“ประมุขน้อย ก็มาเร็วเหมือนกันนี่”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าทักทายหัวเทียนตู้
หัวเทียนตู้ก็ฉีกยิ้ม ก่อนจะมองลึกไปทางต้วนหลิงเทียน “ต้วนหลิงเทียน ในการแข่งขันมังกรซ่อน หากพวกเราพบกัน ท่านก็เมตตาข้าด้วยเล่า…”
“ประมุขน้อยก็ถ่อมตัวเกินไป…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าไปมา “ไม่แน่พอถึงตอนที่พวกเราต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ อาจเป็นข้าที่ต้องการความเมตตาจากท่านก็เป็นได้…”
“ฮ่าๆๆ”
หัวเทียนตู้หัวเราะร่า “ถึงตอนนั้น พวกเรามาประมือกันพอหอมปากหอมคอเถอะ หากใครมีเปรียบ อีกฝ่ายก็ยอมแพ้เลยเป็นไร จะได้ไม่ทำร้ายน้ำใจกัน”
“เอาสิ”
ต้วนหลิงเทียนหยีตาพลางพยักหน้ารับ
ทันใดนั้นเอง หัวเทียนตู้ก็หันไปมองทิศทางหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมายิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “โทษทีต้วนหลิงเทียน พอดีสหายข้าเรียกหา เดี๋ยวข้าไปหามันก่อน”
“ตามสบาย”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็เหลือบไปมองทิศทางที่หัวเทียนตู้มองไปเมื่อครู่ จึงพชายหนุ่มนุชดหรูหราอีกคนกำลังยืนอยู่
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับความหรูหราของเสื้อผ้าแล้ว เห็นชัดว่ายังด้อยกว่าหัวเทียนตู้
และพออีกฝ่ายสังเกตเห็นว่าต้วนหลิงเทียนมองมา มันก็พยักหน้าพลางส่งยิ้มให้ต้วนหลิงเทียนบางๆ
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้อีกฝ่ายตามมารยาท เสียงผ่านพลังของโหวชิ่งหนิงก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ “เจ้านั่นเป็นหลายชายของผู้อาวุโสสูงสุดในนิกายบูรพารุ่งโรจน์เรียกว่า จี้อู่ชาง”
“จี้อู่ชางคนนี้ ข้าได้ยินมาว่าพลังฝีมือของมันก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าหัวเทียนตู้เลย กล่าวได้ว่าจะพลังฝีมือหรือฐานะก็พอๆกับหัวเทียนตู้…อย่างไรก็ตามในรอบคัดเลือกมันกลับไม่ได้เปิดเผยพลังฝีมือออกมามากนัก ทำให้ไม่ได้แลดูโดดเด่นอะไรเหมือน ยอดฝีมือดังๆในช่วงอายุ 5,000 – 8,000 ปี”
โหวชิ่งหนิงกล่าวความคิดของตัวเองออกมา “เจ้านั่นไม่พ้นต้องปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้”
ได้ยินคำพูดของโหวชิ่งหนิง ต้วนหลิงเทียนก็ยกยิ้ม “นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ในรอบคัดเลือกย่อมมีผู้ที่อยากแสดงความแข็งแกร่งให้เป็นที่ประจักษ์ แต่ก็มีบางคนที่เลือกจะปกปิดพลังฝีมือเอาไว้”
“ภายใต้สถานการณ์ของรอบคัดเลือกที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยพลังที่แท้จริง คนที่ไม่มีใจอยากอวดโอ่พลังของตัวหรืออยากสร้างชื่อเสียง ก็ไม่มีใครคิดอยากเปิดเผยความแข็งแกร่งออกมามากนัก”
ถึงแม้โหวชิ่งหนิงจะไม่พูด แต่ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้
ในการแข่งขันมังกรซ่อนครั้งนี้ ศัตรูของเขาไม่ได้มีแต่ราชาเทพขั้นสูงที่เผยพลังฝีมือออกมาแต่แรกอย่างหัวเทียนตู้ หรือตู้ปั้วจวินเท่านั้น แต่ยังมีคนที่ซุกซ่อนพลังฝีมือที่แท้จริงเอาไว้
กระทั่งอันที่จริงแล้ว สิ่งที่หัวเทียนตู้กับตู้ปั้วจวินเผยออกมาในรอบคัดเลือก ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นพลังฝีมือทั้งหมดของพวกมัน
เพราะมีหลายๆคนที่ไม่ได้ใช้อุปกรณ์เทพด้วยซ้ำในรอบคัดเลือก
แต่ให้จะควักอุปกรณ์เทพออกมาใช้ แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าใช้ฝีมือทั้งหมดหรือยัง
“อาคันตุกะต้วน”
ทันใดนั้นเอง เสียงสตรีหนึ่งพลันดังทักขึ้น จากนั้นกลิ่นหอมก็โชยมาตามสายลมเบาๆ ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิง
ไม่ใช่ใครอื่น เป็นมู่หรงอวิ๋นเยว่ คุณหนู 3 ของตระกูลมู่หรง
สามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในได้แบบนี้ มู่หรงอวิ๋นเยว่ย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้นางมีความสุขจริงๆก็คือ โหวชิ่งหนิง เองก็ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ด้วย
เดิมทีนางมีเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นใจอยู่ด้วยกัน 2 เรื่อง
เรื่องแรกก็คือตัวนางผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ แต่โหวชิ่งหนิงกลับล้มเหลว จนสุดท้ายเป็นได้แค่ศิษย์ฝ่ายนอก ทำให้คงยากที่จะมีโอกาสได้พบกัน
เพราะในนิกายมังกรสวรรค์นั้น ศิษย์ฝ่ายในกับศิษย์ฝ่ายนอกจะถูกแบ่งแยกชัดเจน
ส่วนเรื่องที่ทำให้นางกังวลอีกเรื่องก็คือ ตัวนางล้มเหลวในการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ และจำต้องกลับไปยังตระกูลมู่หรง ส่วนโหวชิ่งหนิงเลือกที่จะอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ในฐานะศิษย์ฝ่ายนอก
เพราะด้วยพลังฝีมือของโหวชิ่งหนิง แม้จะไม่อาจเป็นศิษย์ฝ่ายในได้ แต่เรื่องเป็นศิษย์ฝ่ายนอกนั้นไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน
“คุณหนู 3”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มทักมู่หรงอวิ๋นเยว่ จากนั้นก็เหลือบไปมองโหวชิ่งหนิงด้วยสายตามีเลศนัย “ในเมื่อคุณหนู 3 มาแล้ว ข้าไม่อยู่เป็นหลอดไฟดีกว่า”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ร่างเขาก็วูบหายไปโผล่ข้างๆผู้เฒ่าเหิงฮวนของตระกูลหลิงหูที่พึ่งมาถึงทันที
“เจ้าหนูหลิงเทียน”
หลิงหูเหิง มองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ “เดิมทีข้าเชื่อว่าถึงเจ้าจะไม่ได้อันดับ 1 ในการแข่งขันมังกรซ่อนครั้งนี้…แต่เรื่องติด 3 อันดับแรกข้าไม่สงสัยเลย”
“ทว่าตอนนี้…ดูเหมือนว่า 3 อันดับแรก ก็คงไม่ง่ายแล้ว”
ขณะกล่าวประโยคท้าย น้ำเสียงของหลิงหูเหิงยังจริงจังเป็นพิเศษ
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนมองหลิงหูเหิงด้วยสายตาสงสัย
“เมื่อวานข้าคุยกับสหายเก่าคนหนึ่ง และได้ยินเรื่องบางอย่างมา…”
หลิงหูเหิงเอ่ยออกเสียงขรึม “หัวเทียนตู้ กับจี้อู่ชางของนิกายบูรพารุ่งโรจน์นั่น เมื่อ 10 กว่าปีก่อน พวกมันต้องสงสัยว่าได้พบเจอเทพซ่อนที่เป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพเหลือทิ้งไว้ ต่อมาระดับพลังฝีมือของหัวเทียนตู้ก็เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ และในนิกายบูรพารุ่งโรจน์ ไม่มีใครที่อยู่ใต้ขอบเขตจอมราชันเทพสามารถสู้มันได้เลย”
“อย่างไรก็ตามนิกายบูรพารุ่งโรจน์เลือกจะปิดกั้นข่าวเรื่องนี้เอาไว้…ที่สหายเก่าของข้าคาบข่าวมาบอกข้าได้ เพราะมันมีเพื่อนเป็นอาวุโสหลักในนิกายบูรพารุ่งโรจน์ และเพื่อนของมันคนนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์ที่หัวเทียนตู้ประมือกับบางคน”
“ฟังจากที่มันเล่ามา…พลังฝีมือของหัวเทียนตู้ในยามนี้ แม้จะจับไปวางไว้ในขุมกำลังระดับแนวหน้าของเขตคฤหาสน์ตงหลิงเรา ก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้า เพราะมันไม่ได้ด้อยไปกว่าอัจฉริยะขอบเขตราชาเทพของขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าเลย”
หลิงหูเหิงคุยกับต้วนหลิงเทียนด้วยการส่งเสียงผ่านพลัง ยิ่งพูดน้ำเสียงของมันก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น “ส่วนจี้อู่ชางนั่น เดิมทีมันกับหัวเทียนตู้ก็มีพลังฝีมือพอๆกัน และในเมื่อมันกับหัวเทียนตู้ต้องสงสัยว่าจะเข้าไปในเทพซ่อนของจักรพรรดิเทพด้วยกัน เช่นนั้นถ้าหัวเทียนตู้ก้าวหน้า มันไหนเลยจะไม่ก้าวหน้า…อย่างน้อยๆข้าเชื่อว่าในตอนนี้มันก็ร้ายกาจพอๆกับหัวเทียนตู้เหมือนเดิม”
ต้องบอกเลยว่าเรื่องที่หลิงหูเหิงบอกมาครั้งนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจอยู่บ้าง
อย่างว่า เรื่องโชควาสนาและการพบพานโดยบังเอิญมันจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้
ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าหัวเทียนตู้โชคดีไม่เบา
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปไกลๆ ก็พบว่าหัวเทียนตู้กับจี้อู่ชางกำลังสนทนากันอย่างผ่อนคลาย ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
และพอทั้งคู่สัมผัสได้ถึงสายตาของเขา พวกมันก็หันกลับมาพยักหน้าให้เขาด้วยรอยยิ้ม
‘ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ พวกมันสองคนนับว่าโชคดีไม่น้อย’
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
เทพซ่อนของจักรพรรดิเทพนั้น เขาก็เคยเข้าไปแล้ว และได้รับทรัพยากรบ่มเพาะมามากมาย อนิจจาทรัพยากรบ่มเพาะที่ว่า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นทรัพยากรสำหรับตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพขึ้นไป
‘หากพลังฝีมือของหัวเทียนตู้มันก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วจริงๆ ไม่แน่ว่าเทพซ่อนที่พวกมันพบเจอจะเป็นของจักรพรรดิเทพ…บางทีอาจจะเป็นแค่จอมราชันเทพมากกว่า’
‘หากเป็นเทพซ่อนที่จักรพรรดิเทพเหลือทิ้งไว้จริง สิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับตัวตนในขอบเขตราชาเทพได้ก็คงแทบไม่มี เพราะคงไม่มีใครเก็บทรัพยากรที่ตัวเองไม่ได้ใช้มานานเอาไว้ในแหวนให้รกเปล่า แต่ถ้าเป็นเทพซ่อนของจอมราชันเทพ ของที่เหลือไว้น่าจะเป็นประโยชน์กับราชาเทพมากกว่า โดยเฉพาะจอมราชันเทพขั้นต่ำ’
จุดนี้ ต้วนหลิงเทียนที่พบเจอกับตัวย่อมรู้เข้าใจได้ไม่ยาก
“ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้เจ้าอยู่ที่สังเวียนเหยียนหลงแล้วหรือ?”
ในขณะที่หลิงหูเหิงกำลังส่งเสียงผ่านพลังมาคุยกับเขา อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงข้อความหนึ่งดังขึ้น ถึงขั้นแทบไม่ได้ฟังคำพูดของหลิงหูเหิงเลย
เพราะทันทีที่ได้ยินเสียงข้อความดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปพักหนึ่ง กว่าจะดึงสติกลับมาได้ “ติงเหยียนรึ!?”
คนทีอยู่ๆก็ส่งข้อความมาหาเขา ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น 1 ใน 2 สหายที่เขามีตอนอยู่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์
โหวชิ่งหนึ่งเป็นหนึ่งในนั้น
อีกคนก็คือติงเหยียน
เรื่องที่อยู่ๆติงเหยียนก็ออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับ และหายตัวไปไร้คำลา ก็เป็นโหวชิ่งหนิงที่บอกเขา
ต่อมาเขากับโหวชิ่งหนิงก็ลองติดต่อไปหาติงเหยียนหลายต่อหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายไม่เคยตอบกลับมาเลย
หากไม่ใช่เพราะลูกแก้ววิญญาณของติงเหยียนยังอยู่ดี พวกเขาคงคิดว่าเกิดเรื่องกับติงเหยียนไปแล้ว แต่อีกฝ่ายยังอยู่ดีแต่ไม่ทราบเพราะอะไรถึงไม่ตอบกลับ
“นี่เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าอยู่ที่สังเวียนเหยียนหลง”
หลังจากรู้สึกตัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง เพราะเขาไม่ทราบว่าติงเหยียนรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่ไหน
“ข้าจะไปหาเจ้า”
ติงเหยียนไม่ได้ตอบคำถาม แต่ส่งข้อความมาสั้นๆแล้วก็เงียบไปเลย
“เจ้าหนูหลิงเทียน นี่เจ้าฟังข้าอยู่รึเปล่า”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็ฟุ้งซ่านเหม่อลอย หลิงหูเหิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ น้ำเสียงยังเผยความไม่พอใจอยู่บ้าง
“หะ? ผู้เฒ่าเหิงท่านว่าอะไรนะ?”
ต้วนหลิงเทียนสะดุ้งเล็กน้อย ค่อยหันไปคลี่ยิ้มโง่งมให้หลิงหูเหิง “ผู้เฒ่าเหิง พอดีข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน เดี๋ยวข้าค่อยกลับมาคุยกับท่านทีหลัง”
พอกล่าวจบคำ ไม่รอให้หลิงหูเหิงพูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็ใช้เคลื่อนมิติวูบร่างหายไปทันที
ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็อยู่ตรงหน้าโหวชิ่งหนิงแล้ว
ด้านโหวชิ่งหนิงก็กำลังคุยกับมู่หรงอวิ๋นเยว่อย่างมีความสุข พออยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้ มันก็สะดุ้งไปเล็กน้อย
กระทั่งมู่หรงอวิ๋นเยว่เองก็สะดุ้งไปเพราะความตกใจ ยังพุ่งมือไปจับแขนโหวชิ่งหนิงเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
พอตระหนักว่าร่างของโหวชิ่งหนิงคล้ายจะแข็งทื่อไป มู่หรงอวิ๋นเยว่ก็เร่งปล่อยมือออกมาด้วยความอาย
“บ้าเอ๊ยต้วนหลิงเทียน อยู่ๆก็โผล่มาแบบนี้ เจ้าคิดจะทำให้ผู้คนหัวใจวายตายรึไง?”
โหวชิ่งหนิงหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “ว่าแต่ไฉนอยู่ๆเจ้าต้องใช้เคลื่อนมิติโผล่มาเหมือนผีแบบนี้ล่ะ พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ห่างกันมากมายอะไร?”
ถึงแม้โหวชิ่งหนิงจะรู้สึกพูดไม่ออก แต่เมื่อครู่ตอนที่มู่หรงอวิ๋นเยว่จับมือถือแขนมันเพราะความกลัว ก็ทำให้มันรู้สึกเสมือนมีรสชาติหอมกรุ่นยากบรรยายติดอยู่ในลำคอพอให้จั๊กจี้หัวใจชอบกล ยังแอบหวังให้ต้วนหลิงเทียนโผล่มาเหมือนผีจนทำให้นางตกใจแบบนี้บ่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ผิวเผินมันยังปั้นหน้าเข้มแสร้งทำเป็นไม่พอใจต้วนหลิงเทียนออกมา
“เมื่อครู่เจ้าติงเหยียนมันพึ่งส่งข้อความมาหาข้า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ฮะ?”
โหวชิ่งหนิงก็อึ้งไปเป็นธรรมดา “เจ้านั่นมันส่งข้อความมาหาเจ้าแล้วเรอะ แล้วมันว่าอย่างไรบ้างเล่า? ให้ตายเถอะแล้วไฉนมันถึงส่งข้อความหาแต่เจ้าล่ะ มันไม่คิดติดต่อข้าบ้างรึไงกัน?”
“แบบนี้ไม่ใช่ละ ข้าต้องโวยมันหน่อย”
พอโหวชิ่งหนิงกล่าวจบ มันก็ส่งข้อความไปหาติงเหยียนทันที กระทั่งยังบ่นติงเหยียนว่าคิดถึงแต่ต้วนหลิงเทียนบ้าง ไม่เห็นมันเป็นเพื่อนบ้าง น้ำเสียงยังฉายความน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าจะน้อยใจทำผักกาดอันใดเล่า ที่ข้าส่งข้อความไปหาต้วนหลิงเทียนเพราะข้าทราบมาว่าต้วนหลิงเทียนมันอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ต่างหาก”
และนนี่คือข้อความที่ติงเหยียนตอบกลับโหวชิ่งหนิง “ตอนนี้ข้ากำลังจะไปหาต้วนหลิงเทียน”
“ช้าก่อนๆ เจ้าพูดมาแบบนี้ หรือเจ้าก็อยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ด้วย?”
โหวชิ่งหนิงที่จับประเด็นได้ ก็ตกใจอยู่บ้าง “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เจ้ามาเข้าร่วมการทดสอบรับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ด้วยรึไง แต่ไฉนข้าถึงไม่เห็นเจ้าในรอบคัดเลือกเลยเล่า?”
“และต่อให้พวกเราไม่ทันเห็นเจ้าจริงๆ แต่ต้วนหลิงเทียนที่ลงมืออย่างเหนือชั้นในรอบที่ 3 เจ้าก็สมควรเห็นมันกับข้าไม่ใช่รึไง?”
โหวชิ่งหนิงพึ่งส่งข้อความไประดมตามติงเหยียนได้ไม่ทันไร ด้านติงเหยียนก็ตอบกลับมาเร็วไว “เอ๋? โหวชิ่งหนิง นี่เจ้าก็มาเข้าร่วมการทดสอบรับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ด้วยเหรอ?”
น้ำเสียงของติงเหยียนเผยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “หรือว่าตอนนี้เจ้าก็ผ่านการทดสอบศิษย์ฝ่ายนอกแล้ว!?”
“เพ่ย! ศิษย์ฝ่ายนอกอะไรล่ะ…พี่หนิงผู้นี้เป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์แล้ว!!”
โหวชิ่งหนิงก็ส่งข้อความไปโวยทันที