ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นานสองนาน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าไฉนจักรพรรดิเทพผู้นั้นถึงได้ดูแลเขาดีนัก…
นอกจากนั้น เขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไฉนตอนต้วนเฉียวอวี่เจอเขาครั้งแรก อีกฝ่ายกลับให้ความรู้สึกราวกับรู้จักเขามานานแล้ว
เขายังจดจำได้ชัดเจน ว่าท่าทีสนิทสนมคุ้นเคยของอีกฝ่ายในวันนั้น ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
คนพวกนี้ ไม่ว่าใครก็เหมือนจะรู้จักเขาทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าไม่เคยพบเคยเจอคนเหล่านี้มาก่อนเลย อีกทั้งไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคนเหล่านี้ได้
‘ที่แท้นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่งุนงง และยิ่งคิดถึงเรื่องพวกนี้มากเท่าไหร่ ใจเขาก็ยิ่งเต็มไปด้วยความสับสนมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากนั่งคร่ำเคร่งอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับใจไม่ให้คิดมาก จากนั้นก็นำโอสถเทพระดับจอมราชันในแหวนที่จักรพรรดิเทพนางนั้นมอบให้มาตบเข้าปาก เตรียมบ่มเพาะพลัง
โอสถเทพระดับจอมราชันที่สตรีนางนั้นให้เขามา เป็นโอสถเทพที่เขาไม่เคยใช้มันมาก่อน และด้วยความที่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นโอสถเทพระดับจอมราชัน เช่นนั้นแล้วมันก็สามารถส่งเสริมระดับฝึกปรือขอบเขตราชาเทพขั้นกลางของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเสมือนอีกฝ่ายรู้ด่าเขากำลังต้องการโอสถเทพเหล่านี้อย่างเร่งด่วน
สำหรับโอสถเทพระดับราชานั้น อีกฝ่ายไม่ได้ใส่มาในแหวนให้เขาเลย
แต่มันก็อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่มีโอสถเทพระดับราชาเก็บไว้แล้วก็เป็นได้
‘ด้วยโอสถเทพเหล่านี้ ระดับพลังฝึกปรือของข้าสามารถบรรลุถึงจุดรอคอยขอบเขตราชาเทพขั้นสูงได้ในเวลาอันสั้น…ถึงแม้ว่าพวกมันอาจจะไม่พอให้ข้าใช่บ่มเพาะต่อหลังทะลวงขอบเขตราชาเทพขั้นสูงแล้ว แต่เพียงเท่านี้ก็นับว่าย่นย่อเวลาฝึกปรือของข้าได้มากโขอยู่ดี’
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายประกายขอบคุณขึ้นมาวาบหนึ่ง ก่อนจะเริ่มหลับตาลงบ่มเพาะพลัง
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยังไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ แต่อีกฝ่านับว่าให้ความช่วยเหลือเขามาก เขาย่อมรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายจากก้นบึ้งของใจ
ส่วนโอสถเทพทั้งหลายที่อีกฝ่ายให้มาจะมีปัญหาหรือไม่ เขาไม่สงสัยเลยสักนิด เพราะด้วยพลังฝีมืออันน่าเกรงขามของอีกฝ่าย แค่กระดิกนิ้วเบาๆให้เขามี 3 ชีวิตก็ไม่พอตาย
…
ณ ตระกูลหลิงหู
หลิงหูเหรินเจี๋ยได้รับข้อความจากน้องสาวของมัน
“รองประมุขแซ่เซวียผู้นั้น ข้ามิได้ฆ่ามัน…”
“อย่างไรก็ตาม จากนี้ต่อไปมันไม่กล้าตอแยท่านกับคนตระกูลหลิงหูของพวกเราอีก…”
“เรื่องที่มันส่งคนมาฆ่าท่าน ขอให้ท่านทำอย่างที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ อย่าได้บอกกล่าวต่อต้วนหลิงเทียน…เหตุผลที่ข้าเก็บชีวิตรองประมุขเซวียไว้ข้าตั้งใจให้มันเป็น ‘หินลับมีด’ สำหรับต้วนหลิงเทียนโดยเฉพาะ หากต้วนหลิงเทียนพลาดท่าเสียทีมันจนมีอันเป็นไป เช่นนั้นหมายความว่ามันก็แค่อัจฉริยะอายุสั้นไม่อาจกลายเป็นผู้เข้มแข็งได้”
“และหากมันไม่อาจถีบตัวขึ้นไปเป็นผู้เข้มแข็ง แม้จักมิตายในนิกายมังกรสวรรค์ ก็ต้องไปตายที่อื่นอยู่ดี”
“รอให้มันทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพเมื่อใด พี่ใหญ่ท่านสามารถบอกมันได้เลย ว่วาหลิงหูชูยิน มิใช่เซี่ยหนิงเสวี่ย…แต่เป็นน้องสาวฝาแฝดของเซี่ยหนิงเสวี่ย! อีกอย่าง เมื่อถึงวันนั้นขอให้ท่านบอกมันไปด้วยว่าบัดนี้ภรรยาของมันอยู่ในระนาบสมรภูมิของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพกับระนาบเทพคู่ขนาน ทั้งยั้งขาดการติดต่อไปอย่างไร้ข่าวคราว มิมีผู้ใดทราบว่านางเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
“ที่ข้าพาชูยินกลับมายังตระกูลหลิงหูก่อนหน้านี้ เพียงเพราะข้าคิดฝากลูกไว้ให้พี่ใหญ่ท่านช่วยดูแล ข้าจะได้ไปตามหาลูกสาวคนโตในระนาบสมรภูมิได้อย่างวางใจ”
“อย่างไรก็ตามยินเอ๋อไม่ต้องการรั้งอยู่ที่นี่ และยืนกรานจะไปกับข้าให้ได้ ข้าก็ทำได้แค่พานางไปด้วยเท่านั้น”
“เอาล่ะ พี่ใหญ่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องข้า หลังจากนี้ข้าจะพายินเอ๋อไปยังระนาบสมรภูมิของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพอีกครั้งเพื่อตามหาหนิงเสวี่ย”
…
ข้อความที่หลิงหูเหรินเฟิงส่งมาติดๆกันเป็นชุด ทำให้สีหน้าของหลิงหูเหรินเจี๋ยแปรเปลี่ยนสลับกลับกลายไม่หยุด
ในที่สุดมันก็เข้าใจได้เสียที ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงคิดว่าหลานสาวของมัน หลิงหูชูยิน เป็นภรรยาที่พลัดพรากไป ที่แท้เพราะภรรยาต้วนหลิงเทียนเป็นพี่สาวฝาแฝดของหลิงหูชูยิน ทำให้มีรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายคล้ายๆกัน
ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง!
ในเมื่อภรรยาของต้วนหลิงเทียนเป็นหลานสาวมัน หรือก็คือลูกสาวคนโตของหลิงหูเหรินเฟิงน้องสาวมัน! เช่นนั้นอีกฝ่ายก็เสมือนเป็นหลานเขยมันกลายๆ!!
“หายตัวไปไร้ข่าวคราวในระนาบสมรภูมิหรือ?”
พอหนกลับมาครองสติ และนึกถึงเรื่องที่หลิงหูเหรินเฟิงพูดถึง สีหน้าหลิงหูเหรินเจี๋ยก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที
ระนาบสมรภูมิ…นั่นเป็นสถานที่ๆแม้แต่ตัวตนระดับอริยะเทพยังมีโอกาสตาย!
ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่คิดว่าหลานสาวของมันจะบรรลุถึงด่านพลังขอบเขตจักรพรรดิเทพด้วยซ้ำ
ตัวตนที่อยู่ใต้ขอบเขตจักรพรรดิเทพ ยิ่งด่านพลังฝึกฝนต่ำเท่าไหร่ การอยู่ในระนาบสมรภูมิก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น…และในเมื่อขาดการติดต่อไปอย่างไร้ข่าวคราว เช่นนั้นก็อาจเป็นไปได้ที่จะประสบเคราะห์บางอย่าง และที่นั่นความตายแทบจะมีอยู่ทุกแห่งหน
“ทำอย่างไรดี ถึงจะบอกเรื่องนี้ให้ต้วนหลิงเทียนทราบ แต่นั่นจักต่างอันใดกับเพิ่มภาระทางจิตใจให้มันเล่า…อีกทั้งด้วยนิสัยของต้วนหลิงเทียน น่ากลัวพอทราบเรื่องนี้ต้องวิ่งโร่ไปยังระนาบสมรภูมิแน่!”
นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หลิงหูเหรินเจี๋ยก็ตัดสินจ่า ไม่รีบบอกเรื่องนี้ให้ต้วนหลิงเทียนรู้จะดีกว่า
ถึงแม้น้องสาวของมันหลิงหูเหรินเฟิงจะไม่ได้บอกให้มันทำแบบนี้ แต่มันก็เลือกจะทำตามความคิดตัวเอง
ระนาบสมรภูมิมันอันตรายเกินไป
อาศัยพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนที่พึ่งทะลวงถึงจอมราชันเทพหากไปที่นั่น…เกรงว่าจะ 9 ตาย 1 รอด!
…
นิกายมหาเอกะ เป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่ใกล้นิกายมังกรสวรรค์มากที่สุด
และก็เป็นเช่นเดียวกับนิกายมังกรสวรรค์ พวกมันเป็นแค่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพถดถอยเท่านั้น ในปัจจุบันไร้ซึ่งตัวตนระดับจักรพรรดิเทพดำรงอยู่ และรากฐานกับความเป็นมาก็ใกล้เคียงกับนิกายมังกรสวรรค์
ในปัจจุบัน ภายในห้องโถงหลักของนิกายมหาเอกะ ระดับสูงของนิกายไม่เว้นประมุขนิกายก็ได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา
“ที่ข้าเรียกท่านทั้งหลายให้มารวมตัวกันวันนี้ เนื่องเพราะข้ามีบางเรื่องที่ต้องแจ้งให้พวกท่านทราบ…นิกายมหาเอกะของพวกเรา หากจะก้าวไปให้ไกลกว่านี้ และเพาะสร้างตัวตนระดับจักรพรรดิเทพอีกครั้ง พวกเราจำต้องเปิด ‘ศึกจักรพรรดิ’ กับนิกายมังกรสวรรค์อย่างเป็นทางการ!”
ประมุขนิกายมหาเอกะ เมื่อเห็นทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตา มันก็เปิดหัวข้อประชุมในวันนี้ขึ้นมาทันที
ศึกจักรพรรดิ!
และทันทีที่ประมุขนิกายมหาเอกะเปิดประเด็นดังกล่าว ด้านล่างก็บังเกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที
เนื่องเพราะศึกจักรพรรดินั้น ไม่ต่างอะไรกับการต่อสู้เป็นตายระหว่างขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพเลย
ศึกจักรพรรดินั้น จะทำการสู้รบกันในระนาบอิสระ และระนาบอิสระดังกล่าวก็ถูกเหล่าขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพในเขตคฤหาสน์ตงหลิงสร้างขึ้น
และที่ไฉนถึงเรียกหาว่า ศึกจักรพรรดิ นั้น ก็เพราะมันเป็นสงครามที่สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ 2 ขุมกำลัง ศึกจักรพรรดินั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพขุมหนึ่งเอ่ยท้าขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพอีกขุม แน่นอนว่าฝ่ายที่ถูกท้าสามารถปฏิเสธได้ แต่ถ้าหากรับคำท้าแล้ว ก็จำต้องสู้ตัดสินกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง
ศึกจักรพรรดินั้น สำหรับขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพถดถอยแล้ว มันเป็นโอกาสที่จะเพาะสร้างตัวตนระดับจักรพรรดิเทพขึ้นมา
ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นสูงแล้ว หากทว่าติดจุดรอคอยไม่อาจทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิได้เนิ่นนาน มีโอกาสสูงที่จะทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิ ในระหว่างสู้ศึกจักรพรรดิกับขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพถดถอยที่อยู่ในระดับเดียวกัน
และศึกจักรพรรดินั้น มันจะยุติก็ต่อเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอุบัติตัวตนระดับจักรพรรดิเทพขึ้นมา
กล่าวได้ว่าศึกจักรพรรดิ เป็นดั่งสงครามที่เร่งให้ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพถือกำเนิดขึ้น
“ท่านประมุข เรื่องนี้จักไม่กะทันหันไปหน่อยหรือ ไฉนอยู่ๆท่านถึงคิดจะเปิดศึกจักรพรรดิเล่า?”
“นั่นสิท่านประมุข…ท่านไม่หุนหันไปหน่อยหรือ นอกจากนั้นกำลังรบของนิกายมังกรสรรค์เองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านิกายมหาเอกะของพวกเราเลย ยามเมื่อศึกจักรพรรดิเริ่มต้นขึ้น ข้าเกรงว่าทั้งสองฝ่ายจักต้องทุกข์ทรมาน!”
“ท่านประมุข มิทราบเรื่องนี้เหล่าอาวุโสสูงสุดทั้งหลายล่วงรู้แล้วหรือไม่?”
…
ในบรรดาตัวตนระดับสูงของนิกายมหาเอกะตอนนี้ มีหลายคนนักที่หน้าเปลี่ยนสีไปเป็นไม่สู้ดี
เนื่องเพราะ เมื่อศึกจักรพรรดิเริ่มต้นขึ้น พวกมันทั้งหมดก็มีหน้าที่ต้องเข้าไปสู้รบในระนาบอิสระที่ใช้จัดศึกจักรพรรดิ และการต่อสู้กับกำลังรบของนิกายมังกรสวรรค์ในนั้น พวกมันก็มีโอกาสตกตาย!
เช่นนั้นหากไม่จำเป็นแล้วจริงๆ พวกมันไม่อยากเริ่มศึกจักรพรรดิจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังไม่อาจทำอะไรได้เลย เพราะหากพวกมันได้รับการสนับสนุนจากนิกายมหาเอกะจนบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพ พวกมันก็จำต้องกล่าวคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจ ว่าจะปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของนิกายมหาเอกะ และถ้านิกายมหาเอกะเริ่มศึกจักรพรรดิ พวกมันก็ต้องเข้าร่วม
ถ้าคิดจะหลบหนีไม่สู้ศึกจักรพรรดิ กระทั่งเลือกจะออกจากนิกายมหาเอกะเพื่อหลบเลี่ยงสงคราม พวกมันก็ต้องตาย!
คำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจมิอาจฝ่าฝืน หากศึกจักรพรรดิเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ พวกมันก็ไม่มีทางถอยแล้ว
“เรื่องนี้ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดหลายคนก็เห็นชอบกับข้าแล้ว”
ประมุขนิกายมหาเอกะเอ่ยคำเสียงหนัก “ตลอด 10,000 ปีที่ผ่านมา นิกายมังกรสรรค์ได้ออกคำท้านิกายมหาเอกะของพวกเราให้เปิดศึกจักรพรรดิถึง 3 ครั้ง แต่พวกเราก็ปฏิเสธพวกมันมาตลอด”
“แต่คราวนี้ พวกเรานิกายมหาเอกะ จะเป็นฝ่ายออกคำท้าให้เปิดศึกจักรพรรดิกับพวกมันเอง”
“ข้าเชื่อว่าทางนิกายมังกรสวรรค์ย่อมไม่ปฏิเสธแน่”
“กำลังรบของนิกายมังกรสวรรค์ ไม่ได้เหนือไปกว่าพวกเราเลย แต่พวกมันกลับกล้าท้าให้พวกเราเปิดศึกจักรพรรดิกับพวกมันถึง 3 ครั้ง 3 ครา เช่นนั้นพวกเราจะประพฤติตัวเยี่ยงมุสิกขลาดเขลาเอาแต่หลบเลี่ยงไปตลอดจริงๆหรือ?”
เสียงกล่าวประโยคท้ายของประมุขนิกายมหาเอกะ ยังเย็นชานัก
เดิมทีนิกายมังกรสวรรค์ก็ได้ออกคำท้าเริ่มศึกจักรพรรดิมาแล้ว 3 ครั้ง แต่เหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายมหาเอกะที่คิดว่าเรื่องนี้ได้ไม่คุ้มเสียก็ได้คัดค้านมาตลอด มีแต่มันเท่านั้นที่สนับสนุนให้ทำศึก
มาตอนนี้พอเห็นเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายในห้องพยายามคัดค้านบ่ายเบี่ยงอีก แต่ละคนทำราวกับตัวเองเป็นขี้เถ้ากลัวลมพัดปลิว ประมุขนิกายมหาเอกะก็ทนไม่ไหวสืบไป เลือกจะกล่าวออกมาเสียงเย็นว่า “คราวนี้เรื่องศึกจักรพรรดิ จะไม่ทำตามติของพวกท่านอีกต่อไป!”
“นิกายมหาเอกะเราตั้งกฏไว้ตั้งแต่โบราณ หากประมุขนิกายกับเหล่าอาวุโสสูงสุดเห็นชอบว่าจะทำศึกจักรพรรดิ…เช่นนั้นศึกจักรพรรดิก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดออกความเห็นอีกต่อไป!”
พอเสียงกล่าวของประมุขนิกายมหาเอกะดังจบคำ อาวุโสระดับสูงหลายคนของนิกายมหาเอกะก็เอ่ยถามออกมาทันที “ท่านประมุข เรื่องนี้ท่านกล่าวจริงหรือ แม้แต่อาวุโสลั่วก็เห็นชอบเรื่องทำศึกจักรพรรดิครั้งนี้แล้วจริงๆ?”
อาวุโสลั่วที่ถูกพาดพิง ก็คือ 1 ในผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายมหาเอกะ และเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายมหาเอกะ
ในอดีตตอนที่นิกายมังกรสวรรค์ท้าให้พวกมันรบในศึกจักรพรรดินั้น 2 ครั้งแรกมีหลายคนที่ไม่เห็นชอบ แต่ทว่าในครั้งที่ 3 นั้นมีแค่อาวุโสลั่วคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่เห็นด้วย
“ครั้งนี้เป็นข้าเอง ที่ออกความเห็นให้พวกเราเริ่มท้านิกายมังกรสวรรค์ทำศึกจักรพรรดิ”
ไม่ทันที่ประมุขนิกายมหาเอกะจะได้ตอบคำถามดังกล่าว ปากพึ่งจะอ้าออกได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏร่างชราหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างๆที่นั่งประมุขอย่างเงียบงัน ด้านประมุขนิกายมหาเอกะก็เร่งลุกขึ้นประสานมือคารวะทันที “คารวะอาจารย์ลุงลั่ว”
ชายชราที่พึ่งปรากฏตัวไม่ใช่ใครอื่น มันคือหนึ่งในอาวุโสสูงสุดของนิกายมหาเอกะ ลั่วฉีจ้าน
และหลังจากที่ลั่วฉีจ้านกล่าวคำออกมา สีหน้าของผู้อาวุโสนิกายมหาเอกะหลายคนก็เปลี่ยนเป็นซีดลงทันที ในใจพากันร่ำร้องโอดครวญอย่างท้อแท้กันใหญ่ ‘มารดามันเถอะ ไฉนคราวนี้อาวุโสลั่วถึงเห็นดีเห็นงามด้วยเล่า? ฉิบหายแล้วอย่างไร ดูเหมือนคราวนี้ข้าจักมิอาจหลีกเลี่ยงแล้ว!’
ในขณะที่หลายคนกำลังโอดครวญในใจ ลั่วฉีจ้านก็เอ่ยออกเสียงเย็นว่า “คราวนี้เรื่องที่พวกเราจักทำศึกจักรพรรดิกับนิกายมังกรสวรรค์นั้น ตัวข้ากับอาวุโสสูงสุดคนอื่นๆ ล้วนพิจารณากันอย่างรอบคอบแล้ว”
“เพราะในแง่กำลังรบของคนรุ่นก่อนนั้น พวกเราไม่ได้ด้อยไปกว่านิกายมังกรสวรรค์เลย”
“และในอดีต กำลังรบของเหล่ารุ่นเยาว์และชนรุ่นหลังของนิกายมหาเอกะเรา ก็มิได้ด้อยไปกว่านิกายมังกรสวรรค์เช่นกัน”
“อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันก่อน ในการแข่งขันมังกรซ่อนของนิกายมังกรสวรรค์นั้น ได้ปรากฏอัจฉริยะเยี่ยงปีศาจขึ้นมาถึง 2 คน…ต้วนหลิงเทียน กับ หัวเทียนตู้”
“ข้าเองก็เชื่อว่าพวกเจ้าหลายๆคนในที่นี้คงได้รับทราบเรื่องราวกันบ้างแล้วกระมัง ว่าในการแข่งขันมังกรซ่อนครั้งนี้ เด็กน้อย 2 คนนั่นมันสำแดงความร้ายกาจออกมาแค่ไหน…”
“เช่นนั้นข้าขอไถ่ถามพวกเจ้าสักคำ…ด้วยอัจฉริยภาพที่สูงล้ำเยี่ยงปีศาจของพวกมัน วันหน้าพวกมันมีโอกาสทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพหรือไม่?”
พอลั่วฉีจ้านเอ่ยถามเรื่องนี้ออกมา ทุกคนในโถงก็ได้แต่ปิดปากเงียบ
หลังจากนิ่งกันอยู่ไม่นานนัก ก็มีคนเอ่ยถามขึ้นมา “ผู้อาวุโสลั่ว เพราะพวกมันร้ายกาจถึงขนาดนั้น มิใช่หมายความว่าพวกมันจะออกจากนิกายมังกรสวรรค์ในเร็วๆนี้หรือไร สุดท้ายพวกมันก็ต้องเลือกที่จะเปลี่ยนไปเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าในเขตคฤหาสน์ตงหลิงเราอยู่ดี”
“เช่นนั้นก็หมายความว่า นิกายมังกรสวรรค์จะเสียอัจฉริยะดังกล่าวไป สุดท้ายพวกมันก็ยากจะปรากฏตัวตนระดับจักรพรรดิเทพขึ้นมาอีกเหมือนพวกเรา เรื่องราวก็จะยังคงเป็นไปเหมือนเดิมมิมีใดเปลี่ยน”
หากมีจักรพรรดิเทพปรากฏขึ้นนิกายมังกรสวรรค์ ตามกฏของเขตคฤหาสน์ตงหลิงแล้ว นิกายมหาเอกะที่เป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพถดถอยที่อยู่ใกล้นิกายมังกรสวรรค์มากที่สุด ก็จำเป็นต้องย้ายถิ่นฐานออกไปทันที
เนื่องเพราะตามกฏแล้ว ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่มีตัวตนระดับจักรพรรดิดำรงอยู่ สามารถครอบครอง ‘พื้นที่’ ได้มากกว่าขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพถดถอย และขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพถดถอยที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็จำต้องย้ายถิ่นฐาน…