พอเสียงของเซียวเจิ้นดังจบคำ ไม่นานนักคนของนิกายมังกรสวรรค์ก็นำพาคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา และคนกลุ่มที่ว่าก็เป็นคนของแต่ละขุมกำลังที่นำพาคนมาเข้าร่วมการทดสอบรับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ แต่ไม่ใช่ว่าจะเข้ามากันทุกคน
อย่างเช่นตระกูลหลิงหู ผู้ที่เข้ามาก็มีแต่ผู้เฒ่าเหิงฮวน อาวุโสสูงสุดคู่แฝดของตระกูลหลิงหู ส่วนหลิงหูเจิ้งซิงนั้นยังอยู่ด้านนอก
อีกตัวอย่างก็เช่นนิกายหมอกเร้นลับ ผู้ที่เข้ามาก็คือเฉียนหยิ่นประมุขนิกายหมอกเร้นลับกับอาวุโสสูงสุดแซ่เหล่ย ส่วนรองประมุขอย่างมู่หรงสุยเฟิงนั้นรั้งอยู่ด้านนอก
ส่วนทางด้านตระกูลมู่หรงนั้น มีแต่มู่หรงอวิ๋นลิ่วที่เป็นผู้นำตระกูลเท่านั้นที่เข้ามา ส่วนอาวุโสชราที่ติดตามข้างกายได้รั้งอยู่ด้านนอก
เป็นธรรมดาว่าคนที่เข้ามานั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่คนของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพแต่อย่างใด ยังมีคนที่ไม่ได้มาจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอยู่ด้วย
คนเหล่านี้หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระ ก็จะเป็นระดับสูงของขุมกำลังระดับราชาเทพที่มาดูชมลูกหลานเหล่าศิษย์ดำเนินการทดสอบ
“ต้วนหลิงเทียน…เจ้าว่าข้าจะผ่านการทดสอบประเมินศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ได้ไหม?”
ทันใดนั้นเองเสียงผ่านพลังของโหวชิ่งหนิงก็ดังขึ้นในหู น้ำเสียงของมันยังเผยความกังวลอยู่บ้าง
“ทำไม เจ้ากลัวว่าคุณหนู 3 จะผ่านการทดสอบ แต่เจ้าดันไม่ผ่านงั้นรึ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามผ่านพลังด้วยรอยยิ้ม
โหวชิ่งหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาเสียงอ่อนว่า “ก็ใช่…”
“เจ้าจะคิดมากทำไมเล่า ถึงเจ้าจะไม่ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายใน เช่นนั้นก็เข้าร่วมการทดสอบสำหรับศิษย์ฝ่ายสิ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้ามันน่าจะผ่านการทดสอบศิษย์ฝ่ายนอกได้สบายๆ…แถมข้าได้ยินมาว่าทุกๆ 10 ปี ทางนิกายมังกรสวรรค์ก็จะเปิดให้ศิษย์ฝ่ายนอกทำการทดสอบเลื่อนระดับเป็นศิษย์ฝ่ายในไม่ใช่รึ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“นั่นก็ใช่อยู่หรอก…แต่ที่ข้ากังวลอยู่มันอีกเรื่อง”
โหวชิ่งหนิงคลี่ยิ้มขื่นขมพลางกล่าว “หากคุณหนู 3 ไม่ผ่านการทดสอบศิษย์ฝ่ายใน ข้าที่พลังฝีมือด้อยกว่านางก็ไม่ผ่านแน่นอน”
“แล้วทำไมเจ้าไม่เลือกกลับไปตระกูลมู่หรงพร้อมคุณหนู 3 เลยเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ในฐานะทายาทสายเลือดหลักของตระกูลมู่หรง หากนางไม่ผ่านการทดสอบศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ ก็คงไม่มีประโยชน์ที่นางจะเข้าร่วมนิกายในฐานะศิษย์ฝ่ายนอก”
“เรื่องนี้ข้าก็รู้อยู่หรอก…”
โหวชิ่งหนิงกล่าว “แต่พอดีก่อนหน้านี้ข้าบอกนางไว้แล้ว…ว่าถึงข้าจะไม่ได้เป็นศิษย์ฝ่ายใน แต่ข้าก็จะพยายามเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ในฐานะศิษย์ฝ่ายนอก…”
ได้ยินคำพูดของโหวชิ่งหนิง ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ…ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ คราวนี้นับบว่าเจ้าทุ่มหินทับเท้าตัวเองของจริง!”
“เจ้าอย่าคิดมากไปเลย หากไม่ผ่านจริงๆก็เลือกตามนางกลับไปตระกูลมู่หรงเถอะ เจ้าเลือกกลับไปข้ากลัวนางจะมีความสุขแทบไม่ทัน ไหนเลยจะไปสนเรื่องที่เจ้าพูดไว้ก่อนหน้าเล่า”
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคุยกับโหวชิ่งหนิง ก็ปรากฏร่างหนึ่งเหินข้ามฟ้ามาแต่ไกล และพริบตาเดียวร่างดังกล่าวก็วูบมาปรากฏเหนือลานศิลาที่ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆยืนรวมตัวกันอยู่
เป็นชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาคมเข้มทั้งเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา เรียกว่าต้องตาพึงใจสาวน้อยสาวใหญ่ไม่น้อย คนมาในชุดคลุมสีขาวกระจ่าง เพียงลอยร่างแน่นิ่งกลางหาว ก็ให้ความรู้สึกประหนึ่งหอกค้ำฟ้า
ต้วนหลิงเทียนที่สายตาแหลมคม มองปราดเดียวก็สังเกตเห็นได้ไม่ยากว่าป้ายที่ห้อยแขวนไว้ที่บริเวณเอวของอีกฝ่าย มันคุ้นๆพิกล
พอนึกดูก็จำได้ว่า…
ในอดีตตอนพบเจอเชวียไห่ชวน อีกฝ่ายก็ห้อยป้ายลักษณะเดียวกันนี้ไว้ที่เอว รูปสลักมังกรบนตัวป้ายนั้นเห็นชัดว่าเป็นเนื้อหยกขาว หนุนเสริมให้มังกรขาวโดดเด่นราวมีชีวิต
ต้วนหลิงเทียนไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าสมควรเป็นป้ายประจำตัวของอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์
‘เป็นอาวุโสมังกรขาว…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
ถึงแม้ว่าอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ จะมีด่านพลังอยู่ในขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางเหมือนอาวุโสฝ่ายใน อย่างไรก็ตามพลังฝีมือนั้นถือว่าแตกต่างกันคนละเรื่อง
ดุจเดียวกับอาวุโสหลักกับอาวุโสฝ่ายในของตระกูลหรือนิกายระดับจอมราชันเทพ แม้จะเป็นราชาเทพขั้นสูงเหมือนกัน หากทว่าพลังฝีมือที่แท้จริงกลับแตกต่างกันลิบลับ
อย่างเช่น กวงเทียนเจิ้ง อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ กับ เชวียไห่ชวน อาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบเจอ แม้ทั้งคู่จะมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางเหมือนกัน แต่ถ้าต้องประมือกันจริงๆ เกรงว่ากวงเทียนเจิ้งคงไม่อาจรับมือเชวียไห่ชวนได้เกิน 3 กระบวนท่า
นี่คือช่องว่างระหว่างอาวุโสมังกรขาวกับอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์
อาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์นั้น เป็นดั่งตัวแทนพลังสูงสุดในขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางของนิกายมังกรสวรรค์ก็ว่า
และในนิกายมังกรสวรรค์นั้น ที่เหนือกว่าอาวุโสมังกรขาวก็คืออาวุโสมังกรดำ…และอาวุโสมังกรดำ ไม่ว่าใครล้วนเป็นจอมราชันเทพขั้นสูงทั้งหมด พลังฝีมือยังร้ายกาจมากอีกด้วย
“คารวะอาวุโสตงฟาง!”
“คารวะอาวุโสตงฟาง!”
…
อาวุโสมังกรขาวปรากฏตัวได้ไม่ทันไร เหล่าอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ทั้ง 4 คนในยอดเขาแห่งนี้ ก็เร่งปรสานมือคารวะทักทายทันที
หลังจากนั้นไม่ว่าจะคนของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพก็ดี หรือคนที่ไม่ได้มาจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพก็ดี ต่างเร่งคารวะทักทายผู้มาใหม่ด้วยความนับถือทันที
แน่นอนว่ายังมีหลายคนที่ไม่รู้จักตัวตนผู้มาใหม่
ทว่าพอ ผู้คนที่อยู่รอบข้างกระซิบกระซาบกันถึงตัวตนของอีกฝ่ายให้ได้ยิน และยืนยันได้จากป้ายที่ห้อยแขวนไว้บริเวณเอว คนที่ไม่รู้ทั้งหลายก็เร่งประสานมือคารวะทันที
อาวุโสมังกรขาวแห่งนิกายมังกรสวรรค์!
“ข้าคืออาวุโสมังกรขาวแห่งนิกายมังกรสวรรค์ ตงฟางเหยียนเหนียน”
ในเวลาเดียวกัน ผู้มาใหม่ก็กล่าวแนะนำตัวเอง ให้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆล่วงรู้ชื่อแซ่และฐานะ
“การทดสอบศิษย์ฝ่ายในหลังจากนี้ ตัวข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
ตงฟางเหยียนเหนียนกล่าวออกมาอีกครั้ง
ในขณะที่รุ่นเยาว์ทั้งหลายกำลังตั้งใจฟัง ตงฟางเหยียนเหนียนก็เริ่มกวาดตามองไปทั่วๆ จนสุดท้ายก็ไปหยุดลงยังร่างต้วนหลิงเทียน
‘หืม?’
พอเห็นตงฟางเหยียนเหนียนหยุดมองเขา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
“นอกจากนั้น ด้วยผลงานที่ ต้วนหลิงเทียนย อาคันตุกะต้วนของตระกูลหลิงหูสร้างไว้ในรอบคัดเลือก ข้าอนุญาตให้ต้วนหลิงเทียนผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในทั้งหมด โดยไม่ต้องเข้าร่วมการทดสอบใดๆอีกต่อไป”
พอตงฟางเหยียนเหนียนกล่าวประโยคนี้จบคำ นอกจากอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์แล้ว คนอื่นๆก็ตกใจไม่น้อย
เพราะพวกมันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในการทดสอบรับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ จะเคยมีใครที่ได้รับอภิสิทธิ์แบบนี้
อย่างไรก็ตามพอทุกคนลองคิดดู ก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ผู้คนส่วนใหญ่ในที่นี้ได้เห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียนในรอบคัดเลือกรอบที่ 3 ก่อนหน้าแล้ว และคนที่ไม่ได้เห็นกับตาก็ได้รับแจ้งผ่านข้อความเรียบร้อย
ดูจากผลงานที่ต้วนหลิงเทียนทำไว้ในรอบคัดเลือก ถึงแม้จะเข้าร่วมการทดสอบศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ ก็เสมือนทำไปพอเป็นพิธีเท่านั้น
“แน่นอน…”
ตงฟางเหยียนเหนียนกล่าวสืบต่อ “หากมีรุ่นเยาว์อายุไม่เกิน 5,000 ปีคนไหนไม่ยอมรับการตัดสินของข้า ก็สามารถท้าประลองต้วนหลิงเทียนได้”
พอตงฟางเหยียนเหนียนกล่าวประโยคนี้จบ มุมปากของรุ่นเยาว์ที่ยืนอยู่กลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียนก็กระตุกขึ้นมาตงิดๆ
ท้าประลองต้วนหลิงเทียน?
นั่นยังต่างอะไรจากแส่หาเรื่องเจ็บตัว?
“อาวุโสทั้ง 4 ตอนนี้ขอให้พวกท่านนำเด็กๆทุกคนไปยังห้องทดสอบได้เลย”
ตงฟางเหยียนเหนียนที่กวาดตามองไปยังรุ่นเยาว์อายุไม่เกิน 5,000 ปีรอบหนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน มันก็หันไปพูดกับอาวุโสที่นำต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ รวมถึงอาวุโสที่นำพาอีก 2 กลุ่มมาเสียงดังฟังชัด
“ทราบ”
อาวุโสทั้ง 4 ก็ขานรับคำอย่างว่าง่าย จากนั้นก็เริ่มเหินร่างนำพากลุ่มรุ่นเยาว์ไปยังสถานที่ทดสอบ
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างติดตามคนอื่นๆไปนั้นเอง
ตงฟางเหยียนเหนียนกลับกล่าวหยุดเขาเอาไว้ “ต้วนหลิงเทียน เจ้ารั้งอยู่ก่อน”
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนพลันชะงักร่างลงกลางหาว จากนั้นก็หันไปมองตงฟางเหยียนเหนียนด้วยใบหน้างุนงง ด้านผู้เฒ่าเหิงฮวน คู่แฝดของตระกูลหลิงหูเอง ก็ชะงักร่างลงพลางขมวดคิ้ว สายตาที่พวกมันใช้มองตงฟางเหยียนเหนียนยังฉายชัดถึงความระวัง
“ศิษย์น้องไห่ชวน ขอให้ข้าพาเจ้าไปพบน่ะ”
ทันใดนั้นเอง เสียงผ่านพลังของตงฟางเหยียนเหนียนก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน
ศิษย์น้องไห่ชวน?
ถ้อยคำของตงฟางเหยียนเหนียน ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนนึกถึงเชวียไห่ชวนขึ้นมาทันที แต่เพื่อความปลอดภัยเขายังเลือกจะส่งข้อความไปถามเชวียไห่ชวนให้แน่ชัด
ย้อนกลับไปในอดีต ก่อนที่เชวียไห่ชวนจะจากไป อีกฝ่ายก็ได้แลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกับเขา
“น้องต้วน เจ้านับว่าระวังตัวแจทีเดียว…”
หลังเชวียไห่ชวนได้รับข้อความ มันก็ตอบกลับมาเร็วไว “ศิษย์พี่ตงฟางเป็น 1 ในสหายที่ดีที่สุดไม่กี่คนที่ข้ามีในนิกายมังกรสวรรค์ และไม่ได้มาจากนิกายหมื่นปีศาจหรืออยู่ในสายของรองประมุขเซวีย เช่นนั้นเจ้าเชื่อใจศิษย์พี่ตงฟางได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เป็นคนในสายนิกายหมื่นปีศาจหรือสายของรองประมุขเซวีย ก็ไม่กล้าฆ่าเจ้าในนิกายมังกรสวรรค์หรอก เรื่องนี้เจ้าก็วางใจได้เช่นกัน”
ฟังจากถ้อยคำของเชวียไห่ชวนแล้ว เห็นชัดว่าอีกฝ่ายเข้าใจดีว่าต้วนหลิงเทียนกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่
“การทดสอบต้องใช้เวลาอีกนาน เจ้าที่อยู่ว่างๆไม่ต้องเข้าทดสอบ ไฉนไม่มาหาข้าเล่า…และถ้าเจ้าอยากดูการทดสอบของคนอื่นๆ ข้ายังขอให้ศิษย์พี่ตงฟางเปิดภาพฉายการทดสอบให้เจ้าดูได้”
เชวียไห่ชวนหัวเราะ
หลังได้ยินดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลังเลใดอีก พอหันไปบอกผู้เฒ่าเหิงฮวนเรื่องที่เขาได้ยืนยันตัวตนของตงฟางเหยียนเหนียนกับเชวียไห่ชวนเพื่อสร้างความมั่นใจให้ทั้งคู่แล้ว เขาก็ติดตามตงฟางเหยียนเหนียนไปทันที
ระหว่างทางตงฟางเหยียนเหนียนยังกล่าวด้วยความชื่นชมว่า “ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่เคยเห็นศิษย์น้องไห่ชวนกล่าวชมใครเหมือนเจ้ามาก่อนเลย…เช่นนั้นวันหน้าพอเจ้าได้ดิบได้ดีในนิกายมังกรสวรรค์แล้วก็ช่วยชี้แนะข้าด้วยเล่า”
ถึงแม้ตงฟางเหยียนเหนียนจะเป็นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ แต่ตอนพูดคุยกับต้วนหลิงเทียน อีกฝ่าก็ไม่ได้วางตัวเหนือกว่าแม้แต่นิดเดียว เลือกจะปฏิบัติกับต้วนหลิงเทียนเสมือนคนเท่าเทียมกัน
อาศัยเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ต้วนหลิงเทียนก็มองอีกฝ่ายดีขึ้นมาก
และเขาเองก็รู้ดีถึงคำว่า ‘กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์’ ในเมื่อตงฟางเหยียนเหนียนผู้นี้สามารถเป็นหนึ่งในสหายไม่กี่คนที่สนิทกับเชวียไห่ชวนได้ ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายได้รับการยอมรับจากเชวียไห่ชวน
และเชวียไห่ชวนเอง ก็เป็นคนที่ต้วนหลิงเทียนยอมรับ
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รังเกียจที่จะทำความรู้จักกับตงฟางเหยียนเหนียน “อาวุโสตงฟางท่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว จะอย่างไรท่านก็เป็นถึงอาวุโสมังกรขาว ส่วนข้านั้นถึงจะเข้านิกายมังกรสวรรค์ได้ แต่ก็เป็นแค่ศิษย์ฝ่ายในต๊อกต๋อยคนหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะหาญกล้าไปชี้แนะท่านได้เล่า”
“ฮ่าๆๆๆ”
ตงฟางเหยียนเหนียนหัวเราะดังร่า “ต้วนหลิงเทียน เจ้าก็ถ่อมตัวเกินไป อาศัยความสามารถของเจ้า ข้าเกรงว่าอีกไม่นานก็ต้องได้เป็นอาวุโสมังกรขาวที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์นิกายมังกรสวรรค์คนใหม่แน่”
“กระทั่งข้ายังรู้สึกได้ว่า วันหนึ่งเจ้าต้องกลายเป็นมหาอำนาจขอบเขตจักรพรรดิเทพคนใหม่ของนิกายมังกรสวรรค์เรา!”
ตงฟางเหยียนเหนียนนั้นสนิทกับเชวียไห่ชวนมาก ให้พูดว่าซี้ย่ำปึ๊กกันเลยก็ได้ เช่นนั้นมันย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนจากปากเชวียไห่ชวนแล้ว
กอปรกับการแสดงผลงานของต้วนหลิงเทียนในรอบคัดเลือกวันนี้ มันรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนร้ายกาจสุดหยั่ง เพราะสุดท้ายนี่ก็คือตัวตนที่ยังมีอายุไม่ถึง 3,000 ปีด้วยซ้ำ
ประสบความสำเร็จถึงขนาดนี้ทั้งๆที่ยังมีอายุไม่ถึง 3,000 ปี
ให้มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของนิกายมังกรสวรรค์ ต่อให้เป็นตัวตนอันทรงพลังในอดีตที่บรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพของนิกายมังกรสวรรค์ สมัยที่ยังมีอุไม่ถึง 3,000 ปีก็ยังไม่ประสบความสำเร็จถึงขนาดนี
หลังจากนั้นไม่นาน ตงฟางเหยียนเหนียนก็พาต้วนหลิงเทียนมาส่งถึงสถานที่พักบ่มเพาะของเชวียไห่ชวน มันเป็นจวนเดี่ยวที่ตั้งอยู่กลางยอดเขาอันเงียบสงบ
และก่อนที่จะพาต้วนหลิงเทียนมาส่งที่นี่ ตงฟางเหยียนเหนียนก็พาต้วนหลิงเทียนไปลงทะเบียนเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์เรียบร้อย เรียกว่าจัดการทำเรื่องให้ต้วนหลิงเทียนล่วงหน้าก่อนใคร
ต้วนหลิงเทียนก็เลยกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว
มีคนในเดินเรื่องให้ ทุกประการล้วนสะดวกรวดเร็ว
ในปัจจุบัน ต้วนหลิงเทียนถือว่าเข้าใจความหมายของประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง
“พี่ไห่ชวน”
ต้วนหลิงเทียนได้เจอเชวียไห่ชวนอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเหมือนเดิม และถึงแม้เขาจะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นกลางแล้ว อีกฝ่ายก็ยังให้ความรู้สึกลึกลับยากหยั่งถึงต่อเขาอยู่ดี