ตอนที่ 3798 เรื่องราวของติงเหยียน

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

“ข้ามั่นใจมากว่าไม่เห็นเจ้าในรอบคัดเลือก และถ้าหากเจ้าเห็นพวกเราในรอบคัดเลือก แม้จะไม่สะดวกมาทักพวกเรา แต่เจ้าก็คงต้องส่งข้อความมาหาพวกเราแล้ว”
  โหวชิ่งหนิงเอ่ยจี้ถามเข้าประเด็น
  “เพราะข้าไม่ได้เข้าร่วมรอบคัดเลือก”
  ติงเหยียนส่ายหัว “พูดให้ชัดคือข้าไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบรับศิษย์ฝ่ายในด้วยซ้ำ”
  และคำตอบของติงเหยียนก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงผงะไปด้วยความประหลาดใจ
  ไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ?
  แล้วเช่นนั้นไปเอาป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายในที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนแบบนี้มาจากไหน?
  ‘เด็กเส้นรึ!?’
  ทันใดนั้น ในหัวต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงก็บังเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมาพร้อมกัน
  เมื่อโดนต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงมองจ้องมาด้วยความสงสัย ติงเหยียนก็ยักไหล่พลางกล่าว “ถึงแม้ข้าจะไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบรับศิษย์ อย่างไรก็ตามข้าก็พึ่งได้รับป้ายศิษย์ฝ่ายในเหมือนพวกเจ้ามา และเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์อย่างเป็นทางการวันนี้เช่นกัน”
  “ข้าก็เลยมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนด้วย”
  ติงเหยียนกล่าว
  ในตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนก็มองลึกไปทางติงเหยียน เอ่ยถามว่า “ในตอนนั้น วันที่สถานศึกษาหมอกเร้นลับทำการทดสอบประเมินนักศึกษา 10 ดาว…ที่เจ้าบอกข้าว่าหากข้าไปกับเจ้า ไม่ว่าเจออันตรายใดขอเพียงเจ้าเปิดเผยตัวตนออกมา คนของตระกูลราชาเทพก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องข้าแน่…”
  “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้ามีความสัมพันธ์กับนิกายมังกรสวรรค์รึ?”
  ฟังจากคำพูดของติงเหยียนทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงก็คาดเดาได้ทันทีว่าติงเหยียนนั้นสมควรเกี่ยวข้องกับนิกายมังกรสวรรค์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการทดสอบใดๆ ก็สามารถกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ได้
  “เป็นเช่นนั้น”
  ติงเหยียนพยักหน้า จากนั้นมันก็ถอนหายใจออกมาด้วยแววตาซับซ้อน คนนิ่งไปอยู่นาน สุดท้ายพอโหวชิ่งหนิงรบเร้ามากเข้า มันก็ค่อยๆเล่าเรื่องราวออกมา…
  และด้วยติงเหยียนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงก็เข้าใจเรื่องทุกอย่าง
  ญาติเพียงคนเดียวในโลกนี้ของติงเหยียน บิดาของมันนั้นเป็นยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพอันร้ายกาจ ทว่ากลับประสบอุบัติเหตุจนมีอันเป็นไป
  และในตอนนั้น ติงเหยียนก็ยังเล็กนัก
  ต่อมาสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายของบิดาติงเหยียน พอทราบข่าวว่าบิดาติงเหยียนตกตายแล้ว ก็ได้มาพาติงเหยียนไปอยู่ด้วย กระทั่งยังคิดจะยกลูกสาวให้แต่งงานกับติงเหยียน
  ที่ไฉนคิดยกลูกสาวให้แต่งงานกับติงเหยียนนั้น เพราะบิดาติงเหยียนกับคนผู้นี้ได้ตกลงหมั้นหมายเอาไว้ตั้งแต่พวกติงเหยียนยังไม่เกิดด้วยซ้ำ ว่าหากมีลูกจะให้แต่งกัน
  สหายของบิดาติงเหยียนก็ไม่ลืมข้อตกลงดังกล่าว และถึงบิดาติงเหยียนจะตกตายไปแล้ว แต่มันก็ยังเลือกจะทำตามคำพูดที่เคยให้ไว้กับสหาย
  ต่อมาติงเหยียนก็ฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ข้างกายสหายของบิดาที่นิกายมังกรสวรรค์
  และสหายของบิดาคนนี้ก็เป็นถึงผู้อาวุโสระดับสูงของนิกาย บริเวณเอวมักห้อยแขวนป้ายที่สลักรูปมังกรดำเอาไว้ เผยให้รู้ว่าเป็นถึงชนชั้นอาวุโสมังกรดำคนหนึ่ง!
  เดิมทีติงเหยียนก็ไม่พอใจสหายของบิดาคนนี้อยู่บ้าง เพราะลูกสาวของอีกฝ่ายนั้นมักดูถูกมันเสมอ คำก็เด็กป่าคำก็มาเกาะบิดาของนางกิน
  หากไม่ใช่เพราะ ‘ท่านลุง’ คนนี้ดีกับมันประหนึ่งลูกชายแท้ๆ มันคงจากไปนานแล้ว
  มันก็มีศักดิ์ศรีของมัน
  ต่อมาเมื่อท่านลุงของมันปิดด่านบ่มเพาะ และลูกสาวของท่านลุงคนนั้นก็มาต่อว่ามันอีก ในที่สุดติงเหยียนที่ทนไม่ไหวก็เลือกจะออกจากนิกายมังกรสวรรค์
  หลังออกจากนิกายมังกรสวรรค์แล้ว ติงเหยียนก็เดินทางไปถึงเมืองวายุสวรรค์ และเลือกจะสอบเข้าสถานศึกษาหมอกเร้นลับของเมืองวายุสวรรค์ จนในที่สุดก็พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นนักศึกษา 10 ดาว
  ทว่าเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว พอท่านลุงของมันออกจากการปิดด่านและรู้เรื่องดังกล่าว อีกฝ่ายก็เร่งรุดไปพาตัวมันกลับมาทันที
  ในเวลาเดียวกัน เพื่อให้มันตั้งใจบ่มเพาะฝึกฝนไม่ฟุ้งซ่าน อีกฝ่ายก็ได้ทำการยึดแหวนพื้นที่เพื่อไม่ให้มันติดต่อกับโลกภายนอก มันก็เลยได้แต่ตั้งใจฝึกฝนแต่โดยดี เร่งยกระดับพลังฝีมือชดใช้ช่วงเวลาที่เสียไปเปล่าๆ
  “เรื่องก็เป็นเช่นนี้แหล่ะ”
  ติงเหยียนคลี่ยิ้มขมขื่น “ที่ท่านลุงสือคงให้ข้าขยันฝึกฝนบ่มเพาะ ก็เพื่อให้ข้าสามารถกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ได้อย่างสมภาคภูมิ”
  “ในอดีตถึงแม้ข้าจะฝึกฝนอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ แต่ข้าก็ไม่ได้มีสถานะเป็นศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์แต่อย่างใด เป็นเพียงหลานชายคนหนึ่งของท่านลุงสือคงเท่านั้น”
  หลังได้ยินเรื่องราวจากปากติงเหยียน ต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงก็เข้าใจความเป็นมาของเรื่องราว
  “ให้ตายเถอะ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พลังสายเลือดของเจ้าจะร้ายกาจนัก ที่แท้บิดาของเจ้าเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพ!”
  โหวชิ่งหนิงกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ สายเลือดคลั่งของติงเหยียนนั้น ยามใช้จะเร่งเร้าพลังในร่างของติงเหยียนให้ยกระดับขึ้นมาจมหู นับว่าทรงพลังกว่าสายเลือดของโหวชิ่งหนิงมาก
  “ถึงท่านพ่อข้าจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพแล้วอย่างไร…สุดท้ายก็เป็นยอดฝีมือจอมราชันเทพที่ร่วงหล่นไปแล้ว”
  ติงเหยียนถอนหายใจ “ในตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าไม่รู้เลยว่าท่านพ่อแข็งแกร่งขนาดไหน ข้ารู้แค่ท่านพ่อแลดูเก่งกาจมาก และท่านพ่อก็มักจะพาข้าไปเที่ยวเล่นเสมอ”
  “ทั้งยังคอยสรรหาโอสถเทพ และสมุนไพรเทพต่างๆเพื่อสร้างรากฐานให้ข้า”
  “พอท่านพ่อตกตาย ท่านลุงสือคงก็ไปรับข้ามาอยู่ที่นิกายมังกรสวรรค์”
  พอคิดถึงอดีต แววตาของติงเหยียนก็กลายเป็นเลื่อนลอย ราวกับจมอยู่ในภวังค์ความหลัง
  “ติงเหยียน ว่าแต่ตอนนี้ระดับพลังบ่มเพาะของเจ้ามีเท่าไหร่แล้ว?”
  โหวชิ่งหนิงเอ่ยถาม
  “ราชาเทพขั้นต่ำ”
  ติงเหยียนกล่าวตอบ
  “เท่ากับข้าเลย”
  โหวชิ่งหนิงคลี่ยิ้ม พลางกล่าว “เจ้าจะเข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนด้วยหรือ หากเข้าร่วมด้วยข้าก็หวังว่าจะเจอกับเจ้าบนเวที เพราะข้าเองก็อยากรู้จริงๆ ว่าหลายปีผ่านไปเจ้าจะก้าวหน้าไปขนาดไหนแล้ว!”
  “เพราะในอดีต เจ้าไม่ใช่คู่มือข้า…”
  โหวชิ่งหนิงกล่าว
  “แต่พูดก็พูดเถอะ ข้าล่ะแปลกใจจริงๆที่เจ้าสามารถทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำได้แบบนี้”
  ติงเหยียนไม่ได้ใส่ใจคำท้าทายของโหวชิ่งหนิง เพียงมองกล่าวกับโหวชิ่งหนิงด้วยความประหลาดใจ “ที่ข้าทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำได้ เพราะท่านลุงสือคงจัดทรัพยากรบบ่มเพาะให้ข้าไม่ขาด ไม่ว่าจะโอสถเทพหรือผลไม้เทพเลิศล้ำอันใดสำหรับขอบเขตเทพ แถมข้ายังผ่านการฝึกเข้มจากท่านลุงอีก…แต่เจ้าที่อยู่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ แม้จะมีฐานะเป็นนายน้อยของนิกายหมื่นจันทรา แต่นั่นก็ไม่น่าจะส่งเสริมให้เจ้ากลายเป็นราชาเทพขั้นต่ำได้ในเวลาสั้นๆกระมัง?”
  “โทษที แต่พอดีข้าไม่ได้อยู่สถานศึกษาหมอกเร้นลับตั้งนานแล้ว…”
  โหวชิ่งหนิงส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “ก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ พอดีข้าได้เข้าร่วมกับตระกูลมู่หรง เพราะต้วนหลิงเทียนจัดการให้”
  “และเหตุผลที่ข้าสามารถทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำได้ในเวลาสั้นๆ ก็ต้องยกความดีความชอบให้โอสถเทพที่ต้วนหลิงเทียนหลอมให้”
  โหวชิ่งหนิงนั้นย่อมรู้ถึงพรสวรรค์และความเข้าใจของตัวเองดี จึงเข้าใจชดเจนว่าที่มันมีอย่างทุกวันนี้ได้เป็นเพราะต้วนหลิงเทียน
  ได้ยินคำพูดของโหวชิ่งหนิง สองตาติงเหยียนก็ลุกวาวขึ้นมาทันใด จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว “ต้วนหลิงเทียนวันนี้ข้าพึ่งได้ยินคนเขาพูดกัน ว่าเจ้าสามารถหลอมโอสถระดับเทพขั้นสุดยอดได้ตามอำเภอใจเชียวหรือ!?”
  “ข้าล่ะนึกไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะมีความสามารถในศาสตร์หลอมโอสถเลิศล้ำถึงขั้นนี้ แต่ก่อนไหงเจ้าไม่เห็นจะเคยพูดถึงเลยล่ะ?”
  ติงเหยียนถาม
  “พอดีตอนข้ายังอยู่ในระนาบโลกียะกับระนาบเทวโลก ข้าเคยง่วนอยู่กับศาสตร์หลอมโอสถพักหนึ่ง พอขึ้นมาระนาบเทพ จนมาถึงดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้ ข้าที่ฝึกฝนจนรู้สึกตีบตันก็เลยหันมาทำธุรกิจเก่าดู และพบว่ามันค่อนข้างง่าย”
  ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆราวกับเรื่องไร้สำคัญ แต่ติงเหยียนกลับมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาทำราวกับมองสัตว์ประหลาด “เจ้าพูดเหมือนง่ายจังเล่า ไม่ใช่ผู้หลอมโอสถทุกคนที่ขึ้นมาจากระนาบเทวโลกจะกลายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพที่เก่งกายในระนาบเทพได้ซะหน่อย!”
  “เพราะปรมาจารย์หลอมโอสถเทพในระนาบเทพนั้น ไม่เพียงแต่ต้องมีฝีมือในการหลอมปรุงโอสถเท่านั้น แต่ยังต้องเก่งเรื่องการสกัดพลังชีวิตที่ผสมปนเปอยู่ในพลังวิญญาณฟ้าดินอีกด้วย! และจะเป็นมังกรหรือหนอนก็วัดกันตรงที่ปริมาณพลังชีวิตที่สกัดได้!!”
  เห็นได้ชัดว่าติงเหยียนเองก็รู้เรื่องการหลอมโอสถเทพพอสมควร
  “เจ้า…ติงเหยียนรึ!?”
  ทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล ดึงความสนใจของพวกต้วนหลิงเทียนไปทันที
  พอต้วนหลิงเทียนหันไปดู ก็พบเห็นรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ มู่หรงสุยเฟิง ที่ไปทำหน้าที่เป็นคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์ลอยร่างกลางอากาศไม่ไกล และมองมาทางติงเหยียนด้วยสายตาตกตะลึง
  ในฐานะที่เป็นคณบดีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ มันย่อมรู้จักนักศึกษา 10 ดาวในสถานศึกษาหมอกเร้นลับทุกคน รวมไปถึงติงเหยียนด้วย
  เมื่อ 20 กว่าปีก่อนติงเหยียนนั้น อยู่ๆก็ทิ้งจดหมายลาออกไว้ในบ้านพัก และก็หายตัวไปไม่ปรากฏขึ้นมาอีกเลย
  ในตอนนั้นมันยังรู้สึกขุ่นขึ้งอยู่บ้าง เพราะติงเหยียนบทจะไปก็หายตัวไปเลย ไม่บอกใครสักคนว่าจะลาออก
  อย่างไรก็ตาม หลังมันได้คุยกับอาจารย์ในสถานศึกษาที่สนิทกับติงเหยียน และอีกฝ่ายบอกว่าไม่อาจติดต่อติงเหยียนได้เลย ทว่าลูกแก้ววิญญาณยังไม่บุบสลาย ก็รู้แค่ว่าคนยังอยู่ดีไม่มีภัยถึงชีวิต
  “ท่านคณบดี ท่านสบายดีนะ”
  พอเห็นมู่หรงสุยเฟิง ติงเหยียนก็เร่งกล่าวทักทายด้วยสองตาเป็นประกาย “ครั้งนี้ท่านก็มาด้วยหรือ!”
  “ท่าน…อา 6”
  ในเวลาเดียวกัน มู่หรงอวิ๋นเยว่ที่หันรีหันขวางพักหนึ่งด้วยท่าทางระมัดระวัง ในที่สุดก็หันไปมองมู่หรงสุยเฟิง ก่อนจะเม้มปากกล่าวคำทักทายออกมา
  “อา 6?”
  ต้วนหลิงเทียนชะงักไปเล็กน้อย ด้านโหวชิ่งหนิงก็อึ้งไปไม่ต่าง
  ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเดาได้ตั้งแต่แรกๆ ว่ามู่หรงสุยเฟิงที่ใช้แซ่มู่หรง อาจเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่หรงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะนิกายหมอกเร้นลับเองก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ตั้งตระกูลมู่หรงมากนัก เช่นนั้นจะใช่คนของตระกูลมู่หรงหรือไม่?
  อย่างไรก็ตาม ในรอบคัดเลือกวันนั้น พอเขาเห็นมู่หรงสุยเฟิงกับมู่หรงอวิ๋นลิ่วพบกัน แต่กลับไม่ได้ทักทายหรือคุยกันสักคำ เขาก็หลงคิดว่าที่แท้มู่หรงสุยเฟิงอาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลมู่หรงอย่างที่เข้าใจ
  แต่วันนี้มู่หรงอวิ๋นเยว่กลับเรียกหาอีกฝ่ายว่า ‘อา 6’ ด้วยท่าทีเคารพ
  ได้ยินคำทักทายของมู่หรงอวิ๋นเยว่ สีหน้ามู่หรงสุยเฟิงก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นมันก็เร่งหันไปมองรอบๆด้วยความระแวดระวัง
  “ท่านอา 6 ไม่ต้องกังวล ข้าดูดีแล้ว คนของตระกูลมู่หรงเรายังไม่มา”
  มู่หรงอวิ๋นเยว่กล่าว
  “เสี่ยวเยว่กระนั้นทีหลังอย่าได้คุยกับข้าตรงๆเช่นนี้อีก หากเจ้าอยากทักก็ส่งเสียงผ่านพลังมาเถอะ…เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าตอนที่ข้าถูกขับไล่ออกจากตระกูลมู่หรง คณะผู้อาวุโสได้ลั่นวาจาไว้แล้ว ว่าต่อไปหากมีใครกล้าคุยกับข้าแม้จะเป็นแค่การทักทาย ก็จะถูกขับไล่ออกจากตระกูลทันที! ทุกคนจำต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้า!!”
  มู่หรงสุยเฟิงเอ่ยคำเสียงหนัก แลดูจริงจังกับเรื่องนี้นัก
  “ทราบแล้วท่านอา 6”
  พอเห็นว่ามู่หรงสุยเฟิงจริงจัง มู่หรงอวิ๋นเยว่ก็ได้แต่รับคำเสียงอ่อน
  ด้านต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวของมู่หรงสุยเฟิง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าไฉนถึงไม่มีใครในตระกูลมู่หรงเอ่ยทักมู่หรงสุยเฟิงวันนั้นเลย กระทั่งยังทำเหมือนไม่รู้จักกันอีกด้วย
  คณะผู้อาวุโสถึงกับออกคำสั่งดังกล่าวมา ที่แท้มู่หรงสุยเฟิงไปทำความผิดอะไรมากันแน่?
  เพราะสิ่งนี้เสมือนตัดมู่หรงสุยเฟิงออกจากวงศ์ตระกูล ไม่นับญาติกันอีกต่อไป กระทั่งไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ด้วยซ้ำว่ามู่หรงสุยเฟิงเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่หรง
  “เฮ่ หากเจ้าว่างๆเจ้าลองถามคุณหนู 3 ดูหน่อย ว่าที่แท้คณบดีมู่หรงไปทำความผิดอะไรไว้กับตระกูลมู่หรงกันแน่…เจ้าได้ความเมื่อไหร่ก็บอกข้าด้วย”
  ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปหาโหวชิ่งหนิงทันที ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนชอบซุบซิบนินทาใคร แต่กับเรื่องนี้เขาค่อนข้างสงสัยจริงๆ
  มันยากที่เขาจะจินตนาการได้ออก ว่ามู่หรงสุยเฟิงทำความผิดอะไรไว้กันแน่ คณะผู้อาวุโสถึงตัดสินใจทำเช่นนั้น?
  และฟังจากคำทักทายว่า ‘อา 6’ ของมู่หรงอวิ๋นเยว่ ดูเหมือนมู่หรงสุยเฟิงจะเป็นทายาทสายตรงของตระกูลมู่หรงด้วยซ้ำ
  “แล้วทำไมเจ้าไม่ถามเองเลยเล่า?”
  โหวชิ่งหนิงที่กำลังลังเลว่าจะส่งเสียงผ่านพลังไปถามมู่หรงอวิ่นเยว่ดีหรือไม่ พอได้ยินเสียงผ่านพลังดังกล่าวจากต้วนหลิงเทียนก็ย้อนถามด้วยความสงสัยทันที
  “เจ้าเป็นหัวผักกาดรึไง ข้าคิดส่งเสริมให้เจ้ามีโอกาสคุยกับคุณหนู 3 อย่างไรเล่า จะได้มีโอกาสสานสัมพันธ์ให้ลึกซึ้ง”
  ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ “อ้อ ถ้าเจ้าอาย จะใช้ข้าเป็นข้ออ้างบอกนางว่าข้าอยากรู้ก็ได้นะ”
  “เจ้า…”
  โหวชิ่งหนิงพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
  ในระหว่างที่มู่หรงสุยเฟิงคุยกับติงเหยียน ผู้อาวุโสของนิกายมังกรสวรรค์ ที่จะรับผิดชอบการแข่งขันมังกรสวรรค์วันนี้ ในที่สุดก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนสังเวียนเหยียนหลง
  ด้านหลังอาวุโสของนิกายมังกรสวรรค์คนนั้น ยังมีร่างอีก 2 ร่างยืนอยู่
  หนึ่งในนั้นต้วนหลิงเทียนก็รู้จัก เป็นตงฟางเหยียนเหนียน ศิษย์พี่ของเชวียไห่ชวน อาวุโสมังกรขาวแห่งนิกายมังกรสวรรค์