ตอนที่ 3797 พบกันอีกครั้งหลังผ่านไป 30 ปี

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

“หา!? เจ้าว่าอะไรนะ!?”
  “เจ้าเนี่ยนะ เป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรคืแล้ว!?”
  ติงเหยียนที่เร่งรุดเหินร่างมาจนอยู่ใกล้เทือกเขาเหยียนหลงแล้ว ถึงกับหยุดลงกลางหาวหลังได้ยินข้อความดังกล่าวของโหวชิ่งหนิง ร่างสูงใหญ่บึกบึนของมันเสมือนโดนถูกแช่แข็งก็ไม่ปาน
  ในดวงตาของมันยังฉายแววไม่อยากจะเชื่อออกมา
  มันพึ่งจะออกจากการปิดด่านมาเมื่อวาน
  ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา หากไม่ได้ปิดด่านบ่มเพาะ ก็เข้าใช้ห้องลับแห่งกฏเพื่อทำความเข้าใจกฏแห่งไฟ
  ครั้งนี้ที่มันออกจากการปิดด่านมา ก็เพื่อจะเข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนโดยเฉพาะ
  และเมื่อครู่ตอนมันเดินผ่านฝ่ายทะเบียนของฝ่ายในนิกาย มันก็ได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนสำแดงพลังอำนาจอันเหนือชั้นในรอบคัดเลือกเมื่อ 3 วันก่อน
  เดิมทีมันก็คิดว่าอาจเป็นคนที่มีชื่อเดียวกัน และไม่ใช่ว่าจะเป็นต้วนหลิงเทียนที่มันรู้จัก
  เพราะถึงแม้ต้วนหลิงเทียนที่มันรู้จักจะมีพรสวรรค์ไม่ใช่ชั่ว แต่ในเวลาเพียงแค่ 30 ปี ก็ไม่ควรจะเติบโตก้าวหน้ามาถึงจุดดังกล่าว
  อย่างไรก็ตาม พอมันได้ยินผู้คนกล่าวถึงความเป็นมาของต้วนหลิงเทียน มันก็อดตะลึงไม่ได้
  “เป็นเจ้านั่นจริงๆหรือ?!”
  ต้วนหลิงเทียนนั้น ออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ไปเข้าร่วมกับนิกายหมอกเร้นลับ แต่มีเหตุให้ต้องออกไปอยู่ตระกูลหลิงหู…
  นอกจากนั้นยังมีวีรกรรมทั้งหลายที่ต้วนหลิงเทียนได้สร้างไว้ในช่วง 30 ปี และมันที่พึ่งได้ยินเรื่องราวเป็นครั้งแรกก็ถึงกับตกใจกลัว
  “ต้วนหลิงเทียนกลายเป็นราชาเทพขั้นกลางไปแล้วหรือ…ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อ 20 ปีก่อน ยังสามารถหลอมโอสถระดับเทพขั้นสุดยอดได้ตามอำเภอใจ ทั้งความสามารถในการหลอมโอสถเทพของต้วนหลิงเทียนยังไม่ได้ไปกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจอมราชันชั้นแนวหน้า!?”
  ต้องบอกเลยว่าติงเหยียนหวาดกลัวแล้วจริงๆ
  ต้องทราบด้วยว่าหลังจากมันถูกคนไปรับตัวกลับมาจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์ แหวนพื้นที่ในมือของมันก็ถูกยึดไป จากนั้นก็ถูกบังคับให้ฝึกฝนบ่มเพาะเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนในวันนี้
  กระทั่งเมื่อวาน มันถึงพึ่งจะออกจากการกักตัวฝึกฝน
  มันเองก็กำลังจะเดินทางไปสังเวียนเหยียนหลงเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อน พอได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนก็สมควรอยู่ที่นั่นด้วย ก็เลยติดต่อไปหาต้วนหลิงเทียน
  และในเมื่อมันพึ่งจะออกจากการปิดด่านเมื่อวาน ก็เลยพึ่งได้แหวนพื้นที่คืนมาเมื่อวานเช่นกัน
  ตอนนั้นมันยังคิดอยู่เลย ว่ารอให้จบการแข่งขันมังกรซ่อนไปก่อน มันจะติดต่อไปหาโหวชิ่งหนิงกับต้วนหลิงเทียน สหายทั้ง 2 ที่มันพบเจอในสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์เพื่อบอกว่ามันยังปลอดภัยดีอยู่
  แต่ไม่คิดไม่ฝัน ว่ามันไม่ทันจะได้ติดต่อไปหาอีกฝ่าย มันกลับได้รับทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์แล้ว มันก็เลยเร่งติดต่อไปหาต้วนหลิงเทียนทันที
  และเรื่องที่มันคิดไม่ถึงจริงๆก็คือ หลังจากมันติดต่อไปหาต้วนหลิงเทียนได้ไม่ทันไร โหวชิ่งหนิงก็ส่งข้อความมาหามัน แถมยังบอกว่าบัดนี้ได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์แล้วเช่นกัน
  “โลกนี้มันบ้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?”
  จังหวะนี้ติงเหยียนอื้ออึงเสมือนไม่รู้เหนือรู้ใต้ของจริง
  ด้วยน้ำเสียงที่กล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจนั่นของโหวชิ่งหนิง เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกมันเลย แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง โลกนี้มันจะไม่บ้าเกินไปหน่อยหรือ?
  ต้วนหลิงเทียนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้ แม้จะทำให้มันตกใจ แต่มันก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไรมากมาย
  ท้ายที่สุดแล้ว ในอดีตมันก็เห็นๆกันอยู่ว่าต้วนหลิงเทียนมีพรสวรรค์ขนาดไหน
  แต่เกิดอะไรขึ้นกับโหวชิ่งหนิงกัน?
  พรสวรรค์กับความเข้าใจของโหวชิ่งหนิงนั่น มันกล้าพูดได้เต็มปากว่าไม่สู้มันด้วยซ้ำ ถึงแม้ในอดีตโหวชิ่งหนิงจะแข็งแกร่งกว่ามัน แต่เป็นเพราะโหวชิ่งหนิงเป็นนายน้อยของนิกายระดับราชาเทพ จึงมีทรัพยากรบ่มเพาะไม่ขาด ส่วนมันติงเหยียนก็แค่ดิ้นรนอยู่ในโลกภายนอกอย่างทุลักทุเลเท่านั้น
  ถึงแม้มันจะมีโอกาสเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์แต่แรก มันก็ปฏิเสธไป
  แต่ไม่นาน อาวุโสของมันก็เดินทางมาหามันถึงสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์ กระทั่งบังคับจับตัวมันกลับมาฝึกปรือที่นิกายมังกรสวรรค์ และมอบทรัพยากรบ่มเพาะล้ำค่าที่ในอดีตมันไม่กล้าแม้แต่จะฝันให้มันไม่ขาด
  เดิมทีมันก็คิดจะติดต่อไปหาต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิง แต่อาวุโสคนนั้นกลับยึดแหวนพื้นที่มันไปหน้าตาเฉย เพื่อให้มันตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะ ไม่ฟุ้งซ่าน จนมันไม่มีโอกาสติดต่อไปบอกเรื่องราวใดๆกับโหวชิ่งหนิงและต้วนหลิงเทียน
  สุดท้ายการจะส่งข้อความก็ต้องใช้ลูกแก้ววิญญาณเป็นสื่อ
  และลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงก็อยู่ในแหวนพื้นที่
  “เพ่ย! น้ำเสียงไม่เชื่อนั่นของเจ้ามันอะไรกันหา!?”
  ได้ยินคำถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อของติงเหยียน โหวชิ่งหนิงก็บ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะถามว่า “แล้วนี่ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหนกัน ฟังจากที่ต้วนหลิงเทียนพูด เหมือนเจ้าจะอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ด้วยงั้นรึ?!”
  “ตอนนี้ข้ากับต้วนหลิงเทียนอยู่ที่สังเวียนเหยียนหลง เจ้ารีบมาเร็วๆ จะได้รับทราบความร้ายกาจของพี่หนิงคนนี้ไวๆ!”
  “ราชาเทพขั้นต่ำอะ ราชาเทพขั้นต่ำเจ้ารู้จักรึเปล่า!!”
  น้ำเสียงอวดโอ่อย่างไร้ความเขินอายของโหวชิ่งหนิง ทำให้ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ข้างๆรู้สึกคันมืออยากตีคนขึ้นมาตงิดๆ
  ราชาเทพขั้นต่ำ!?
  ได้ยินคำพูดผ่านข้อความของโหวชิ่งหนิง ติงเหยียนก็ประหลาดใจจนอ้าปากค้าง สุดท้ายก็ส่งข้อความด้วยน้ำเสียงโพล่งดัง “เจ้ารออยู่ตรงนั้นล่ะ ไม่กี่ 10 ลมหายใจข้าก็ถึงแล้ว!!”
  พอกล่าวจบคำ คนก็คล้ายกลับกลายเป็นลูกไฟดวงเขื่อง พุ่งวาบผ่านฟ้าไปด้วยความเร็วปานอุกกาบาต มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของสังเวียนเหยียนหลง
  สังเวียนเหยียนหลง เป็นลานประลองใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาเหยียนหลง ยังเป็นสถานที่จัดการแข่งขันมังกรซ่อนมาโดยตลอด
  เป็นธรรมดาว่าการแข่งขันมังกรซ่อนจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะให้ผู้คนสู้กันบนสังเวียนเหยียนหลง
  สังเวียนเหยียนหลงเป็นดั่งสถานที่รวมตัวเท่านั้น
  เพราะการแข่งขันมังกรซ่อน มันต่างจากการประลองวัดฝีมือของเหล่าศิษย์ นั่นคือการต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใครเพื่อแสดงฝีมือหรือช่วงชิงรางวัลจากการจัดอันดับ แม้ตัวเวทีจะสร้างจากศิลาแกร่งชั้นดี แต่ไหนเลยจะทนรับพลังจากการต่อสู้ได้ไหว
  เช่นนั้นแล้ว การแข่งขันมังกรซ่อนนั้น ผู้คนจะต่อสู้กันบนฟ้าเหนือสังเวียนเหยียนหลง
  …
  “เจ้านั่นมันบอกว่าไม่กี่สิบลมหายใจมันก็จะมาถึงที่นี่”
  หลังได้ยินข้อความของติงเหยียน โหวชิ่งหนิงก็หันไปกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนทันที
  “อือ”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าพลางยิ้ม แต่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมติงเหยียนถึงมาอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ได้? และถ้าอีกฝ่ายเข้าร่วมรอบคัดเลือกด้วยไฉนไม่เห็นเขากับโหวชิ่งหนิง?
  ต้องทราบด้วยว่าการลงมือของเขาในรอบคัดเลือกนั้น ค่อนข้างจะโดดเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด ไม่ว่าใครต่อให้ไม่สนใจจะชมดูการทดสอบรอบคัดเลือก ก็ต้องสังเกตเห็นหรือได้ยินการลงมือของเขา
  ‘บางทีมันพึ่งจะได้ยินเรื่องข้ามาเฉยๆแต่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ก็เลยรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็เลยติดต่อมาหาข้า…แต่มันไม่ได้ยินใครพูดถึงโหวชิ่งหนิง’
  ‘หากเป็นแบบนี้ก็อธิบายได้’
  ‘เพราะถ้ามันอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็นโหวชิ่งหนิง’
  พอนึกไปนึกมา ต้วนหลิงเทียนก็พอจะมองเรื่องราวได้ออก
  “อาคันตุกะต้วน พวกท่านคุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือ”
  มู่หรงอวิ๋นเยว่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยสีหน้าว่างเปล่า
  “อ้อ พอดีสหายของพวกเรากำลังจะมาหาน่ะ”
  ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
  เวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ ไม่ทันไรก็ผ่านพ้นไป
  “นั่นไง มันมานู่นแล้ว!”
  ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะละสายตาออกจากมู่หรงอวิ๋นเย่ว เสียงของโหวชิ่งหนิงก็โพล่งดังขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปยังขอบฟ้าทิศทางหนึ่ง
  ต้วนหลิงเทียนที่หันตามนิ้วของโหวชิ่งหนิงไป เพียงมองปราดเดียวก็จดจำได้ว่าผู้ที่กำลังเหาะมาด้วยความเร็วสูงคือติงเหยียน
  ติงเหยียนนั้นร่างสูงบึกบึน มันสูงราวสองหมี่มัดกล้ามใหญ่โตจนคนคล้ายหมีควาย เพียงพบเจอครั้งเดียวก็จดจำได้ไม่รู้ลืม
  อย่างไรก็ตามพอได้เห็นติงเหยียนอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าบุคลิกทั้งอารมณ์ความรู้สึกที่ส่งออกมาของอีกฝ่ายมันแตกต่างจากในอดีตพอสมควร
  ติงเหยียนในอดีตนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนนักเลงแลดูโผงผาง
  ทว่าบัดนี้กลับแลดูสำรวมขึ้นไม่น้อย
  กระทั่งมองปราดเดียวยังรู้สึกเสมือนอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก
  เมื่อต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงสังเกตเห็นติงเหยียน ด้านติงเหยียนก็สังเกตเห็นทั้งคู่เช่นกัน จากนั้นสองตามันก็ลุกวาวสว่างจ้า เร่งเหินร่างมาหาสหายทั้งสองคนทันที
  พริบตาเดียวมันก็มาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิง
  ผ่านไปเกือบ 30 ปี ในที่สุดทั้ง 3 ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
  ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็ตั้งแต่ที่สถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสรรค์แล้ว
  “โหวชิ่งหนิง นี่เจ้าผ่านการทดสอบจนเป็นศิษย์ฝ่ายในนิกายมังกรสวรรค์แล้วจริงๆเหรอ!?”
  สิ่งแรกที่ติงเหยียนทำหลังได้พบเจอต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงอีกครั้ง ก็คือมองไปยังบริเวณเอวของโหวชิ่งหนิง และพอเห็นป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ที่ห้อยแขวนไว้ สองตามันก็เป็นประกายจ้า เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจทั้งไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง
  และในขณะที่ติงเหยียนมองไปยังป้ายประจำตัวของโหวชิ่งหนิง ด้านโหวชิ่งหนิงก็เหลือบมองไปยังบริเวณเอวของติงเหยียนโดยไม่รู้ตัว จึงเห็นป้ายที่ติงเหยียนห้อยแขวนไว้ทันที
  “ติงเหยียนเจ้า…นี่เจ้าก็เป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ด้วยงั้นเหรอ!?”
  “ไม่สิ! นี่เจ้าได้ป้ายนั่นมาได้อย่างไรกัน เพราะหากจะว่ากันตามช่วงเวลา เจ้าก็น่าจะเข้าร่วมรอบคัดเลือกเหมือนพวกเรานี่นา?”
  โหวชิ่งหนิงเอ่ยทักด้วยความสงสัย คิ้วยังขดย่นเป็นปม “แต่ไฉนข้าถึงไม่เห็นเจ้าในรอบคัดเลือกเลยเล่า กระทั่งตอนมารวมตัวกันรอทดสอบ ก็ไม่เห็นเจ้าอยู่ที่ไหนเลย?”
  ต้วนหลิงเทียนเองก็เหลือบไปมองป้ายที่ห้อยไว้บริเวณเอวของติงเหยียนเช่นกัน ซึ่งมันเป็นป้ายประจำตัวบ่งบอกฐานะศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ไม่ผิดแน่ และตัวป้ายยังมีลวดลายเฉพาะ
  ลวดลายเฉพาะที่ว่า ถูกนิกายมังกรสวรรค์สลักจารึกขึ้นมาด้วยวิธีและวัสดุเฉพาะ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปลอมแปลงขึ้นมา และป้ายดังกล่าวก็มีอายุใช้งานแค่เดือนเดียวเท่านั้น
  เพราะลวดลายเฉพาะดังกล่าว มันมีความหมายว่า ศิษย์ฝ่ายในหรือศิษย์ฝ่ายนอกที่ห้อยแขวนป้ายประจำตัวอันมีลวดลายนี้นั้น ก็คือผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อน
  ปกติแล้วลวดลายดังกล่าวจะไม่ปรากฏอยู่บนป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายในหรือศิษย์ฝ่ายนอก ที่ไม่ได้พึ่งเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ในการทดสอบครั้งนี้
  “ติงเหยียน ที่แท้มันยังไงกันแน่?”
  ต้วนหลิงเทียนก็สงสัยเช่นกัน
  “ไว้ข้าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง”
  ติงเหยียนคลี่ยิ้มร่า จากนั้นก็หันไปมองมู่หรงอวิ๋นเยว่ข้างๆโหวชิ่งหนิง “พวกเจ้าสองคนยังไม่แนะนำให้ข้ารู้จักแม่นางท่านนี้เลย”
  “นี่คือคุณหนู 3 ของตระกูลมู่หรง มู่หรงอวิ๋นเยว่”
  ต้วนหลิงเทียนก็แนะนำมู่หรงอวิ๋นเยว่ให้ติงเหยียนรู้จักทันที ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงผ่านพลังไปบอกมันว่า “นางชอบโหวชิ่งหนิง และเจ้าโหวชิ่งหนิงก็สนใจนางเช่นกัน…หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่นานเจ้ากับข้าคงได้ดื่มสุรามงคลของมันแล้ว”
  พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สองตาติงเหยียนก็ลุกวาวขึ้นมาทันที จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับมู่หรงอวิ๋นเยว่ด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้เป็นแม่นางมู่หรงอวิ๋นเยว่ คุณหนู 3 ของตระกูลมู่หรงนี่เอง”
  “ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าเรียกว่าติงเหยียนเป็นเพื่อนของต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิง”
  ติงเหยียนก็กล่าวแนะนำตัวเองออกมา
  “ยินดีที่ได้พบ”
  มู่หรงอวิ๋นเยว่ย่อมสังเกตเห็นสายตายิ้มกริ่มของติงเหยียนหลังจากมองนางสลับกับโหวชิ่งหนิง ราวกับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมาเพราะความเขิน และยังรู้ได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนต้องบอกอะไรบางอย่างให้ติงเหยียนฟังแน่ หาไม่แล้วติงเหยียนคงไม่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้
  ถึงแม้ตอนนี้นางจะอยู่ข้างกายโหวชิ่งหนิง แต่ก็ไม่ได้จับมือถือแขนโหวชิ่งหนิงแต่อย่างใด
  “เพ่ย! เจ้ายังรู้ด้วยหรือว่าข้ากับต้วนหลิงเทียนเป็นเพื่อนเจ้า?”
  โหวชิ่งหนิงมองค้อนติงเหยียน “อยู่ๆเจ้าก็จากไปโดยไม่ลาสักคำ ข้ากับต้วนหลิงเทียนส่งข้อความหาเจ้ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เหมือนถมทะเล”
  “หากไม่ใช่เพราะข้ากับต้วนหลิงเทียนเห็นว่าลูกแก้ววิญญาณของเจ้ายังอยู่ดี คงนึกว่าเจ้าไปนอนตายกลางป่าเปลี่ยวแล้ว”
  “เอาล่ะ ไหนๆเจ้าก็มาแล้ว สมควรเล่าให้พวกเราฟังได้แล้วกระมัง ว่าที่แท้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่”
  กล่าวถึงจุดนี้ โหวชิ่งหนิงก็มองจ้องติงเหยียนด้วยสายตาเอาเรื่อง
  ได้ยินดังนั้น ติงเหยียนก็ได้แต่คลี่ยิ้มโง่งมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ เพราะเรื่องนี้ก็ผิดที่มันจริงๆ “ช่วยไม่ได้นี่นา ตอนนั้นอะไรๆมันก็ปุบปับไปหมด”
  “ข้าเองก็อยากจะบอกพวกเจ้าเหมือนกัน แต่พอดีแหวนพื้นที่ข้าดันโดนยึดไปซะก่อน ข้าพึ่งจะได้คืนมาก็เมื่อวานนี้เอง”
  คำพูดของติงเหยียนก็ยืนยันข้อสันนิษฐานที่ต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงคาดไว้ก่อนหน้า
  “แล้วใครยึดแหวนเจ้าไปเล่า?”
  โหวชิ่งหนิงเอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
  ขณะเดียวกัน คล้ายโหวชิ่งหนิงจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงไม่รอให้ติงเหยียนกล่าวตอบ เพียงยิงคำถามเพิ่มไปอีกครั้งว่า “แล้วไฉนเจ้าถึงมาอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ได้ เพราะเหตุใดเจ้าถึงมีป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายในที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนเหมือนพวกเรา?”