กลุ่มคนที่ออกมาจากนิกายมังกรสรรค์นั้น มีด้วยกันทั้งสิ้น 10 คน
ในบรรดาคนทั้ง 10 มีทั้งชายหนุ่ม วัยกลางคน ชายชรา ยังมีสตรีที่มีรูปโฉมงดงามแล้วก็สตรีชรา 2 คน
“ยินดีต้อนรับทุกคนสู่นิกายมังกรสวรรค์”
ในบรรดาคนทั้ง 10 ชายชราคนหนึ่งพลันก้าวออกมาเบื้องหน้า เอ่ยคำผสานพลังดังก้องฟ้าขณะกวาดตามองผู้คนที่มารวมตัวกันอย่างล้นหลาม
“ข้าคือ หยินผิงอี้ ในนามอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ ดีใจที่ได้เห็นทุกท่านมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่นวันนี้”
“และที่ทุกท่านมารวมตัวกันวันนี้ ข้าคาดว่าหากไม่ใช่ติดตามชนรุ่นหลังที่มาเข้าร่วมการทดสอบเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์เรา ก็คงมาเพื่อทำการทดสอบด้วยตัวเอง”
“เช่นนั้น เพื่อมิให้เสียเวลา ต่อไปนิกายมังกรสวรรค์เราจักทำการทดสอบรอบคัดเลือก…และมีเพียงผู้ที่ผ่ารอบคัดเลือกแล้วเท่านั้น จึงจักเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ได้”
เอ่ยถึงจุดนี้ หยินผิงอี้ ก็หยุดลงครู่หนึ่งค่อยกล่าวต่อว่า “ลำดับแรก จะเริ่มจากการทดสอบรอบคัดเลือกสำหรับศิษย์ฝ่ายใน”
“เกณฑ์รับสมัครศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์เรา มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น…อายุไม่เกิน นอกนั้นก็มิมีใดแล้ว”
เรื่องที่หยินผิงอี้กล่าวนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ที่มากันวันนี้ทรราบดีอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน หยินผิงอี้ ก็พูดต่อ “และการทดสอบรอบคัดเลือกของศิษย์ฝ่ายในนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 รอบ”
“รอบแรกนั้น เป็นรอบคัดเลือกของรุ่นเยาว์ที่มีอายุอยู่ในช่วง 8,000 – 10,000 ปี และในรอบนี้ ผู้ที่จะผ่านการคัดเลือกก็คือ 600 คนที่เก่งกาจที่สุด”
“ส่วนรอบที่ 2 จะเป็นการคัดเลือกรุ่นเยาว์ ที่มีอายุมากกว่า 5,000 ปี แต่ไม่เกิน 8,000 ปี และในรอบนี้ จะเฟ้นหา 1,000 คนที่ร้ายกาจที่สุด”
“ส่วนในรอบที่ 3 นั้น มีไว้สำหรับรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่มีอายุน้อยกว่า 5,000 ปี และจะมีผู้ผ่านการคัดเลือกแค่ 200 คนเท่านั้น”
เรื่องที่หยินผิงอี้กล่าวมา ไม่มีเรื่องไหนที่ทุกคนไม่รู้ เพราะทุกครั้งที่นิกายมังกรสวรรค์รับสมัครศิษย์ก็จะเป็นแบบนี้
“ที่ไฉนรุ่นเยาว์อัจฉริยะอายุไม่ถึง 5,000 ปี จะคัดเลือกแค่ 200 คนนั้น…เพราะปกติแล้ว คนที่ยังมีอายุน้อยนั้นก็ไม่ใช่ผู้เข้มแข็งอะไรมากนัก เหตุผลที่ 2 ก็คือ การปลูกฝังคนในวัยนี้ ในแง่ค่าใช้จ่ายแล้วมันต้องสิ้นเปลืองไม่น้อย จึงเป็นการดีกว่าที่จะให้ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทำการปลูกฝังส่งเสริม รอให้พลังฝีมือและอายุถึงเกณฑ์ก่อนค่อยเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์”
ด้านบนคือถ้อยคำที่หลิงหูเหรินเจี๋ย ผู้นำตระกูลหลิงหูได้บอกต่อต้วนหลิงเทียน และต่อให้มันไม่ได้เอ่ยถึง ต้วนหลิงเทียนก็พอจะคาดเดาได้
หากพรสวรรค์และความเข้าใจของคน 2 คนพอๆกัน เช่นนั้นมิสู้ให้มันอยู่ในขุมกำลังระดับจอมราชันเทพไปก่อนสักหลายๆพันปี รอให้ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพฝึกฝนส่งเสริมให้ดี แล้วค่อยคัดเลือกมันมาเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ ย่อมดีกว่าสิ้นเปลืองปลูกฝังส่งเสริมแต่แรก
และในนิกายมังกรสวรรค์ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับการส่งเสริมอย่างดี ในแง่ทรัพยากรสำหรับคนธรรมดาแล้ว ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพก็มีไม่ขาด
ดุจเดียวกับทายาทสายตรงของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ หากรั้งอยู่ในขุมกำลังของตัวเอง ย่อมได้รับการส่งเสริมอย่างดีเป็นธรรมดา
แต่ถ้าเลือกจะเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ เว้นเสียแต่จะเป็นศิษย์ฝ่ายใน หาไม่แล้วทรัพยากรที่จะได้รับก็สู้ที่ขุมกำลังของตัวเองมอบให้ไม่ได้
เพราะถ้าเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกล่ะก็ เกรงว่าทรัพยากรและการดูแลสนับสนุนที่จะได้รับ คงไม่อาจเทียบกับขุมกำลังต้นสังกัดได้เลย
จุดที่มู่หรงอวิ๋นเยว่ คุณหนู 3 แห่งตระกูลมู่หรงกังวลก็คือเรื่องนี้
หากนางไม่อาจเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ได้ เช่นนั้นเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ไปก็ไร้ความหมาย
เป็นการดีเสียกว่าที่จะอยู่ในตระกูลมู่หรง รอให้พลังฝีมือกล้าแข็งมากพอ ค่อยเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ และกลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน
ถึงแม้ว่านางจะมีพี่ชายเป็นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ แต่ชนชั้นอาวุโสมังกรขาวก็ไม่ใช่ว่าจะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือในนิกายมังกรสวรรค์ได้ ย่อมไม่อาจมอบทรัพยากรที่ดีที่สุดให้นางได้
“ตอนนี้ขอให้คนจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพออกมาด้านหน้า”
พอหยินผิงอี้เอ่ยออกมาอีกครั้ง คนของตระกูลหลิงหูรวมถึงต้วนหลิงเทียน ไม่เว้นคนจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอื่นๆ ก็ได้ทยอยกันเหินร่างออกไปตามคำบอกของคนนิกายมังกรสวรรค์
ส่วนคนอื่นๆที่แต่เดิมก็เหินร่างอยู่ไม่ไกลนั้น ก็พากันล่าถอยออกไปอย่างรู้งาน ไม่กล้าจะรั้งอยู่ใกล้ๆอีกต่อไป
ส่วนเรื่องสิทธิพิเศษของขุมกำลังระดับจอมราชันนั้น แม้พวกมันจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
เพราะพวกมันรู้ดีว่าโลกนี้ขึ้นอยู่กับกำลัง หากพวกมันอยากได้รับการปฏิบัติดังกล่าว พวกมันก็ต้องเป็นคนของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่จะมาปรากฏตัววันนี้ได้ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่อยู่ใต้อาณัติของนิกายมังกรสวรรค์ ตลอดหลายปีที่ผ่านพวกมันก็ส่งส่วยให้นิกายมังกรสวรรค์มาโดยตลอด จะได้รับสิทธิพิเศษก็ไม่แปลก
“ทุกท่าน”
เมื่อคนของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพออกมารวมตัวกันแล้ว หยินผิงอี้ก็กวาดตามองผู้คนทั้งหมดรอบหนึ่ง ค่อยพูดออกมาว่า “ต่อไปขอให้อัจฉริยะที่มีอายุอยู่ในช่วง 8,000 – 10,000 ปีของพวกท่านก้าวออกมา”
พอเสียงหยินผิงอี้ดังจบคำ คนกลุ่มหนึ่งก็เหินร่างออกไปทันที
รวมถึงตู้ปั้วจวินด้วย
ตู้ปั้วจวินแม้จะมีอายุไม่ถึง 10,000 ปี แต่อายุของมันก็มากกว่า 8,000 ปีแล้ว
ที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจก็คือ นายน้อยของนิกายบูรพารุ่งโรจน์นั้น กลับไม่ได้อยู่ในช่วงอายุดังกล่าว “หัวเทียนตู้นั่น ยังมีอายุไม่ถึง 8,000 ปีงั้นหรือ?”
ส่วนเหตุผลที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจ จนอดพึมพำออกมาไม่ได้นั้น
เพราะก่อนหน้าเขาพึ่งได้ยินโหวชิงหนิ่งบอกว่า แม้หัวเทียนตู้จะไม่ได้เก่งกาจเท่า หยางเชียนเย่ นายน้อยนิกายหมื่นปีศาจ แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากเท่าไหร่
“เจ้าหัวเทียนตู้นั่นพึ่งจะมีอายุได้ 6,000 ปีกว่าๆเท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนไม่ต้องรอนาน เสียงผ่านพลังของโหวชิ่งหนิงก็ดังขึ้นในหูเขา และนั่นทำให้เขาอดผงะไปไม่ได้
“เหอะๆ นี่เจ้าจะมัวมาสนใจตอบคำถามลอยๆของข้าทำอะไร? หากว่างไม่เอาเวลาไปคุยกับคุณหนู 3 ของเจ้าเล่า จะได้สานความรู้สึกกันมากขึ้น”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่หันไปมองกล่าวผ่านพลังกับโหวชิ่งหนิงด้วยสายตาเบื่อหน่าย ยังอดหันไปมองมู่หรงอวิ๋นเยว่ด้วยสายตาสงสารไม่ได้
ด้านมู่หรงอวิ๋นเยว่ ตอนนี้สองตานางกลับมองกลุ่มคนที่พึ่งก้าวออกไปด้วยความสนใจ ขณะเดียวกันนางก็พูดกับโหวชิ่งหนิงด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “แค่รุ่นเยาว์ในช่วงอายุ 8,000 – 10,000 ปีของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ ก็มี 500 กว่าคนเข้าไปแล้ว”
รุ่นเยาว์ของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่เหินร่างออกไป มีเกือบๆ 600 คนเข้าไปแล้ว
ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่มาในวันนี้ มีด้วยกันทั้งสิ้น 19 ขุมกำลัง และรุ่นเยาว์ในช่วงอายุดังกล่าว แต่ละขุมกำลังก็มีอยู่ด้วยกันราวๆ 30 คน
และรุ่นเยาว์ทั้งหมดที่พวกมันพามา ก็มีประมาณร้อยกว่าคนเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าในช่วงอายุนี้ก็มีกว่า 1 ใน 3 เข้าไปแล้ว
และรุ่นเยาว์ที่พวกมันพามาส่วนใหญ่ ก็จะมีอายุอยู่ในช่วง 5,000 – 8,000 ปี
“ต่อไป ข้าจะเปิดใช้ค่ายกลเพื่อเปิดทางเข้าสู่ หุบเหวกระจก…สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือเข้าไปด้านใน แล้วฝ่าหุบเหวกระจกขึ้นมา”
หยินผิงอี้ อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์เอ่ยคำเสียงดัง “และไม่ใช่มีแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่จะเข้าไป…ยังมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์คนอื่นๆจากขุมกำลังที่เหลืออีกด้วย”
“พวกเจ้าหลายๆคนคงคุ้นเคยกับกฏเกณฑ์การทดสอบดีแล้ว…แต่สำหรับผู้ที่พึ่งมาเข้าร่วมการทดสอบรับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์เราครั้งแรก ข้าจะเอ่ยกฏให้ฟังอีกรอบ”
กล่าวถึงจุดนี้ เสียงของหยินผิงอี้ก็ดังขึ้นกว่าเดิม และคราวนี้ไม่ได้มีแต่คนของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเท่านั้นที่ฟังอยู่ แม้แต่คนของขุมกำลังอื่นๆก็ตั้งใจฟังเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่พึ่งมาครั้งแรก
“กฏในรอบคัดเลือก ไม่มีใดมาก เพียงแค่ต้องขึ้นมาจากหุบเหวกระจกให้ได้เท่านั้น…และในหุบเหวกระจก พวกเจ้าจะทำอะไรก็ได้ นอกจากเอาชีวิตผู้อื่น”
“พวกเจ้าจะกันไม่ให้ผู้อื่นออกจากหุบเหวกระจกก็ดี หรือจะช่วยให้ผู้ใดออกจากหุบเหวกระจกก็ช่าง”
“แน่นอนว่าทั้งหมดขึ้นอยู่กับกำลังของพวกเจ้า”
“รุ่นเยาว์ของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพนั้น ต้องร่วมมือกันเป็นธรรมดา…เช่นนั้นข้าขอแนะนำให้คนที่ไม่ได้มาจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ เร่งรุดหาสหายหรือจับกลุ่มกันเสีย หาไม่แล้วข้าเกรงว่าพวกเจ้าคงยากจะออกจากหุบเหวกระจกขึ้นมาได้ เว้นเสียแต่จักร้ายกาจจริงๆ”
“สุดท้ายแล้วรอบคัดเลือกสำหรับช่วงอายุนี้ ทางเราก็ต้องการแค่ 600 คนเท่านั้น…และลำพังรุ่นเยาว์จากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพก็มีเกือบ 600 คนเข้าไปแล้ว”
ประโยคท้ายนั้น เห็นชัดว่าหยินอี้ผิงจงใจกล่าวเตือนรุ่นเยาว์ที่ไม่ได้มาจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพโดยเฉพาะ และวาจาของมันก็ทำให้รุ่นเยาว์เหล่านั้น หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
“เอาล่ะ…เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ข้าจะเปิดพื้นที่หุบเหวกระจก”
“จากนั้นให้รุ่นเยาว์ที่มีอายุ 8,000 – 10,000 ปีทยอยเข้าไป และจำกัดเวลาเข้าร่วมแค่ 1 เค่อเท่านั้น”
“อีกทั้ง ข้าขอเตือนบางคนไว้ก่อน ว่าอย่าได้คิดจะเสี่ยงทำอะไรโง่ๆเสียประเสริฐกว่า…เพราะหลังเข้าสู่หุบเหวกระจก จักมีการตรวจสอบอายุกระดูก พอถึงตอนนั้นผู้ที่มีอายุกระดูกเกินหมื่นปี จะถูกอาคมสังหารฆ่าทิ้งทันที!”
วิธีวัดอายุที่เชื่อถือได้ที่สุดในระนาบเทพนั้น ก็คือการวัดอายุกระดูก
จริงอยู่ที่อายุกระดูกสามารถปลอมแปลงได้ แต่ก็ทำได้แค่เพิ่มมันเท่านั้น ไม่อาจลดอายุกระดูกได้
เช่นเดียวกับต้วนหลิงเทียน แม้เขาจะมีอายุแค่ 700 ปีเศษ แต่เพราะเขากินโอสถเทพที่มีสรรพคุณเพิ่มอายุกระดูกเข้าไป ทำให้ในสายตาคนอื่นเขามีอายุกระดูก 2,700 ปี มากกว่าอายุจริงถึง 2,000 ปี
เหตุไฉนที่ต้วนหลิงเทียนเพิ่มอายุกระดูกของตัวเองแบบนี้ ก็เพราะเขาไม่อยากมีชื่อเสียงมากเกินไป
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา เกิดอายุที่แท้จริงถูกเปิดเผยขึ้นมา เกรงว่าทั่วทั้งเขตคฤหาสน์ตงหลิงคงต้องตกใจกันใหญ่ เพราะในประวัติศาสตร์ของเขตตงหลิง ไม่เคยปรากฏสัตว์ประหลาดเช่นเขามาก่อนเลย
พอเสียงของหยินผิงอี้ดังจบคำ หลายคนที่มาครั้งแรกและคิดตีเนียนเข้าร่วมการทดสอบก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็น ขณะเดียวกัน หลังหยินผิงอี้ขว้างจานค่ายกลออกไป รุ่นเยาว์ของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพก็เตรียมพร้อมแต่แรก
เป็นธรรมดาว่าคนของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ ย่อมรู้เรื่องการตรวจสอบอายุกระดูกแต่แรก จึงไม่มีใครแปลกใจอะไร ส่วนผู้ที่ตกใจกลัวและหวาดเสียวนั้น มักจะเป็นรุ่นเยาว์จากขุมกำลังรองลงมา ไม่ก็ผู้ฝึกตนอิสระ
ครืนนน!
วู้มมม!!
…
หลังหยินผิงอี้โยนจานค่ายกลออกไปให้หยุดลอยกลางหาวในตำแหน่งเฉพาะบางอย่าง ไม่นานนักจานค่ายกลก็เริ่มเปล่งแสงเรืองรองออกมา จากนั้นก็ปรากฏม่านแสงหนึ่งในความว่างเปล่า
ม่านแสงที่ว่าคล้ายกระจกบานหนึ่ง ที่กำลังฉายฉากหุบเหวลึกในมุมสูง
“เข้าไปได้”
พอหยินผิงอี้ลั่นวาจาดังกล่าวออกมา เหล่ารุ่นเยาว์ที่มีอายุอยู่ในช่วง 8,000 – 10,000 ปีก็ทยอยกันโดดเข้าม่านแสงที่ว่าทันที แน่นอนว่าผู้ที่ได้เข้าไปก่อนก็คือรุ่นเยาว์ของขุมกำลังจอมราชันเทพทั้งหลาย ส่วนรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ก็ได้แต่เข้าไปทีหลังเท่านั้น
และในขณะที่ทุกคนเหินร่างเข้าสู่ม่านแสงปานกระจกเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าพวกมันเสมือนวูบหายเข้าไปในม่านแสงราวกระจกดังกล่าว จากนั้นก็ไปปรากฏตัวยังก้นหุบเหว แน่นอนว่าแลดูเล็กเสมือนจุดๆหนึ่ง
เหมือนมดก็ว่า
‘ข้ายังสงสัยอยู่ว่าหุบเหวกระจกที่ว่า มันแลดูไม่น่าจะลึกอะไร อาศัยแค่ไม่กี่ลมหายใจก็เหาะขึ้นมาได้แล้ว…แต่ที่แท้ฉากที่ตาเห็นด้านนอกมันอาจไม่จริง ต้องเป็นผู้ที่เข้าไปแล้วเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร’
และฉากเรื่องราวเบื้องหน้า ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง เพราะหุบเหวกระจกที่เขาเห็นอยู่นี้ มันละม้ายคล้ายการทดสอบประเมินศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับจริงๆ
��