“น้องต้วน”
หลังจากผ่านไป 10 กว่าปี พอได้เห็นต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ใบหน้าเชวียไห่ชวนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ไม่พบเจ้าแค่สิบกว่าปี แต่ตอนนี้ท่าทางเจ้าแลดูร้ายกาจขึ้นไม่น้อยเลย”
ครั้งก่อนตอนที่เชวียไห่ชวนได้เจอต้วนหลิงเทียนนั้น ต้วนหลิงเทียนยังเป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำ ทว่าในปัจจุบันได้บรรลุถึงราชาเทพขั้นกลางแล้ว แม้ว่าก่อนและหลังทะลวงขั้นพลัง รูปลักษณ์ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่อารมณ์ความรู้สึกที่ส่งออกมา กลับเปลี่ยนไปในระดับหนึ่ง
และถึงแม้มันจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายอะไร แต่ในสายตาของเชวียไห่ชวน ก็ยังสังเกตเห็นความแตกต่างอยู่ดี
“ศิษย์น้องไห่ชวน พวกเจ้าคุยกันไปก่อน ส่วนข้าต้องกลับไปทำหน้าที่ประธานสำหรับการทดสอบศิษย์ฝ่ายในต่อ”
ตอนนี้เอง ตงฟางเหยียนเหนียนก็เอ่ยบอกเชวียไห่ชวนด้วยรอยยิ้ม
ระหว่างเดินทางมาที่นี่มันได้ส่งข้อความไปแจ้งเชวียไห่ชวนแต่แรก เชวียไห่ชวนก็เลยออกมารอรับอย่างที่เห็น
“ศิษย์พี่ตงฟางไปทำงานของท่านเถอะ”
เชวียไห่ชวนกล่าว จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณ และด้านต้วนหลิงเทียนเองก็เอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายที่เป็นธุระพามาส่งด้วย “ขอบคุณอาวุโสตงฟาง”
“เอาล่ะ ข้าไปก่อน เดี๋ยวข้าเสร็จงานแล้วเจอกัน”
ตงฟางเหยียนเหนียนพยักหน้าให้ทั้งคู่ ก่อนจะรีบเหินร่างจากไป
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ถูกเชวียไห่ชวนเชิญเข้าบ้าน จากนั้นก็ไปยังศาลาในลานหน้าบ้าน ยังเป็นพื้นที่ส่วนที่เชวียไห่ชวนใช้ฝึกปรือ
ในศาลาก็มีโต๊ะไม้เรียบง่ายกับชุดเก้าอี้ไม่กี่ตัว ต้วนหลิงเทียนก็นั่งลงตรงข้ามเชวียไห่ชวนตามคำเชิญ
“พี่ไห่ชวน แล้วพี่ใหญ่ไห่ชานเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนที่นึกขึ้นได้ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เขายังจดจำครั้งสุดท้ายที่พบเจอเชวียไห่ชานกับเชวียไห่ชวนในเมืองหลิงหูได้เป็นอย่างดี พวกเขา 3 พวกเขาทั้ง 3 นั่งดื่มสุรากันไปครึ่งค่อนวัน เชวียไห่ชานเองก็ถึงกับเมาหลับไปไม่รู้เรื่อง
“พี่ใหญ่ข้าปิดด่านบ่มเพาะไป 10 กว่าปีแล้ว ยังไม่ออกมาเลย”
เชวียไห่ชวนส่ายหัวไปมาขณะกล่าวตอบ
“ดูเหมือนว่าระดับพลังของพี่ไห่ชวนในปัจจุบัน จะกระตุ้นพี่ใหญ่ไห่ชานให้เร่งรีบไม่น้อย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะ เขาย่อมเดาได้ไม่ยากว่าเชวียไห่ชานรู้สึกอย่างไร
น้องชายในอดีตที่ระดับพลังพอๆกัน บัดนี้ได้กลายเป็นจอมราชันเทพขั้นกลาง ทั้งยังเป็นชนชั้นยอดฝีมือไปแล้ว แถมยังมีตำแหน่งเป็นถึงอาวุโสมังกรขาวในนิกายมังกรสวรรค์อีก…ต้วนหลิงเทียนลองถามตัวเองดู ว่าถ้าเขาเป็นเชวียไห่ชานจะรู้สึกอย่างไร ไม่พ้นต้องรู้สึกเสมือนถูกโจมตีอย่างหนัก จนต้องรีบร้อนฝึกฝนบ่มเพาะอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อที่จะได้ไล่เชวียไห่ชวนที่เป็นน้องชายให้ทันแน่นอน
เชวียไห่ชวนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “นี่ก็ช่วยไม่ได้ พี่ใหญ่ถูกขังไว้ในบันไดสวรรค์ตั้งหมื่นปี…ยังดีที่ตอนนี้ออกมาได้แล้ว และข้าเชื่อว่าหากให้เวลาพี่ใหญ่หมื่นปี ความสำเร็จของพี่ใหญ่ต้องไม่ด้อยไปกว่าข้าแน่”
“คิดไปแล้วตอนนั้นก็น่าเสียดายนัก…หากข้าเลือกจะเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ให้เร็วที่สุด บางทีพี่ใหญ่ของข้าอาจไม่ต้องถูกขังอยู่ในบันไดสวรรค์แบบนั้น”
เอ่ยถึงจุดนี้เชวียไห่ชวนก็ส่ายหน้าไปมา ยังถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน เห็นได้ชัดว่านึกเสียใจกับเรื่องที่ผ่านไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนเห็นอีกฝ่ายสลด ก็เลือกจะเปลี่ยนหัวข้อทันที “ว่าแต่ข้าได้ยินมาว่าสาเหตุที่พี่ใหญ่ไห่ชานถูกขังไว้ในบันไดสวรรค์ เป็นเพราะพี่ใหญ่ไห่ชานออกหน้าล้างแค้นให้ท่าน กระทั่งฆ่าลูกชายคนเดียวของประมุขนิกายหมอกเร้นลับจนตายงั้นเหรอ?”
“เป็นเช่นนั้น”
เชวียไห่ชวนพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวออกมาเสียงขรึม “เดิมทีอดีตประมุขผู้นั้น มันถึงกับตัดสินโทษตาให้พี่ใหญ่ข้าด้วยซ้ำ…อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นพี่ใหญ่ไม่เพียงแต่จะลงมือด้วยบันดาลโทสะ อีกฝ่ายยังลงมือด้วยคิดเข่นฆ่าพี่ใหญ่เช่นกัน นอกจากนั้นอาจารย์ของข้าเอง ก็ดูแลอาจารย์อาทุกคนอย่างดีมาตลอด ทำให้สนิทสนมกับอาจารย์อาทุกคน พอมารวมกับสันดารระยำของลูกชายอดีตประมุขคนนั้นที่ทำให้ทุกคนในนิกายระอา อาจารย์อาทุกคนก็เห็นพ้องต้องกัน ว่าจะลงโทษพี่ใหญ่ข้าด้วยการจำคุกในบบันไดสวรรค์เป็นเวลาหมื่นปีเท่านั้น”
“แล้วเรื่องที่ข้าได้ยินมาว่า อดีตประมุขคนนั้นมันไม่พอใจคำตัดสินดังกล่าว ก็เลยทรยศนิกายหมอกเร้นลับโดยการไปเข้าร่วมกับนิกายหมื่นปีศาจ กระทั่งสุดท้ายก็เข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ในนามนิกายหมื่นปีศาจ เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง
“เป็นเรื่องจริง”
เชวียไห่ชวนพยักหน้า สองตายังหรี่ลงเล็กน้อย “ปีนั้นมันเอาความลับของนิกายหมอกเร้นลับไปพูดหลายเรื่อง และหลังมันเข้านิกายมังกรสวรรค์มาไม่นาน มันก็กลายเป็นอาวุโสมังกรขาว เพราะเหตุนี้ตอนที่ข้าเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ใหม่ๆ มันก็พยายามหาเรื่องทั้งขัดขาข้าทุกทาง”
“แต่ตอนนี้หรือ หึ! เจอหน้าข้ามันยังต้องเดินหลบ!!”
เชวียไห่ชวนกล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงก็เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ
เมื่อก่อนนั้น กระทั่งลูกชายอีกฝ่ายตัวมันยังสู้ไม่ได้ แต่บัดนี้มันสามารถทุบตีอีกฝ่ายให้มีสภาพเยี่ยงสุนัขป่วยไม่ยาก!
“จะว่าไป…ท่านพาพี่ใหญ่ไห่ชานมาอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์แบบนี้ เจ้านั่นไม่พ้นต้องหาโอกาสเล่นงานพี่ใหญ่ไห่ชานไม่เว้นแต่ละวันกระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกครั้ง
“เป็นเรื่องธรรมดา”
เชวียไห่ชวนพยักหน้า “ตั้งแต่ที่มันรู้ว่าข้าพาพี่ใหญ่มาอยู่ด้วย มันก็ไม่เคยอยู่เฉยสักวัน…อย่างไรก็ตามขอเพียงมันไม่มีวิธีล่อข้าให้ออกห่างจากพี่ใหญ่ มันก็ไม่มีทางทำอะไรพี่ใหญ่ข้าได้”
“อย่างไรก็ต้องระวังให้มาก”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงขรึม “ดั่งคำกล่าว ยามสุนัขจนตรอกยังฮึดกระโดดกำแพง นับประสาอะไรกับผู้คน…ถ้ามันหมกมุ่นเรื่องล้างแค้นจนเกิดมารในใจ ข้าเกรงว่ากฏของนิกายมังกรสวรรค์มันก็ไม่สน”
สุดท้ายแล้ว ในนอดีตคนที่เชวียไห่ชานฆ่าทิ้งไป ก็คือลูกชายคนเดียวของอีกฝ่าย กล่าวได้ว่าอดีตประมุขนิกายหมอกเร้นลับคนนั้น ไม่มีทางปล่อยวางความแค้นฆ่าลูกชายคนเดียวได้แน่
“ข้ารู้”
เชวียไห่ชานพยักหน้า “ข้าก็เลยไม่คิดจะปล่อยให้พี่ใหญ่คลาดสายตา”
“เช่นนั้น มันย่อมไม่มีโอกาส”
กล่าวจบคำ ลึกลงไปในแววตาของเชวียไห่ชวนก็เผยประกายเย็นชาเรืองขึ้นวาบหนึ่ง
หลายปีที่ผ่านมา เหตุไฉนที่มันเติบโตก้าวหน้าเร็วนัก เพราะมันต้องเผชิญกับแรงกดดันอันหนักหน่วงจนต้องรีดเค้นศักยภาพของตัวเอง และถึงแม้อดีตประมุขนิกายหมอกเร้นลับคนนั้นจะไม่เกลียดแค้นมันเท่าเชวียไห่ชาน แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยหยุดหาเรื่องมันเลย
และถ้าไม่ใช่เพราะมันไม่ใช่คนที่ฆ่าลูกชายอีกฝ่าย จนอีกฝ่ายไม่กล้าทุบหม้อจมเรือเพื่อฆ่ามันล่ะก็ น่ากลัวว่าคงยากที่มันจะเอาชีวิตรอดมาได้ถึงวันนี้
“เอาล่ะ เรื่องนี้อย่าพูดถึงอีกเลย”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เชวียไห่ชวนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มาดูคนที่เข้าร่วมการทดสอบศิษย์ฝ่ายในครั้งนี้กันดีกว่า ไม่ทราบจะมีใครฝีมือดีๆบ้าง”
“อีกทั้งคนพวกนี้จะอย่างไร พวกมันก็จะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าในการแข่งขันมังกรซ่อน”
พูดถึงตรงนี้เชวียไห่ชวนก็โบกมือเบาๆ จากนั้นกลางอากาศก็ปรากฏม่านแสงหนึ่งขึ้น มองไปคล้ายจอโทรทัศน์อย่างไรอย่างนั้น ติดก็แค่มันมีการแบ่งฉากมากมายจนเสมือนนำโทรทัศน์นับพันๆเครื่องมาวางเรียงติดกัน
และฉากเรื่องราวที่ฉายบนม่านแสงต่างๆ ก็คือภาพโหวชิ่งหนิงรวมถึงคนอื่นๆที่เข้าร่วมการทดสอบศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ และในปัจจุบันแต่ละคนก็กำลังเผชิญหน้กับบททดสอบในพื้นที่อิสระที่แตกต่างกัน
การทดสอบก็มีลักษณะเหมือนกัน เพียงแต่ระดับความยากมันต่างกัน
และระดับความยากก็ปรับให้เหมาะสมกับช่วงอายุ
อย่างเช่นตู้ปั้วจวินศิษย์หลักของนิกายหมื่นปีศาจ ในฐานะที่มันเป็นรุ่นเยาว์ที่มีอายุอยู่ในช่วง 8,000 – 10,000 ปี บททดสอบของมันก็ถือว่ายากที่สุดในบรรดาบททดสอบทั้ง 3 ช่วงอายุ
ต่อมาบททดสอบสำหรับหัวเทียนตู้ นายน้อยนิกายบูรพารุ่งโรจน์ที่อยู่ในช่วงอายุ 5,000 – 8,000 ปีนั้น ก็มีระดับความยากลดหลั่นลงมา จนมีความยากในระดับปานกลาง
สำหรับการทดสอบที่โหวชิ่งหนิงและคุณหนู 3 ตระกูลมู่หรงกำลังเผชิญหน้าอยู่ ถือว่าง่ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม ที่บอกว่าง่ายที่สุดนั้น เพราะนำความยากของทั้ง 3 ระดับมาเปรียบเทียบกันตรงๆ แต่ในแง่ของผู้ที่พบเจอมันแล้ว บททดสอบสำหรับคนที่อายุไม่ถึง 5,000 ปี จะเป็นอะไรที่ยากที่สุด
“น้องต้วน ชายหนุ่มกับหญิงสาวผู้นั้นเป็นสหายของเจ้ารึ?”
สายตาต้วนหลิงเทียนมักเพ่งเล็งไปยังจอเล็กๆ 2 จอที่ฉายการทดสอบของโหวชิ่งหนิงและมู่หรงอวิ๋นเยว่ คุณหนู 3 ตระกูลมู่หรงเสมอ เชวียไห่ชวนจึงสังเกตเห็นได้ไม่ยากว่าเขาให้ความสนใจกับทั้ง 2 คนมากกว่าใคร
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ชายหนุ่มคนนี้เรียกว่าโหวชิ่งหนิง ส่วนสตรีนางนั้นก็คือคุณหนู 3 ตระกูลมู่หรงเรียกว่า มู่หรงอวิ๋นเยว่”
“ทั้งคู่เป็นเพื่อนข้าเอง โหวชิ่งหนิงยังเป็นเพื่อนคนแรกๆที่ข้ามีในดินแดนดาราพิศวงอีกด้วย”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ เชวียไห่ชวนก็คลี่ยิ้มบางๆ “เช่นนั้นข้าจะแจ้งให้ศิษย์พี่ตงฟางดูแลทั้งคู่เป็นพิเศษ…ตราบใดที่ทั้งคู่ไม่อ่อนด้อยเกินไป เช่นนั้นเรื่องผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในก็คงไม่มีปัญหา”
ได้ยินคำกล่าวของเชวียไห่ชวน สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
จริงด้วย!
ตงฟางเหยียนเหนียนเป็นเพื่อนสนิทของเชวียไห่ชวน!
ฟังจากคำพูดเชวียไห่ชวนแล้ว ถึงแม้ตงฟางเหยียนเหนียนจะไม่อาจดูแลทั้งคู่มากเกินไป แต่ต้องหาทางดูแลอย่างเหมาะสมแน่นอน
ด้วยวิธีนี้โอกาสที่ทั้งคู่จะผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ก็จะมีมากขึ้น
หลังเชวียไห่ชวนกล่าวจบคำไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในบททดสอบที่โหวชิ่งหนิงกับมู่หรงอวิ๋นเยว่พบเจอ
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะเขาเตรียมใจไว้แล้ว กระทั่งยังมองจ้องทั้งคู่แต่แรก
หาไม่แล้วความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คงยากที่จะตรวจพบได้โดยง่าย
“รอบนี้ศิษย์พี่ตงฟางรับผิดชอบเรื่องการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในเท่านั้น นอกจากศิษย์เป็นฝ่ายในแล้ว คราวนี้ยังมีการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ไม่เว้นทดสอบเป็นอาวุโสฝ่ายในรวมถึงตำแหน่งอื่นๆ และในการทดสอบเป็นอาวุโสฝ่ายใน ผู้ที่รับผิดชอบดูแลการทดสอบก็จะเป็นอาวุโสมังกรดำ…ฯลฯ”
หลังได้ยินเชวียไห่ชวนอธิบาย ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจขั้นตอนการทดสอบประเมินทั้งหมด
และถึงแม้ตงฟางเหยียนเหนียนจะเป็นผู้นับผิดชอบการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในคนเดียว แต่กระบวนการเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์นั้น ยังต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบ โดยคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากการทดสอบของแต่ละคนโดยเฉพาะอีกด้วย และถ้ามีการเล่นเส้นหรือช่วยเหลืออะไร ขอเพียงไม่ประเจิดประเจ้อมากเกินไป ผู้ที่มีหน้าที่ตรวจสอบก็จะหลับตาข้างหนึ่ง
แต่ถ้ามันประเจิดประเจ้อหรือช่วยเหลือกันออกหน้าออกตา ตงฟางเหยียนเหนียนก็ไม่พ้นถูกลงโทษ
ส่วนตัวเขานั้น การที่ตงฟางเหยียนเหนียนอนุญาตให้ผ่านการทดสอบทั้งหมด ก็คงไม่มีใครพูดอะไรแน่นอน เพราะผลงานที่เขาทำไว้ในรอบคัดเลือกก็เห็นกันอยู่ชัดๆ
กระทั่งอาวุโสระดับสูงๆ ไม่ว่าจะอาวุโสมังกรดำก็ดีหรือเหนือกว่านั้นก็ดี ไม่เพียงไม่ว่าตงฟางเหยียนเหนียน แต่ยังจะกล่าวชมที่มีความยืดหยุ่นและปรับให้เข้ากับสถานการณ์อีกด้วย
“อย่างไรเสีย เรื่องสหายทั้ง 2 ของข้าต้องขอบคุณท่านมากพี่ไห่ชวน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณเชวียไห่ชวนอีกครั้ง
ด้านเชวียไห่ชวนก็โบกมือส่งๆ พลางยิ้มกล่าวว่า “เทียบกับเรื่องที่เจ้าเมตตาไว้ชีวิตพี่ใหญ่ข้าแล้ว กับเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ยังจะนับเป็นอะไรได้เล่า”
ทันใดนั้นเอง คล้ายนึกอะไรได้ออก สีหน้าเชวียไห่ชวนพลันเปลี่ยนไป เสียงกล่าวยังเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน “น้องต้วน เจ้าเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์แล้ว ต่อไปเจ้าต้องระวังอาวุโสฝ่ายใน กวงเทียนเจิ้ง ที่มาจากนิกายหมื่นปีศาจคนนั้นให้มาก”
“เพราะสถานะของกวงเทียนเจิ้งในปัจจุบัน มันแตกต่างจากสถานะของกวงเทียนเจิ้งที่ไปหาเจ้าถึงตระกูลหลิงหูในอดีตมาก…”
“เนื่องจากศิษย์คนรองของมันได้แต่งงานกับลูกสาวคนเดียวของรองประมุขเซวียไปแล้ว เช่นนั้นมันก็ถือได้ว่าเป็นคนของประมุขเซวีย”
“ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แม้แต่สายของนิกายหมื่นปีศาจในนิกายมังกรสวรรค์ก็เติบโตทั้งก้าวหน้าขึ้นเพราะสถานะของมัน กระทั่งกระแสการเติบโตยังมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นไม่หยุด ถึงขั้นกำลังจะครอบงำสายนิกายหมอกเร้นลับของพวกเราแล้ว”
พอเชวียไห่ชวนกล่าวถึงจุดนี้ มันก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ค่อยกล่าวเสริมออกมาว่า “แน่นอนว่าถึงมันจะมีรองประมุขเซวียหนุนหลัง เว้นเสียแต่จะเป็นการต่อสู้เป็นตาย…มันก็ไม่กล้าลงมือเล่นงานเจ้าในนิกายอย่างโจ้งแจ้งแน่ เช่นนั้นเจ้าระวังเรื่องนี้ให้ดี อย่าได้ไปรับคำท้าประลองเป็นตายกับผู้ใดส่งเดช”
“ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเจ้าไม่ออกไปนอกเขตนิกาย มันก็ไม่มีปัญญาทำอะไรเจ้าได้”
“และถ้าเจ้ามีเหตุจำเป็นต้องออกไปทำธุระนอกนิกายจริงๆ เช่นนั้นให้เจ้าแจ้งข้าด้วย ข้าจะหาคนไปกับเจ้า…ข้าเองก็จำต้องอยู่ดูแลพี่ใหญ่ หาไม่แล้วข้าคงเป็นคนไปกับเจ้าเอง”
เชวียไห่ชวนกล่าว
“ขอบคุณพี่ไห่ชวนที่กล่าวเตือน ข้าจะระวังให้มาก”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม และในใจยังคิดว่าจะเพิ่มความระวังให้มากขึ้น
ทันใดนั้น เชวียไห่ชวนก็คล้ายนึกอะไรได้ออกอีกครั้ง จึงกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะว่า “ฮ่าๆ ข้าก็ลืมไปสนิท ว่าตอนนี้เจ้าไม่ได้เป็นคนของนิกายหมอกเร้นลับแล้ว…และด้วยสถานะของเจ้าในตระกูลหลิงหู ข้าเชื่อว่าหลังจากเจ้าปรากฏตัวในนิกายมังกรสวรรค์ สายของตระกูลหลิงหูต้องเห็นความสำคัญของเจ้า และดูแลเจ้าเป็นอย่างดีแน่”
“ข้าเชื่อว่าต้องมียอดฝีมือของตระกูลหลิงหูมากมายที่เต็มใจปกป้องคุ้มครองเจ้า”
พอเชวียไห่ชวนกล่าวถึงตระกูลหลิงหูออกมา ใจต้วนหลิงเทียนก็อดนึกถึง หลิงหูเหรินเจี๋ย อดีตผู้นำตระกูลหลิงหูขึ้นมาไม่ได้ อีกฝ่ายถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้นำเพราะเขา จุดนี้ทำให้เขาเองก็ได้แต่ทอดถอนในใจ
การกระทำของอาวุโสในตระกูลหลิงหูนั้น ถึงเขาเองก็พอเข้าใจว่ามันสมเหตุสมผล แต่อย่างไรเสีย ถ้าเป็นไปได้ ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ เขาไม่อยากรับความช่วยเหลือหรือติดค้างอะไรคนของตระกูลหลิงหูอีกต่อไป
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขากังวลว่าจะไม่อาจตอบแทนอีกฝ่ายได้ แต่กังวลเรื่องจะลากผู้อื่นให้จมปลักโคลนโดยที่ไม่จำเป็น
ดูอย่างหลิงหูเหรินเจี๋ยเป็นต้น อีกฝ่ายไม่ใช่ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลเพราะเขาหรือไร? เพราะเหตุนี้เขาก็เลยต้องทำข้อตกลงกับอาวุโสตระกูลหลิงหูให้เสร็จสิ้นภายใน 100 ปี หลิงหูเหรินเจี๋ยถึงจะกลับไปนั่งตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงหูได้อีกครั้ง