ในขณะเดียวกันกับที่ตู้ปั้วจวินมองไปยังต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนก็มองไปที่มันเช่นกัน ยังสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง
  หลังจากนั้นตู้ปั้วจวินก็ส่ายหัวไปมา ก่อนจะหันไปมองตอบหัวเทียนตู้ว่า “ข้าไม่แน่ใจ”
  ไม่แน่ใจ
  พอตู้ปั้วจวินกล่าวคำนี้ออกมา ฉากเรื่องราวโดยรอบก็กลายเป็นฮือฮาทันที สายตาที่แต่ละคนใช้มองต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ทวีความยำเกรงมากขึ้น
  พลังความแข็งแกร่งของตู้ปั้วจวินนั้น ทุกคนเห็นกันชัดถนัดตาแล้ว
  แต่กระนั้น ตู้ปั้วจวินกลับไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้?
  สิ่งนี้บอกให้รู้ว่าตู้ปั้วจวินเองก็ยำเกรงต้วนหลิงเทียนอยู่สามส่วน
  ในเวลาเดียวกันผู้คนโดยรอบก็ยิ่งคิดมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการที่นิกายหมอกเร้นลับสูญเสียต้วนหลิงเทียนไป ช่างเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงนัก
  แม้แต่ศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับเองก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา บ้างก็ถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน พวกมันอดคิดไปไม่ได้ว่า หากวันนี้ต้วนหลิงเทียนยังอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับ ไหนเลยนิกายหมอกเร้นลับต้องเสียหน้าแบบนี้
  “เจ้านับว่ายังรู้ตัวเองดี”
  หลังได้ยินคำตอบของตู้ปั้วจวิน หัวเทียนตู้ก็หัวเราะร่า จากนั้นสองตามันก็มองตัดระยะไปหยุดลงบนร่างต้วนหลิงเทียน ในแววตาเริ่มฉายความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
  “ต้วนหลิงเทียน ตอนเจ้าฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวไป เจ้าเป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำเท่านั้น…ตอนนี้หลังจากผ่านไป 20 กว่าปี…เจ้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นกลางแล้วหรือยัง?”
  หัวเทียนตู้โพล่งถามต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงดังฟังชัด
  จังหวะนี้ ตู้ปั้วจวินรวมถึงกลุ่มคนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง ก็หันมามองรอฟังคำตอบจากต้วนหลิงเทียนกันใหญ่
  ในบรรดาคนที่รอฟังคำตอบ ก็มีเฉียนหยิ่นประมุขนิกายหมอกเร้นลับรวมถึงอาวุโสเหล่ยอาวุโสสูงสุดของนิกายหมอกเร้นลับรวมอยู่ด้วยเช่นกัน
  และเป็นธรรมดาว่าตอนที่หัวเทียนตู้เอ่ยถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวออกมา หว่างคิ้วของอาวุโสเหล่ยก็ขดย่นเป็นปม สีหน้ายังแลดูอึมครึมขึ้นมาทันที เพียงแต่มันไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
  ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันเกือบจะลืมไปแล้ว แต่ตัวตนของหัวเทียนตู้เองก็ทำให้มันไม่กล้าเผยท่าทีไม่พอใจออกมา
  และเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนลอยร่างอยู่ใกล้ๆกับอาวุโสสูงสุดทั้ง 3 ของตระกูลหลิงหู ทำให้ไม่มีใครกล้าใช้สำนึกเทวะตรวจวสอบพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนส่งเดช
  เช่นนั้นทุกคนก็ได้แต่รอฟังต้วนหลิงเทียนตอบออกมาเท่านั้น
  “ทะลวงผ่านแล้ว”
  กับคำถามของหัวเทียนตู้ ต้วนหลิงเทียนก็เลือกพยักหน้ากล่าวตอบออกไปตามตรง สำหรับเขา นายน้อยของนิกายบูรพารุ่งโรจน์ผู้นี้แลดูโผงผางตรงไปตรงมาดี เขาไม่ได้รังเกียจคนประเภทนี้สักเท่าไหร่
  และเขาเองก็มองออกได้ไม่ยาก ว่าอีกฝ่ายแค่ทำอะไรตามใจ
  เป็นธรรมดาว่าเพราะอีกฝ่ายมีทุนรอนให้ทำอะไรตามใจ
  “ร้ายกาจแท้!”
  หลังได้ฟังคำตอบจากปากต้วนหลิงเทียน หัวเทียนตู้ก็ยกนิ้วให้ด้วยท่าทางชื่นชมจริงๆ “ต้วนหลิงเทียน ข้าลองถามตัวเองดูแล้ว ก็บอกได้ว่าตอนข้ายังอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำคงไม่มีปัญญาสู้กับราชาเทพขั้นสูงได้…แต่เจ้า ทั้งๆที่เป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำกลับมีพลังสามารถเอาชนะราชาเทพขั้นสูงทั่วไปได้แล้ว!”
  “ตอนนี้ในเมื่อเจ้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง ข้าเกรงว่าในเขตคฤหาสน์ตงหลิง คงไร้ตัวตนที้อยู่ใต้ขอบเขตจอมราชันเทพคนไหนสู้เจ้าได้แล้วกระมัง ถึงต่อให้มีก็คงนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว”
  ในวาจาของหัวเทียนตู้ไม่ขาดการชื่นชมแม้แต่น้อย
  “นายน้อยเทียนตู้ก็กล่าวชมข้าเกินไป”
  ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มรับอย่างถ่อมตัว
  “ข้าหวังว่าจะได้สู้กับเจ้าในการแข่งขันมังกรซ่อน…ถึงแม้ข้าจะไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเจ้าได้ก็ตาม”
  หัวเทียนตู้หัวเราะออกมาดังร่า
  พอต้วนหลิงเทียนยอมรับว่าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นกลางแล้ว ผู้คนโดยรอบนอกจากเหล่าผู้นำของนิกายหมอกเร้นลับ ตระกูลหลิงหู ตระกูลมู่หรงและนิกายหมื่นปีศาจก็อึ้งไปเป็นแถบ
  แม้แต่เหล่าศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับ นิกายหมื่นปีศาจ ตระกูลหลิงหูรวมถึงตระกูลมู่หรงก็อดอึ้งไปไม่ได้
  ส่วนที่ไฉนระดับสูงๆของขุมกำลังเหล่านี้ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะพวกมันทราบแต่แรกแล้ว
  จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็เลยกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง
  แต่ไม่ถึงหนึ่งเค่อทุกคนก็เลิกให้ความสนใจต้วนหลิงเทียน อีกทั้งเหล่าผู้ชมที่มามุงดูรอบๆก็เริ่มแยกย้ายจากไป
  ผู้คนส่วนใหญ่ที่มาเข้าร่วมการทดสอบรับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ นอกจากจะรู้จักมักคุ้นกันแล้ว บ้างยังสนิทกัน ทำให้ไปจับกลุ่มสนทนากันตามประสา เพราะบางคนนานๆทีถึงจะได้เจอกันสักครั้ง
  อย่างไรก็ตาม แม้จะแยกย้ายกันไปแล้ว แต่หัวข้อสนทนาก็ยังมีเรื่องต้วนหลิงเทียนโผล่มาเป็นครั้งคราว
  ทางด้านคนของตระกูลมู่หรงก็อยู่รวมกลุ่มกับคนของตระกูลหลิงหู
  ด้านโหวชิ่งหนิงเองก็เหินร่างเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนเช่นกัน พอมาถึงมันก็ชวนคุยทันที “ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้าทะลวงถึงราชาเทพขั้นกลางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
  “เจ้าบ้านี่ เจ้ามันจะซ่อนได้ลึกเกินไปแล้ว!”
  “ตอนข้าส่งข้อความไปหา 2-3 ครั้งก่อนหน้าไม่เห็นเจ้าจะพูดถึงเรื่องนี้เลย…พอคิดดูข้าดันซื่อสัตย์เกินไป พอทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำปุ๊บ ข้าก็บอกข่าวดีกับเจ้าปั๊บ”
  โหวชิ่งหนิงนั้นพึ่งทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำเมื่อ 2 ปีก่อน และทันทีที่มันทะลวงด่านสำเร็จ มันก็เร่งส่งข้อความไปบอกต้วนหลิงเทียนทันที
  “เจ้าแน่ใจหรือว่าแค่คิดจะบอกข่าวดีกับข้าเฉยๆ ไม่ได้คิดจะอวดด่านพลัง?”
  ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น พลางย้อนถามด้วยรอยยิ้ม และนั่นก็ทำให้โหวชิ่งหนิงหน้าแห้งไปทันที เพราะที่มันส่งข้อความไปบอกข่าวดี อันที่จริงมันก็คิดจะอวดต้วนหลิงเทียนจริงๆนั่นล่ะ
  อย่างไรก็ตาม พอเอ่ยถึงเรื่องทะลวงด่านขึ้นมา มันก็อดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซาบซึ้ง
  เพราะมันรู้แก่ใจดี ที่มันสามารถก้าวหน้าถึงขอบเขตราชาเทพได้รวดเร็วขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นความดีความชอบของต้วนหลิงเทียนคนเดียว
  ต้วนหลิงเทียนนั้น ตอนแรกก็ได้มอบโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งขั้นสุดยอดให้มันหนึ่งชุด นอกจากนั้นยังมีโอสถเทพระดับราชาอีกมากมาย และภายหลังต้วนหลิงเทียนยังติดต่อมาบอกให้มันส่งคนของนิกายหมื่นจันทราที่เชื่อใจได้ ให้มารับโอสถที่ตระกูลหลิงหูอีก…และนั่นไม่ใช่น้อยๆเลย
  ในบรรดาโอสถเทพเหล่านั้น มีแม้กระทั่งโอสถเทพระดับราชา ที่สามารถขจัดปัญหาจุดรอคอยสำหรับเทพขั้นสูงที่คิดจะทะลวงไปยังขอบเขตราชาเทพรวมอยู่ด้วย
  เม็ดยาดังกล่าว สรรพคุณของมันก็คล้ายๆกับโอสถเทพทะลวงราชัน ที่นิกายมังกรสวรรค์จะมอบให้เป็นของรางวัลผู้ที่ติด 10 อันดับแรกในการแข่งขันมังกรสวรรค์ครั้งนี้
  และต้องทราบด้วยว่า โอสถเทพระดับราชาที่ช่วยให้ตัวตนขอบเขตเทพทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพได้ มันไม่ใช่โอสถเทพระดับราชาที่จะหาซื้อได้ง่ายๆเลย และมีเพียงแต่โอสถเทพระดับราชาเท่านั้นที่จะส่งผลกระทบต่อขอบเขตเทพได้ดีที่สุด หากเป็นโอสถเทพระดับจอมราชันฤทธิ์ยามันจะแรงเกินไปและอาจก่อให้เกิดปัญหาได้
  ก็เหมือนๆกับโอสถเทพทะลวงราชัน มันไม่ใช่โอสถเทพระดับจอมราชันที่จะหาซื้อหรือหลอมกันมาได้ง่ายๆจนมูลค่าไม่แตกต่างจากโอสถเทพระดับจักรพรรดิบางขนาน แต่เป็นธรรมดาว่าประสิทธิผลของมันก็เลิศล้ำสมชื่อ สามารถทำให้ราชาเทพขั้นสูงที่ติดจุดรอคอยสามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพได้ในคราวเดียว
  อีกทั้งว่ากันว่าหากเป็นราชาเทพขั้นสูงที่มีพรสวรรค์ หลังใช้โอสถเทพทะลวงราชันไม่เพียงแต่จะทะลวงผ่านจุดรอคอยขอบเขตจอมราชันได้เท่านั้น แต่หลังจากทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว พลังอำนาจของโอสถยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบรวมปรับด่านพลังจอมราชันเทพขั้นต่ำให้เสถียรมั่นคงได้อีกด้วย
  “ว่าแต่ นี่เจ้าได้ข่าวเจ้าติงเหยียนบ้างหรือยัง?”
  หลังคุยกับโหวชิ่งหนิงไปสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามออกมา
  อีกฝ่ายนับเป็นเพื่อนคนแรกที่เขามีในสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์ก็ว่าได้ ตั้งแต่ที่โหวชิ่งหนิงส่งข้อความมาบอกเขาเรื่องที่ติงเหยียนหายตัวไป เขาก็ไม่ได้ข่าวคราวของอีกฝ่ายเลย
  ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเองก็พยายามส่งข้อความไปหาอีกฝ่ายบ่อยครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ
  หากไม่ใช่เพราะลูกแก้ววิญญาณของอีกฝ่ายยังอยู่ดี เขาคงคิดว่าอีกฝ่ายเกิดเรื่องอะไรขึ้นไปแล้ว
  “ไม่เลย”
  โหวชิ่งหนิงส่ายหัวไปมา “ข้าส่งข้อความไปหามันนับสิบๆครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เจ้านั่นก็ไม่ตอบกลับข้อความข้าเลย”
  “ข้าล่ะไม่รู้จริงๆว่ามันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ถึงไม่มีแม้แต่เวลาจะตอบข้อความพวกเรา”
  กล่าวถึงติงเหยียนขึ้นมา โหวชิ่งหนิงก็อดสงสัยไม่ได้
  “ว่าแต่เจ้ารู้รึยัง ว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร?”
  ต้วนหลิงเทียนถาม
  “ตั้งแต่วันที่มันจากไปไม่ลาตอนนั้น ข้าเองก็ส่งคนไปสืบหาความเป็นมาของมันที่สถานศึกษาหมอกเร้นลับแล้ว แต่ข้าไม่พบอะไรเลยสักอย่าง เหมือนอยู่ๆมันก็โผล่มาในเมืองวายุสวรรค์ดื้อๆ และไม่มีร่องรอยความเป็นมาใดๆให้สืบสาวเลย”
  โหวชิ่งหนิงกล่าว
  “ข้าว่าตัวตนของมันสมควรไม่ธรรมดาแน่นอน…อย่างน้อยๆข้าว่ามันน่าจะมาจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ”
  ต้วนหลิงเทียนยังคงจดจำเรื่องหนึ่งได้ ในอดีตครั้งที่เขายังอยู่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์นั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมการทดสอบประเมินนักศึกษา 10 ดาว ติงเหยียนเคยมาหาเขาและเสนอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายยังพูดออกมาด้วยความมั่นใจเต็มพิกัด ว่าหากเขาอยู่ข้างกายมัน คนของตระกูลราชาเทพทั้งหลายไม่มีใครหาญกล้าแตะต้องเขาแน่
  ในตอนนั้นเขาก็เริ่มตระหนักได้ทันที ว่าติงเหยียนมีความเป็นมาไม่ใช่ชั่ว
  อย่างไรก็ตาม พออยู่ๆติงเหยียนก็หายตัวไปโดยไม่ลา ทำให้เรื่องนี้กลับกลายเป็น ‘เรื่องลึกลับ’ ทันที
  “ไฉนเจ้าคิดว่าเป็นเช่นนั้นเล่า?”
  ด้านโหวชิ่งหนิงนั้นยังไม่รู้เรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เลยเล่าเรื่องราวให้โหวชิ่งหนิงฟัง ทำให้โหวชิ่งหนิงก็ตระหนักได้เช่นกัน “มิน่าล่ะ เจ้าถึงพูดแบบนั้น แต่เจ้าบ้านั่นทั้งๆที่ข้าอยู่กับมันมาหลังจากเจ้าออกไป แต่มันไม่เห็นจะบอกเรื่องนี้กับข้าเลย แถมมันไม่ได้อวดอะไรกับข้าด้วย…”
  “แต่ในเมื่อมันพูดกับเจ้าเช่นนั้น ข้าเชื่อว่าความเป็นมาของมันสมควรไม่ธรรมดาแล้วจริงๆ”
  “ไม่ทราบว่าที่แท้เบื้องหลังมันเป็นขุมกำลังไหนกันแน่”
  “หากพวกเรารู้ชื่อ อย่างน้อยๆพวกเราก็เป็นฝ่ายไปหามันถึงที่ได้อยู่”
  กล่าวถึงจุดนี้ โหวชิ่งหนิงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ต้วนหลิงเทียน เจ้าว่าติงเหยียนมันจะเกิดเรื่องอะไรรึเปล่า ทั้งๆที่พวกเราส่งข้อความไปมากมายแต่มันไม่เคยตอบกลับมาเลย”
  “มีความเป็นไปได้ 2 อย่าง…”
  ต้วนหลิงเทียนนิ่งไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ประการแรก เจ้านั่นมันปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ก็เลยปิดกั้นการสื่อสาร”
  “ความเป็นไปได้ประการที่ 2 ก็คือ แหวนพื้นที่ของเจ้านั่นที่เก็บลูกแก้ววิญญาณของพวกเราเอาไว้ถูกใครบางคนยึดเอาไว้ ไม่ก็มีเหตุทำให้มันเสียลูกแก้ววิญญาณของพวกเราไป เพียงแต่ตัวมันเองไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใดๆ”
  สำหรับเรื่องที่ติงเหยียนอาจจะทำแหวนพื้นที่หล่นหายนั้น ต้วนหลิงเทียนตัดทิ้งไปได้เลย เพราะต่อให้หายจริง ด้วยการใช้พันธะโลหิตผูดมัดแหวนเอาไว้ จะอย่างไรก็ต้องทราบตำแหน่งแหวนได้อยู่ดี
  เช่นนั้นในความเป็นไปได้ 2 ประการ ต้วนหลิงเทียนถึงไม่พูดเรื่องที่ติงเหยียนจะทำแหวนหล่นหายออกมา
  …
  ระยะเวลา 3 วันนั้นไม่ได้ยาวนานหรือสั้นแต่อย่างใด
  กระทั่งสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว มันยังผ่านไปในพริบตา
  และในปัจจุบันผู้คนที่มาเหินร่างกลางหาวเหนือน่านฟ้าใกล้ๆนิกายมังกรสวรรค์ก็หนาแน่นถึงขีดสุด กล่าวได้ว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่หัวหงอกหัวดำ เรียกว่าทะเลผู้คนก็ไม่เกินเลย
  คนที่มารวมตัวกันทั้งหมดก็ไม่ใช่ว่าจะทดสอบเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ทั้งหมด ยังมีผู้ที่พามาส่ง หรือผู้ที่มาให้กำลังใจ กระทั่งผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องแต่อยากมารอฟังผลก็มีเยอะแยะมากมาย
  “วันนี้เป็นวันที่นกายมังกรสวรรค์จะเปิดรับสมัครศิษย์แล้ว…มีเพียงแต่ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้วเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปในนิกายมังกรสวรรค์เพื่อทำการทดสอบรอบต่อไปได้…”
  “และผู้ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จะสามารถพาผู้ติดตามเข้าไปในนิกายมังกรสวรรค์ได้หนึ่งคน…เหตุผลที่ไฉนนิกายมังกรสวรรค์ตั้งกฏนี้ขึ้น ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก สามารถนำผู้หลักผู้ใหญ่เข้าไปร่วมชมความยิ่งใหญ่ของนิกายมังกรสวรรค์ด้านในได้”
  “กฏนี้เห็นว่าตั้งขึ้นเมื่อพันกว่าปีก่อนเท่านั้น”
  …
  เสียงพูดคุยของรุ่นเยาว์ตระกูลหลิงหูแว่วดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ถึงแม้เขาจะรู้มาก่อนว่ารอบคัดเลือกที่ว่าคืออะไร แต่นี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขาได้ยินเรื่องที่ผู้ผ่านรอบคัดเลือกสามารถพาใครก็ได้ติดตามเข้าไปในนิกายมังกรสวรรค์ได้คนนึง
  เพราะความรู้ความเข้าใจในการรับสมัครศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ของเขา ถูกจำกัดไว้ในป้ายหยกเก็บความทรงจำเก่าๆในหอตำราของตระกูลหลิงหูเท่านั้น
  และป้ายหยกเก็บความทรงจำดังกล่าว ก็ถูกคนของตระกูลหลิงหูสร้างทิ้งไว้ตั้งแต่ 2,000 กว่าปีก่อน ทำให้ข้อมูลในนั้นก็ไม่แน่ว่าจะมีรายละเอียดครอบคลุมถึงปัจจุบัน
  แน่นอนว่ารูปแบบการรับสมัครศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ก็เริ่มเปลี่ยนไปในการทดสอบรอบที่ 2 เท่านั้น ส่วนรอบคัดเลือกยังเหมือนเดิม
  “เฮ่ คนของนิกายมังกรสวรรค์ออกมากันแล้ว!”
  ทันใดนั้น เหนือน่านฟ้าของนิกายมังกรสวรรค์พลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบงัน แต่มีบางคนที่จับตาดูอยู่โพล่งออกมาเสียงดัง แม้ไม่รู้ว่าคนที่ตะโกนเป็นใคร แต่ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปจับจ้องยังสถานที่ตั้งนิกายมังกรสวรรค์ทันที
  พอมองไปก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเหินร่างออกมาจากนิกายมังกรสวรรค์