“ขยันฝึกฝนให้มาก”
“ข้าเองก็ช่วยเจ้าได้แค่นี้”
เสียงผ่านพลังเพียงกล่าวบอกเขาไม่กี่คำ จากนั้นก็เงียบหายไปเลย ไม่มีส่งมาอีก
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนสามารถบอกได้ทันทีว่าผู้ที่ส่งเสียงผ่านพลังดังกล่าวมา สมควรเป็นจักรพรรดิเทพสตรีอันทรงพลังที่พึ่งจะบุกฝ่าค่ายกลพิทักษ์ของนิกายมังกรสวรรค์เข้ามาได้อย่างง่ายดาย
หลังได้ยินเสียงผ่านพลังดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็หันรีหันขวางมองไปรอบๆ แต่กลับไม่พบเจอใคร ทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายส่งแหวนมาถึงฝ่ามือเขาได้อย่างไร
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังหันรีหันขวางมองไปรอบๆ เสียงสตรีก็ดังก้องไปทั่วนิกายมังกรสวรรค์อีกครั้ง “ข้าไปแล้ว ทิวทัศน์ของนิกายมังกรสวรรค์นับว่าไม่เลวทีเดียว”
ยังคงเป็นเสียงของจักรพรรดิเทพที่ทรงพลังผู้นั้น
ได้ยินเสียงดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็อดเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้ ด้านโหชิ่งหนิงที่พึ่งแงะร่างออกมาจากผนังผา ก็ยืนทึมทื่ออยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ส่วนเซวียหมิงจื่อรองประมุขนิกายมังกรสวรรค์ ที่กำลังกล่าวเตือนพวกศิษย์อาจารย์กวงเทียนเจิ้ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แต่ในขณะเดียวกันมันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกลับๆ
ในเมื่อตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเทพอันทรงพลังได้จากไปแล้ว เช่นนั้นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะฆ่ามันจริงๆ
“ไปแล้ว?”
“จากไปง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ?”
“จักรพรรดิเทพอันทรงพลังที่สามารถบุกฝ่าค่ายกลพิทักษ์เข้ามาในนิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราง่ายๆ ที่แท้แค่มาชมวิวเฉยๆ?”
“หากไม่ใช่แค่นั้นแล้วยังจะมีอะไรได้เล่า? เจ้าคิดว่านางจะมีเจตนาอะไรกับนิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราหรือ? แถมในประวัติศาสตร์ของนิกายมังกรสวรรค์เรา ก็ไม่เคยปรากฏตัวตนระดับจักรพรรดิเทพที่ทรงพลังถึงขั้นนี้มาก่อน”
“มิผิด จักรพรรดิเทพที่สามารถบุกฝ่าค่ายกลพิทักษ์ของนิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราได้ง่ายๆ ไม่ใช่จักรพรรดิเทพธรรมดาๆแน่นอน!”
…
ห่างออกไปจากจุดที่ต้วนหลิงเทียนลอยร่างไม่ไกล เหล่าศิษย์ฝ่ายในก็คุยกันเสียงดังระงม น้ำเสียงของพวกมันยังเต็มไปด้วยความตกใจนัก
จักรพรรดิเทพอันทรงพลัง!
ถึงแม้พวกมันจะอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ซึ่งเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ แต่ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพนั้นเป็นอะไรที่ชั่วชีวิตของพวกมันยังไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน และผู้ที่มาวันนี้ดูทรงแล้วก็เป็นจักรพรรดิเทพอันทรงพลังถึงขั้นไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์นิกายมังกรสรรค์ เช่นนั้นถึงแม้พวกมันจะได้ยินแค่เสียงแต่ก็รู้สึกตื่นเต้นมากแล้ว
นิกายระดับจักรพรรดิเทพเฉกเช่นนิกายมังกรสวรรค์ ในระนาบเทพมักเรียกหาว่านิกายจักรพรรดิเทพถดถอย
แต่เป็นธธรมดาว่าถึงจะเป็นนิกายจักรพรรดิเทพถดถอย แต่ก็ยังคงเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพอยู่ดี และนิกายระดับจักรพรรดิอื่นๆที่มีตัวตนระดับจักรพรรดิเทพดำรงอยู่ หากไม่แน่ใจโดยสมบูรณ์ ก็ไม่มีใครกล้าลงมือแตะต้องนิกายจักรพรรดิเทพถดถอยเช่นนิกายมังกรสวรรค์มั่วซั่ว
ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘อูฐผอมใกล้ตายยังตัวใหญ่กว่าม้า’ ถึงแม้จะเป็นนิกายระดับจักรพรรดิเทพถดถอย ที่ในปัจจุบันไร้ซึ่งตัวตนระดับจักรพรรดิเทพดำรงอยู่ แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าบรรพบุรุษขอบเขตจักรพรรดิเทพในอดีตใช่ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือมีสหายหรือไม่?
หากในบรรดาบรรพบุรุษเหล่านั้น มีสหายสนิทขอบเขตจักรพรรดิหรือกระทั่งขอบเขตอริยะเทพที่ฝากฝังไว้ให้ดูแลนิกายก่อนตาย แม้ตัวเองจะตายไปแล้วแต่ใครกล้ารับประกันได้ว่าสหายจะไม่ลงมือ?
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของระนาบเทพ เรื่องพรรค์นี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้เองก็เช่นกัน ในอดีตเคยมีขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่มีตัวตนระดับจักรพรรดิเทพอันทรงพลังมากมายดำรงอยู่ และพวกมันก็ได้ลงมือทำลายล้างนิกายระดับจักรพรรดิเทพถดถอยเพราะหมายยึดครองทรัพยากรสั่งสมอำนาจ
อย่างไรก็ตาม หลังพวกมันลงมือทำเช่นนั้นได้ไม่กี่ปี กลับปรากฏตัวตนระดับอริยะเทพคนหนึ่งบุกมาเข่นฆ่าสังหาร จนคนในขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพดังกล่าว ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมือไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
จากนั้นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่ว่าก็ถดถอยลง จนในที่สุดก็ล่มสลาย
นอกจากนั้นยังมีกรณีดังกล่าวมากกว่าหนึ่งครั้ง
ด้วยมีกรณีดังกล่าวเป็นบทเรียน เช่นนั้นถึงแม้จะเป็นขุมกังระดับจักรพรรดิเทพถดถอย ที่ไร้ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพดำรงอยู่มานาน แต่ก็ไม่มีขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพธรรมดาๆที่ไหน หาญกล้ายื่นมาออกมาแตะต้องง่ายๆ
สำหรับขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่แข็งแกร่งเข้าหน่อย ก็ดูถูกเหยียดหยาม จนไม่อยากลดตัวลงมารังแกขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพถดถอยทั้งหลาย
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้มีขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพอันแข็งแกร่งคิดลงมือจริงๆ ทว่าต่อหน้าตัวตนระดับอริยะเทพแล้ว พวกมันก็ไม่ต่างอะไรจากลูกเจี๊ยบไร้เรี่ยวแรง…
‘นางเป็นใครกันแน่ ไฉนถึงส่งแหวนพื้นที่วงนี้มาให้ข้า’
‘แล้วในแหวนพื้นที่วงนี้มีอะไรอยู่กัน…’
ในขณะที่เหล่าศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์กำลังคุยกันออกรส ต้วนหลิงเทียนก็ผูกพันธะครองแหวน จากนั้นก็แผ่สำนึกเทวะลงไป มองดูสิ่งของที่อยู่ในแหวนพื้นที่
สิ่งแรกที่เขาพบก็คือพื้นที่ในแหวนนั้นกว้างใหญ่มาก แถมยังมีหินเทพกองเป็นภูเขา มองคร่าวๆแล้วก็บอกได้ทันทีว่มากกว่าหินเทพในมือเขาเสียอีก
กล่าวได้ว่าหากนับรวมกับหินเทพที่เขามีอยู่ก่อน ตอนนี้เขาสมควรมีหินเทพราวๆ 3 ล้านตำลึง!
‘หินเทพมากมายขนาดนี้เชียว…’
หลังจากใจสั่นเพราะเห็นกองหินเทพแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มมองสำรวจสิ่งของอื่นๆที่อยู่ในแหวน และเขาก็พบได้ไมยากว่ามีผลไม้เทพ สมุนไพรเทพ รวมถึงโอสถเทพเก็บไว้มากมาย
จำนวนก็ไม่ได้น้อยเลย!
ต้วนหลิงเทียนลองเปิดขวดโอสถเทพในแหวนดู 2-3 ขวด ยกเว้นโอสถเทพบางขนานที่เขาไม่รู้จักแล้ว โอสถเทพที่เก็บไว้ในขวดล้วนเป็น โอสถเทพระดับจอมราชันทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นโอสถเทพระดับจอมราชันที่สามารถส่งเสริมพลังฝึกปรือให้เขาได้!
และนอกจากนั้น ในแหวนยังมีอุปกรณ์เทพมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น มีด ดาบ กระบี่ หอก แถมไม่มีข้อยกเว้น ทั้งหมดเป็นอุปกรณ์เทพขั้นสูงทั้งสิ้น
และบริเวณมุมหนึ่งของพื้นที่ในแหวน เขาก็พบแส้สีแดงขดอยู่ ตัวแสดังกล่าวเต็มไปด้ยแสงพลังสีเลือดเรืองรอง พอแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบให้แน่ชัด เขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของวิญญาณ
‘นี่มัน…จิตวิญญาณศาสตรา!?’
สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปทันที เนื่องเพราะแส้ยาวสีแดงดังกล่าว กลับเป็นอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณ!
อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณในแส้ยังไม่ได้เติบโตเต็มที่ เรียกว่าพึ่งจะตั้งครรภ์วิญญาณก็ได้ มันอยู่ในระดับเดียวกับกระบี่เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณแล้ว เล่มเดียวกับที่หวูเฟิงได้รับไปในอดีต
อาจกล่าวได้ว่า สิ่งของอื่นๆภายในแหวนนั้น ต่อให้มัดรวมกันก็ยังมีมูลค่าไม่เท่าอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณแล้ว
‘นางเป็นใครกันแน่?’
‘ไฉนถึงมอบของเหล่านี้ให้ข้า?’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่อื้ออึง ด้วยนึกไม่ออกจริงๆว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ ไฉนถึงมอบสิ่งของให้เขามากมาย แถมแต่ละอย่างยังเป็นของดีทั้งนั้น โดยเฉพาะอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณแล้วนั่น ให้นำไปวางไว้ที่ไหนในระนาบเทพ ต่อให้เป็นตัวตนระดับจักรพรรดิเทพทั่วไป ก็เกรงว่าคงคิดช่วงชิงกันอย่างเสียสติ
“ให้ตายเถอะ…”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่บัดนี้โหวชิ่งหนิงที่ถูกซัดจนปลิวไปฝังร่างในผนังผา ก็ได้เหินร่างกลับมาหาต้วนหลิงเทียนกับติงเหยียนแล้ว ยังกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเหยเก “จักรพรรดิเทพอันทรงพลัง ไฉนดุร้ายนักเล่า?”
“แต่ยังดีที่นางมีเมตตา หาไม่แล้วเมื่อครู่ข้าคงถูกนางตีจนตาย”
ขณะกล่าว โหวชิ่งหนิงก็หันไปมองหัวไหล่ด้านขวาที่บัดนี้เสื้อผ้าบริเวณนั้นฉีกขาด รอยฝ่ามือยังแดงชัด เนื้อแตกเลือดคั่งกันเลยทีเดียว
“มิน่าล่ะ ข้าก็สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าอยู่ๆเจ้าหายไปไหน…ที่แท้ถูกจักรพรรดิเทพอันทรงพลังผู้นั้นตบเข้าให้เพราะปากพล่อยนี่เอง…”
ติงเหยียนตกใจนัก “เจ้าบ้าเอ๊ย คราวนี้ปากเจ้าเกือบพาซวยแล้วไหมล่ะ”
“ผู้ใดจะไปรู้เล่า…”
โหวชิ่งหนิงได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สีหน้าแววตายังฉายชัดถึงความหวาดกลัว
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน เสียงที่ว่ายังกระจายไปทั่วนิกายมังกรสวรรค์
จากนั้นท่ามกลางสายตาของทุกคนทีมองขึ้นไปบนฟ้า ก็พบว่าม่านพลังที่เคยถูกทำลายหายไปก่อนหน้า ได้ก่อตัวขึ้นมาปกคลุมนิกายอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม วินาทีไม่มีใครคิดว่าม่านพลังของค่ายกลมันจะทรงพลังอย่างที่เคยอีกต่อไป ยังตระหนักกันชัดเจน ว่าที่แท้ม่านพลังจากค่ายกลพิทักษ์ก็มิได้อยู่ยงคงกระพัน
เพราะตราบใดที่เป็นจักรพรรดิเทพอันมีพลังเข้มแข็งมากพอ ม่านพลังดังกล่าวก็เหมือนกระจกแก้วบอบบาง ทุบให้แตกสลายได้ง่ายดายนัก
“รองประมุขเซวีย อาวุโสฉีถงหยวนตายแล้ว!”
ในสถานที่พักบ่มเพาะของ เซวียหมิงจื่อ รองประมุขนิกายมังกรสวรรค์ มีอาวุโสฝ่ายในคนหนึ่งมาเพื่อแจ้งข่าว ทำให้สีหน้าของกวงเทียนเจิ้งกับลูกศิษย์เปลี่ยนไปทันที จากนั้นแต่ละคนก็หันไปมองเซวียหมิงจื่อด้วยความสงสัย
“อะไร อาวุโสฉีตายแล้ว?”
เซวียหมิงจื่อ ก็แสร้งหยีตาชักสีหน้าประหลาดใจออกมาได้อย่างแนบเนียน “เป็นไปได้อย่างไรกัน…ไม่นานมานี้ข้าพึ่งจะติดต่อไปเรียกตัวมันกลับมา ทั้งมันก็แจ้งว่ากำลังเดินทางกลับ…”
ขณะที่เซวียหมืงจื่อกล่าวถึงจุดนี้ มันก็สะบัดมือเบาๆ จากนั้นก็นำเศษลูกแก้ววิญญาณกองหนึ่งออกมาจากแหวน สายตายังเปลี่ยนเป็นเย็นชาโดยพลัน “เป็นผู้ใดที่หาญกล้าฆ่าอาวุโสมังกรดำของนิกายมังกรสวรรค์เรา!”
กล่าวจบคำ ทั่วร่างเซวียหมิงจื่อก็ปรากฏพลังเทพลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟ
“เรื่องนี้ต้องสืบให้รู้ชัด!”
“ข้าจักไปหาท่านประมุขเดี๋ยวนี้!”
ไม่ทันที่กวงเทียนเจิ้งและลูกศิษย์รวมถึงอาวุโสฝ่ายในที่มาแจ้งข่าวจะตอบสนองเรื่องราว ร่างเซวียหมิงจื่อก็แว่บหายไปเสียแล้ว
สุดท้ายก็คงเหลือแต่กวงเทียนเจิ้งกับลูกศิษย์สองคน
ลูกศิษย์ที่ว่าก็เป็นศิษย์คนรองของกวงเทียนเจิ้ง และเป็นลูกเขยของเซวียหมิงจื่อ จงซ่าน
“ซ่านเอ๋อ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้…เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?”
หลังเซวียหมิงจื่อจากไปสักพัก กวงเทียนเจิ้งก็หันไปเอ่ยถามจงซ่านผ่านพลัง “รองประมุขเซวียพึ่งกล่าวว่า สหายสนิทคนหนึ่งนั้นสนิทสนมกับบรรพบุรุษของหลิงหูเหรินเจี๋ย เช่นนั้นก็ขอให้พวกเราอย่าได้แตะต้องคนจากตระกูลหลิงหูอีก กระทั่งหากเจอคนของตระกูลหลิงหูก็ให้ไว้หน้า 3 ส่วน…”
“มาตอนนี้ อยู่ๆอาวุโสฉีถงหยวนกลับตกตายเสียอย่างนั้น”
“อาวุโสฉีถงหยวน…คงมิใช่ว่าถูกสหายของรองประมุขเซวียฆ่าทิ้งไปกระมัง?”
กวงเทียนเจิ้งคาดเดา
“ท่านอาจารย์ ข้อสันนิษฐานของท่าน จะดีเสียกว่าที่พวกเราคุยกันสองคน และท่านอย่าได้นำไปบอกผู้ใดอีก…ข้าเกรงว่าหากท่านพ่อตาล่วงรู้ขึ้นมา คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเราแน่”
จงซ่านเอ่ยออกเสียงขรึม “สุดท้ายแล้วการตายของอาวุโสมังกรดำ ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับนิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราเลย”
“อาจารย์ย่อมรู้เป็นธรรมดา”
กวงเทียนเจิ้งพยักหน้า จากนั้นสองตาก็เผยประกายเย็นชาเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “อย่างไรก็ตาม รองประมุขเซวียเพียงบอกให้พวกเราอย่าได้แตะต้องคนของตระกูลหลิงหู…ทว่ากับต้วนหลิงเทียนนั่น พวกเราจักทำอันใดกับมันก็ได้!”
“นอกจากนั้น เท่าที่ข้าฟังจากคำพูดของรองประมุขเซวีย เห็นได้ชัดว่ารองประมุขเซวียเองก็คิดจะฆ่าต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องให้แม่นางเซวียไปร้องขออีกต่อไป”
“อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลับพิกลนัก…ไฉนอยู่ๆต้วนหลิงเทียนถึงกลายเป็นหนามตำตารองประมุขเซวียขึ้นมาได้?”
เห็นได้ชัดว่ากวงเทียนเจิ้งเองก็กำลังสับสนกับเรื่องดังกล่าว
“อย่างไรก็ช่างเถอะ เรื่องนี้นับเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา”
จงซ่านกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ลองท่านพ่อตาคิดจะฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นแบบนี้ สำหรับพวกเราแล้วนับเป็นข่าวดียิ่ง ส่วนพวกคนของตระกูลหลิงหู ขอเพียงพวกมันไม่มาตอแยพวกเรา เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจอะไรพวกมัน”
“จริงของเจ้า”
กวงเทียนเจิ้งพยักหน้า
…
เดิมทีโหวชิ่งหนิงคิดว่าเพราะคำพูดเหลวไหลไร้แก่นสารของมันชักนำเภทภัยมาสู่ตัวแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่พ้นต้องกล่าวล้อมันเหมือนกับติงเหยียนแน่นอน
ทว่า ต้วนหลิงเทียนกลับลอยร่างแน่นิ่ง แลดูใจลอยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียอย่างนั้น
“เฮ่ ต้วนหลิงเทียน เจ้าเหม่ออะไรอยู่?”
โหวชิ่งหนิ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย ติงเหยียนเองก็รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนผิดแปลกไป
“ก็ไม่อะไรหรอก”
ต้วนหลิงเทียนที่กลับมารู้สึกตัวก็ส่ายหัวไปมา แต่ในใจยังสงสัยไม่หาย
จักรพรรดิเทพที่ทรงพลังเมื่อครู่เป็นใครกันแน่?
ไฉนจู่ๆก็มอบแหวนพื้นที่ให้เขา แถมในแหวนยังมีทรัพยากรบ่มเพาะและของล้ำค่ามากมาย?
‘จะเป็นอวี๋ชิวซวนผู้นั้นหรือไม่?’
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็นึกถึง ต้วนเฉียวอวี่ ที่เขารู้จักในเมืองวายุสวรรค์ กับผู้ที่ติดตามข้างกายนางอย่าง อวี๋ชิวซวน ขึ้นมา
อย่างไรก็ตามความคิดดังกล่าวพึ่งจะผุดขึ้นไม่ทันไร เขาก็ปัดทิ้งไปทันที
เพราะฟังจากเสียงกล่าวเมื่อครู่ มันต่างจากเสียงของอวี๋ชิวซวนอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนั้น อวี๋ชิวซวน ก็ไม่น่าจะใช่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเทพ
ที่สำคัญหากอีกฝ่ายคิดจะมอบสิ่งของเหล่านี้ให้เขาจริง อีกฝ่ายก็สามารถมอบให้เขาตั้งแต่วันนั้น ไม่จำเป็นต้องรอมาจนถึงวันนี้
“พวกนาง…ที่แท้เป็นใครกันแน่?”
พอนึกถึงความคุ้นเคยและท่าทีสนิทสนม ที่ต้วนเฉียวอวี่มีต่อเขายามพบเจอกันวันนั้น ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะแค่รู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นพี่ชายอย่างที่พูด
แต่อีกฝ่ายให้ความรู้สึกเหมือนว่ารู้จักเขาแต่แรก