำไม่ผิด ก่อนเริ่มประลองผู้ใดกล่าวไว้นะ ว่าดาบกระบี่ไร้นัยน์ตา แม้จะทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ปั้วจวินบาดเจ็บ แต่ก็ไม่คิดโทษ…ข้าล่ะขำจริงๆ!”
“ในสายตาข้าตอนนี้รุ่นเยาว์ของนิกายหมอกเร้นลับมันสิ้นไร้อัจฉริยะแล้วจริงๆ…บางทีหลังจากนี้ไม่ถึงพันปี นิกายหมื่นปีศาจของพวกเราคงฮุบกลืนนิกายหมอกเร้นลับได้”
…
เรียกว่าเหล่าศิษย์ของนิกายหมื่นปีศาจได้ทีขี่แพะไล่ กล่าววาจาเกทับออกมาไม่ยั้ง
ส่วนด้านศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับที่พ่ายแพ้ สีหน้าก็แดงก่ำเพราะความคับข้องใจ อนิจจาพวกมันไม่มีอะไรจะเถียง เพราะคราวนี้นิกายหมอกเร้นลับของพวกมันพ่ายแพ้ยับเยินจริงๆ
ด้านศิษย์หลักนิกายหมอกเร้นลับทั้ง 2 อย่างหลินฉงกับหลิวอี้หมิง ก็ได้แต่ย้อนกลับไปรวมกลุ่มด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยาก
พวกมันคิดไม่ถึงจริงๆว่าตู้ปั้วจวินจะร้ายกาจขนาดนี้ พลังฝีมือยังเหนือกว่าคำร่ำลือเสียอีก…กระทั่งในข่าวลือ พลังฝีมือของตู้ปั้วจวินวันนี้สมควรเทียบได้กับหยางเชียนเย่ด้วยซ้ำ
แต่พิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ลองตู้ปั้วจวินมีพลังทัดเทียมกับหยางเชียนเย่ในข่าวลือ เช่นนั้นน่ากลัวพลังฝีมือที่แท้จริงของหยางเชียนเย่คงเหนือกว่าที่ร่ำลือไปไกล
สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงเรื่องที่หยางเชียนเย่เป็นรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของนิกายหมื่นปีศาจไปได้
เรื่องตลกครั้งนี้ ก็จบลงด้วยการที่นิกายหมื่นปีศาจกดหัวนิกายหมอกเร้นลับต่อหน้าสาธารณชน
และพอเรื่องมันจบแบบนี้ หลายคนก็อดหันไปมองทางต้วนหลิงเทียนไม่ได้ เพราะถ้าวันนี้ต้วนหลิงเทียนยังอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับ บางทีอาจนำชัยชนะกลับสู่นิกาย
“ตู้ปั้วจวิน หากต้วนหลิงเทียนยังอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับ และวันนี้เป็นต้วนหลิงเทียนที่สู้กับเจ้า…เจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะมันได้หรือไม่?”
คนดูบางคนคล้ายกลัวโลกวุ่นวายไม่พอ ก็โพล่งถามออกมาเสียงดัง
และคนที่โพล่งออกมาที่ว่า ก็เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง มาในชุดผ้าแพรหรูปักลายงามวิจิตร แม้หน้าตามันจะแลดูธรรมดา แต่สองตาของมันกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง
มันลองร่างอยู่ด้านหลังชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่แลดูน่าเกรงขาม และชายวัยกลางคนที่แลดูสง่างามน่าเกรงขามนั่นก็เหินร่างนำหน้ากลุ่มคนนับร้อยกลางอากาศด้านหนึ่ง
และคนนับร้อย มีมันเหินนำอยู่ด้านหน้าเพียงลำพัง
“ประมุขนิกายบูรพารุ่งโรจน์ ครั้งสุดท้ายที่พวกเราพบกัน ดูเหมือนจะผ่านไป 300 กว่าปีแล้ว…ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าวันนี้ท่านจะพาเด็กๆในนิกายมาด้วยตัวเอง”
หลานชิงประมุขนิกายหมื่นปีศาจ หันไปมองกล่าวกับชายวัยกลางคนที่แลดูสง่างามน่าเกรงขามเบื้องหน้าชายหนุ่มในชุดผ้าแพรหรูหราด้วยรอยยิ้ม
“ประมุขหลาน สบายดีกระมัง”
ชายวัยกลางคนที่แลดูสง่างามน่าเกรงขามนั่น ก็คลี่ยิ้มพลางพยักหน้าให้หลานชิง “ไม่ทันไร พวกเราก็ไม่พบกันกว่า 300 ปีแล้ว…”
“ข้ายังจำได้ว่า เมื่อ 300 ปีก่อน พวกเราก็เจอกันก่อนการทดสอบรับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์เช่นนี้กระมัง?”
พอกล่าวจบคำ ชายวัยกลางคนที่แลดูสง่างามก็หันไปกล่าวกับชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง “ตู้เอ๋อ ยังไม่รีบคารวะประมุขหลานชิงอีก”
“หัวเทียนตู้ ขอคารวะประมุขหลานชิง!”
ด้านชายหนุ่มในชุดแพรหรูหราที่โพล่งถามโหวชิ่งหนิงก่อนหน้า ราวกับกลัวโลกจะวุ่นวายไม่พอ ก็เร่งประสานมือโค้งคารวะหลานชิงเล็กน้อย
“ชื่อเสียงของหลานเทียนตู้ ข้าเองก็ได้ยินมานานแล้ว…”
หลายชิงยิ้มพูด “ข้าได้ยินมาว่าตั้งแต่ที่หลานเทียนตู้ ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นสูง ก็กลายเป็นศิษย์หลักอันดับ 1 ของนิกายบูรพารุ่งโรจน์ อีกทั้งในนิกายก็มีตัวตนใต้ขอบเขตจอมราชันเทพไม่กี่คนที่ต่อกรกับเจ้าได้…”
“หากวันนี้หลานเทียนตู้มาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบรับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ กระทั่งคิดเข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนล่ะก็…ข้าเกรงว่า 1 ใน 3 อันดับแรกต้องมีชื่อหลานเทียนตู้แน่แล้ว”
คำพูดของหลานชิง ฟังแล้วไม่ขาดการยกยอปอปั้นแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกัน ผู้ชมโดยรอบก็ได้รู้จักตัวตนของชายหนุ่มในชุดแพรหรูหราที่โพล่งออกมาคล้ายกลัวโลกวุ่นวายไม่พอเรียบร้อย ที่แท้มันคือนายน้อยแห่งนิกายบูรพารุ่งโรจน์ หัวเทียนตู้!
นิกายบูรพารุ่งโรจน์ก็เป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเช่นกัน และยังเป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่ทรงพลังและอิทธิพลเหนือกว่านิกายหมอกเร้นลับ นิกายหมื่นปีศาจ ตระกูลหลิงหูรวมถึงตระกูลมู่หรงอีกด้วย
เพราะในนิกายบูรพารุ่งโรจน์มีชนชั้นจอมราชันเทพขั้นกลางหลายคน
และสายนิกายบูรพารุ่งโรจน์ในนิกายมังกรสวรรค์ ก็มีตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพขั้นสูงดำรงอยู่ ทำให้สายของนิกายบูรพารุ่งโรจน์ในนิกายมังกรสวรรค์ค่อนข้างมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ห่างไกลเกินกว่าที่นิกายหมอกเร้นลับ นิกายหมื่นปีศาจ ตระกูลหลิงหู หรือขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอื่นๆจะเทียบเคียงได้
นิกายบูรพารุ่งโรจน์แทบจะเป็นสาขาย่อยของนิกายมังกรสวรรค์กลายๆแล้ว!
“นิกายบูรพารุ่งโรจน์…”
ต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินชื่อเสียงของนิกายบูรพารุ่งโรจน์มาเนิ่นนาน และรู้ว่านิกายบูรพารุ่งโรจน์ ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของนิกายมังกรสวรรค์ ห่างไกลจากตระกูลหลิงหู นิกายหมื่นปีศาจ นิกายหมอกเร้นลับ รวมถึงตระกูลมู่หรงมาก
นอกจากนั้น หัวชุ่นหนิง ประมุขนิกาบูรพารุ่งโรจน์คนปัจจุบัน ก็เป็นจอมราชันเทพขั้นกลางชนชั้นยอดฝีมือแล้ว
‘เจ้านั่นน่ะหรือ หัวชุ่นหนิง?’
สองตาต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนที่แลดูสง่างามน่าเกรงขาม ที่นำพากลุ่มคนของนิกายบูรพารุ่งโรจน์เดินทางมาเพียงลำพัง และเขาพบว่าลักษณะท่วงท่าไม่เว้นบุคลิกหรืออารมณ์ความรู้สึกที่มันส่งออกมา เสมือนผู้ทีดำรงตำแหน่งเจ้าคนนายคนมานาน
และไม่ใช่แค่หัวชุ่นหนิงเท่านั้น ชื่อเสียงของหัวเทียนตู้เองต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินมาเช่นกัน
หัวเทียนตู้นั้นเป็นลูกชายคนที่ 4 ของหัวชุ่นหนิง และถือว่ามันเป็น 1 ใน 2 ลูกชายของหัวชุ่นหนิ่ง ที่มีพรสวรรค์และความเข้าใจสูงที่สุด
ส่วนลูกชายอีกคนที่พูดถึง มันมีนามว่า หัวเทียนเฉิง ได้เข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์นานมาแล้ว แถมยังเป็น 1 ใน 3 ผู้อาวุโสมังกรขาวที่มีอายุน้อยที่สุดในนิกายมังกรสวรรค์อีกด้วย
ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะอาวุโสทั้ง 3 ของตระกูลหลิงหู และเหล่าคนของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทั้งหลายที่พาเหล่าศิษย์มาครั้งนี้ ก็เร่งกล่าวคำทักทายหัวชุ่นหนิงกันทีละคนๆ
กระทั่งผู้นำของเหล่าขุมกำลังระดับราชาเทพ ก็เร่งรุดโค้งคารวะหัวชุ่นหนิงอย่างนอบน้อม พอเห็นหัวชุ่นหนิงพยักหน้ากลับเป็นการรับการทักทาย พวกมันก็เป็นปลื้มกันใหญ่
‘ถึงจะเป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเหมือนกัน แต่กลับมีช่องว่างอันกว้างใหญ่นัก’
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าทำให้ต้วนหลิงเทียนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ พอเปรียบเทียบกับขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอย่างนิกายบูรพารุ่งโรจน์แล้ว ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอย่างตระกูลหลิงหู นิกายหมอกเร้นลับ นิกายหมื่นปีศาจรวมถึงตระกูลมู่หรง นั้นด้อยกว่ากันมาก
‘ยิ่งไปกว่านั้นในเขตคฤหาสน์ตงหลิงยังมีขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่ทรงพลังเหนือกว่านิกายบูรพารุ่งโรจน์เสียอีก…แถมขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเหล่านั้นก็ไม่ขาดตัวตนระดับจอมราชันเทพขั้นสูงเลย’
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพแบบนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องประจบประแจงขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ ที่ไร้ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเทพดำรงอยู่เหมือนนิกายมังกรสวรรค์เลย
พูดกันตรงๆ ถึงแม้นิกายมังกรสวรรค์จะเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ แต่อันที่จริงแล้วนั่นคือรากฐานที่บรรพชนเคยสร้างเอาไว้ ในแง่กำลังรบที่แท้จริง เต็มที่ก็เทียบได้กับขุมกำลังระดับจอมราชันเทพชั้นแนวหน้าเท่านั้น
เมื่อมีพลังอำนาจไม่แพ้นิกายมังกรสวรรค์ และต่อให้ด้อยกว่าแต่ถ้าด้อยกว่าไม่มาก เป็นธรรมดาที่ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพชั้นแนวหน้าเหล่านั้นจะไม่เต็มใจอยู่ภายใต้นิกายมังกรสวรรค์
และขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่อยู่ใต้อาณัติของนิกายมังกรสวรรค์ ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เพียงทัดเทียมกับนิกายบูรพารุ่งโรจน์เท่านั้น และยอดฝีมือก็มีเพียงหยิบมือเดียว จึงไม่ได้ปลีกตัวออกจากใต้อาณัติของนิกายมังกรสวรรค์
“เฮ่ ตู้ปั้วจวิน เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย!”
หลังจากที่เหล่าผู้นำของแต่ละขุมกำลังคารวะทักทายหัวชุ่นหนิงแล้วเสร็จ นายน้อยของนิกายบูรพารุ่งโรจน์ หัวเทียนตู้ ก็โพล่งถามตู้ปั้วจวินออกมาอีกครั้ง
จังหวะนี้ สายตาของผู้คนโดยรอบจก็เลยเบนไปตกยังร่างตู้ปั้วจวินโดยไม่รู้ตัว
หากเป็นคนธรรมดากล่าวถาม ตู้ปั้วจวินอาจเพิกเฉยได้
แต่บัดนี้นายน้อยนิกายบูรพารุ่งโรจน์ได้กล่าวถามมันซ้ำ ต่อให้มันจะไม่พอใจแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ และหลังจากยิ้มให้หัวเทียนตู้แล้ว มันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว