ตอนที่ 3819 พวกนาง...ที่แท้เป็นใครกันแน่

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

“ขยันฝึกฝนให้มาก”
  “ข้าเองก็ช่วยเจ้าได้แค่นี้”
  เสียงผ่านพลังเพียงกล่าวบอกเขาไม่กี่คำ จากนั้นก็เงียบหายไปเลย ไม่มีส่งมาอีก
  อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนสามารถบอกได้ทันทีว่าผู้ที่ส่งเสียงผ่านพลังดังกล่าวมา สมควรเป็นจักรพรรดิเทพสตรีอันทรงพลังที่พึ่งจะบุกฝ่าค่ายกลพิทักษ์ของนิกายมังกรสวรรค์เข้ามาได้อย่างง่ายดาย
  หลังได้ยินเสียงผ่านพลังดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็หันรีหันขวางมองไปรอบๆ แต่กลับไม่พบเจอใคร ทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายส่งแหวนมาถึงฝ่ามือเขาได้อย่างไร
  ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังหันรีหันขวางมองไปรอบๆ เสียงสตรีก็ดังก้องไปทั่วนิกายมังกรสวรรค์อีกครั้ง “ข้าไปแล้ว ทิวทัศน์ของนิกายมังกรสวรรค์นับว่าไม่เลวทีเดียว”
  ยังคงเป็นเสียงของจักรพรรดิเทพที่ทรงพลังผู้นั้น
  ได้ยินเสียงดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็อดเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้ ด้านโหชิ่งหนิงที่พึ่งแงะร่างออกมาจากผนังผา ก็ยืนทึมทื่ออยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
  ส่วนเซวียหมิงจื่อรองประมุขนิกายมังกรสวรรค์ ที่กำลังกล่าวเตือนพวกศิษย์อาจารย์กวงเทียนเจิ้ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แต่ในขณะเดียวกันมันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกลับๆ
  ในเมื่อตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเทพอันทรงพลังได้จากไปแล้ว เช่นนั้นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะฆ่ามันจริงๆ
  “ไปแล้ว?”
  “จากไปง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ?”
  “จักรพรรดิเทพอันทรงพลังที่สามารถบุกฝ่าค่ายกลพิทักษ์เข้ามาในนิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราง่ายๆ ที่แท้แค่มาชมวิวเฉยๆ?”
  “หากไม่ใช่แค่นั้นแล้วยังจะมีอะไรได้เล่า? เจ้าคิดว่านางจะมีเจตนาอะไรกับนิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราหรือ? แถมในประวัติศาสตร์ของนิกายมังกรสวรรค์เรา ก็ไม่เคยปรากฏตัวตนระดับจักรพรรดิเทพที่ทรงพลังถึงขั้นนี้มาก่อน”
  “มิผิด จักรพรรดิเทพที่สามารถบุกฝ่าค่ายกลพิทักษ์ของนิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราได้ง่ายๆ ไม่ใช่จักรพรรดิเทพธรรมดาๆแน่นอน!”
  …
  ห่างออกไปจากจุดที่ต้วนหลิงเทียนลอยร่างไม่ไกล เหล่าศิษย์ฝ่ายในก็คุยกันเสียงดังระงม น้ำเสียงของพวกมันยังเต็มไปด้วยความตกใจนัก
  จักรพรรดิเทพอันทรงพลัง!
  ถึงแม้พวกมันจะอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ซึ่งเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ แต่ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพนั้นเป็นอะไรที่ชั่วชีวิตของพวกมันยังไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน และผู้ที่มาวันนี้ดูทรงแล้วก็เป็นจักรพรรดิเทพอันทรงพลังถึงขั้นไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์นิกายมังกรสรรค์ เช่นนั้นถึงแม้พวกมันจะได้ยินแค่เสียงแต่ก็รู้สึกตื่นเต้นมากแล้ว
  นิกายระดับจักรพรรดิเทพเฉกเช่นนิกายมังกรสวรรค์ ในระนาบเทพมักเรียกหาว่านิกายจักรพรรดิเทพถดถอย
  แต่เป็นธธรมดาว่าถึงจะเป็นนิกายจักรพรรดิเทพถดถอย แต่ก็ยังคงเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพอยู่ดี และนิกายระดับจักรพรรดิอื่นๆที่มีตัวตนระดับจักรพรรดิเทพดำรงอยู่ หากไม่แน่ใจโดยสมบูรณ์ ก็ไม่มีใครกล้าลงมือแตะต้องนิกายจักรพรรดิเทพถดถอยเช่นนิกายมังกรสวรรค์มั่วซั่ว
  ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘อูฐผอมใกล้ตายยังตัวใหญ่กว่าม้า’ ถึงแม้จะเป็นนิกายระดับจักรพรรดิเทพถดถอย ที่ในปัจจุบันไร้ซึ่งตัวตนระดับจักรพรรดิเทพดำรงอยู่ แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าบรรพบุรุษขอบเขตจักรพรรดิเทพในอดีตใช่ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือมีสหายหรือไม่?
  หากในบรรดาบรรพบุรุษเหล่านั้น มีสหายสนิทขอบเขตจักรพรรดิหรือกระทั่งขอบเขตอริยะเทพที่ฝากฝังไว้ให้ดูแลนิกายก่อนตาย แม้ตัวเองจะตายไปแล้วแต่ใครกล้ารับประกันได้ว่าสหายจะไม่ลงมือ?
  ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของระนาบเทพ เรื่องพรรค์นี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
  ในดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้เองก็เช่นกัน ในอดีตเคยมีขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่มีตัวตนระดับจักรพรรดิเทพอันทรงพลังมากมายดำรงอยู่ และพวกมันก็ได้ลงมือทำลายล้างนิกายระดับจักรพรรดิเทพถดถอยเพราะหมายยึดครองทรัพยากรสั่งสมอำนาจ
  อย่างไรก็ตาม หลังพวกมันลงมือทำเช่นนั้นได้ไม่กี่ปี กลับปรากฏตัวตนระดับอริยะเทพคนหนึ่งบุกมาเข่นฆ่าสังหาร จนคนในขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพดังกล่าว ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมือไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
  จากนั้นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่ว่าก็ถดถอยลง จนในที่สุดก็ล่มสลาย
  นอกจากนั้นยังมีกรณีดังกล่าวมากกว่าหนึ่งครั้ง
  ด้วยมีกรณีดังกล่าวเป็นบทเรียน เช่นนั้นถึงแม้จะเป็นขุมกังระดับจักรพรรดิเทพถดถอย ที่ไร้ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพดำรงอยู่มานาน แต่ก็ไม่มีขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพธรรมดาๆที่ไหน หาญกล้ายื่นมาออกมาแตะต้องง่ายๆ
  สำหรับขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่แข็งแกร่งเข้าหน่อย ก็ดูถูกเหยียดหยาม จนไม่อยากลดตัวลงมารังแกขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพถดถอยทั้งหลาย
  ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้มีขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพอันแข็งแกร่งคิดลงมือจริงๆ ทว่าต่อหน้าตัวตนระดับอริยะเทพแล้ว พวกมันก็ไม่ต่างอะไรจากลูกเจี๊ยบไร้เรี่ยวแรง…
  ‘นางเป็นใครกันแน่ ไฉนถึงส่งแหวนพื้นที่วงนี้มาให้ข้า’
  ‘แล้วในแหวนพื้นที่วงนี้มีอะไรอยู่กัน…’
  ในขณะที่เหล่าศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์กำลังคุยกันออกรส ต้วนหลิงเทียนก็ผูกพันธะครองแหวน จากนั้นก็แผ่สำนึกเทวะลงไป มองดูสิ่งของที่อยู่ในแหวนพื้นที่
  สิ่งแรกที่เขาพบก็คือพื้นที่ในแหวนนั้นกว้างใหญ่มาก แถมยังมีหินเทพกองเป็นภูเขา มองคร่าวๆแล้วก็บอกได้ทันทีว่มากกว่าหินเทพในมือเขาเสียอีก
  กล่าวได้ว่าหากนับรวมกับหินเทพที่เขามีอยู่ก่อน ตอนนี้เขาสมควรมีหินเทพราวๆ 3 ล้านตำลึง!
  ‘หินเทพมากมายขนาดนี้เชียว…’
  หลังจากใจสั่นเพราะเห็นกองหินเทพแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มมองสำรวจสิ่งของอื่นๆที่อยู่ในแหวน และเขาก็พบได้ไมยากว่ามีผลไม้เทพ สมุนไพรเทพ รวมถึงโอสถเทพเก็บไว้มากมาย
  จำนวนก็ไม่ได้น้อยเลย!
  ต้วนหลิงเทียนลองเปิดขวดโอสถเทพในแหวนดู 2-3 ขวด ยกเว้นโอสถเทพบางขนานที่เขาไม่รู้จักแล้ว โอสถเทพที่เก็บไว้ในขวดล้วนเป็น โอสถเทพระดับจอมราชันทั้งสิ้น
  ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นโอสถเทพระดับจอมราชันที่สามารถส่งเสริมพลังฝึกปรือให้เขาได้!
  และนอกจากนั้น ในแหวนยังมีอุปกรณ์เทพมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น มีด ดาบ กระบี่ หอก แถมไม่มีข้อยกเว้น ทั้งหมดเป็นอุปกรณ์เทพขั้นสูงทั้งสิ้น
  และบริเวณมุมหนึ่งของพื้นที่ในแหวน เขาก็พบแส้สีแดงขดอยู่ ตัวแสดังกล่าวเต็มไปด้ยแสงพลังสีเลือดเรืองรอง พอแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบให้แน่ชัด เขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของวิญญาณ
  ‘นี่มัน…จิตวิญญาณศาสตรา!?’
  สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปทันที เนื่องเพราะแส้ยาวสีแดงดังกล่าว กลับเป็นอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณ!
  อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณในแส้ยังไม่ได้เติบโตเต็มที่ เรียกว่าพึ่งจะตั้งครรภ์วิญญาณก็ได้ มันอยู่ในระดับเดียวกับกระบี่เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณแล้ว เล่มเดียวกับที่หวูเฟิงได้รับไปในอดีต
  อาจกล่าวได้ว่า สิ่งของอื่นๆภายในแหวนนั้น ต่อให้มัดรวมกันก็ยังมีมูลค่าไม่เท่าอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณแล้ว
  ‘นางเป็นใครกันแน่?’
  ‘ไฉนถึงมอบของเหล่านี้ให้ข้า?’
  ต้วนหลิงเทียนได้แต่อื้ออึง ด้วยนึกไม่ออกจริงๆว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ ไฉนถึงมอบสิ่งของให้เขามากมาย แถมแต่ละอย่างยังเป็นของดีทั้งนั้น โดยเฉพาะอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณแล้วนั่น ให้นำไปวางไว้ที่ไหนในระนาบเทพ ต่อให้เป็นตัวตนระดับจักรพรรดิเทพทั่วไป ก็เกรงว่าคงคิดช่วงชิงกันอย่างเสียสติ
  “ให้ตายเถอะ…”
  ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่บัดนี้โหวชิ่งหนิงที่ถูกซัดจนปลิวไปฝังร่างในผนังผา ก็ได้เหินร่างกลับมาหาต้วนหลิงเทียนกับติงเหยียนแล้ว ยังกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเหยเก “จักรพรรดิเทพอันทรงพลัง ไฉนดุร้ายนักเล่า?”
  “แต่ยังดีที่นางมีเมตตา หาไม่แล้วเมื่อครู่ข้าคงถูกนางตีจนตาย”
  ขณะกล่าว โหวชิ่งหนิงก็หันไปมองหัวไหล่ด้านขวาที่บัดนี้เสื้อผ้าบริเวณนั้นฉีกขาด รอยฝ่ามือยังแดงชัด เนื้อแตกเลือดคั่งกันเลยทีเดียว
  “มิน่าล่ะ ข้าก็สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าอยู่ๆเจ้าหายไปไหน…ที่แท้ถูกจักรพรรดิเทพอันทรงพลังผู้นั้นตบเข้าให้เพราะปากพล่อยนี่เอง…”
  ติงเหยียนตกใจนัก “เจ้าบ้าเอ๊ย คราวนี้ปากเจ้าเกือบพาซวยแล้วไหมล่ะ”
  “ผู้ใดจะไปรู้เล่า…”
  โหวชิ่งหนิงได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สีหน้าแววตายังฉายชัดถึงความหวาดกลัว
  “แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
  ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน เสียงที่ว่ายังกระจายไปทั่วนิกายมังกรสวรรค์
  จากนั้นท่ามกลางสายตาของทุกคนทีมองขึ้นไปบนฟ้า ก็พบว่าม่านพลังที่เคยถูกทำลายหายไปก่อนหน้า ได้ก่อตัวขึ้นมาปกคลุมนิกายอีกครั้ง
  อย่างไรก็ตาม วินาทีไม่มีใครคิดว่าม่านพลังของค่ายกลมันจะทรงพลังอย่างที่เคยอีกต่อไป ยังตระหนักกันชัดเจน ว่าที่แท้ม่านพลังจากค่ายกลพิทักษ์ก็มิได้อยู่ยงคงกระพัน
  เพราะตราบใดที่เป็นจักรพรรดิเทพอันมีพลังเข้มแข็งมากพอ ม่านพลังดังกล่าวก็เหมือนกระจกแก้วบอบบาง ทุบให้แตกสลายได้ง่ายดายนัก
  “รองประมุขเซวีย อาวุโสฉีถงหยวนตายแล้ว!”
  ในสถานที่พักบ่มเพาะของ เซวียหมิงจื่อ รองประมุขนิกายมังกรสวรรค์ มีอาวุโสฝ่ายในคนหนึ่งมาเพื่อแจ้งข่าว ทำให้สีหน้าของกวงเทียนเจิ้งกับลูกศิษย์เปลี่ยนไปทันที จากนั้นแต่ละคนก็หันไปมองเซวียหมิงจื่อด้วยความสงสัย
  “อะไร อาวุโสฉีตายแล้ว?”
  เซวียหมิงจื่อ ก็แสร้งหยีตาชักสีหน้าประหลาดใจออกมาได้อย่างแนบเนียน “เป็นไปได้อย่างไรกัน…ไม่นานมานี้ข้าพึ่งจะติดต่อไปเรียกตัวมันกลับมา ทั้งมันก็แจ้งว่ากำลังเดินทางกลับ…”
  ขณะที่เซวียหมืงจื่อกล่าวถึงจุดนี้ มันก็สะบัดมือเบาๆ จากนั้นก็นำเศษลูกแก้ววิญญาณกองหนึ่งออกมาจากแหวน สายตายังเปลี่ยนเป็นเย็นชาโดยพลัน “เป็นผู้ใดที่หาญกล้าฆ่าอาวุโสมังกรดำของนิกายมังกรสวรรค์เรา!”
  กล่าวจบคำ ทั่วร่างเซวียหมิงจื่อก็ปรากฏพลังเทพลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟ
  “เรื่องนี้ต้องสืบให้รู้ชัด!”
  “ข้าจักไปหาท่านประมุขเดี๋ยวนี้!”
  ไม่ทันที่กวงเทียนเจิ้งและลูกศิษย์รวมถึงอาวุโสฝ่ายในที่มาแจ้งข่าวจะตอบสนองเรื่องราว ร่างเซวียหมิงจื่อก็แว่บหายไปเสียแล้ว
  สุดท้ายก็คงเหลือแต่กวงเทียนเจิ้งกับลูกศิษย์สองคน
  ลูกศิษย์ที่ว่าก็เป็นศิษย์คนรองของกวงเทียนเจิ้ง และเป็นลูกเขยของเซวียหมิงจื่อ จงซ่าน
  “ซ่านเอ๋อ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้…เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?”
  หลังเซวียหมิงจื่อจากไปสักพัก กวงเทียนเจิ้งก็หันไปเอ่ยถามจงซ่านผ่านพลัง “รองประมุขเซวียพึ่งกล่าวว่า สหายสนิทคนหนึ่งนั้นสนิทสนมกับบรรพบุรุษของหลิงหูเหรินเจี๋ย เช่นนั้นก็ขอให้พวกเราอย่าได้แตะต้องคนจากตระกูลหลิงหูอีก กระทั่งหากเจอคนของตระกูลหลิงหูก็ให้ไว้หน้า 3 ส่วน…”
  “มาตอนนี้ อยู่ๆอาวุโสฉีถงหยวนกลับตกตายเสียอย่างนั้น”
  “อาวุโสฉีถงหยวน…คงมิใช่ว่าถูกสหายของรองประมุขเซวียฆ่าทิ้งไปกระมัง?”
  กวงเทียนเจิ้งคาดเดา
  “ท่านอาจารย์ ข้อสันนิษฐานของท่าน จะดีเสียกว่าที่พวกเราคุยกันสองคน และท่านอย่าได้นำไปบอกผู้ใดอีก…ข้าเกรงว่าหากท่านพ่อตาล่วงรู้ขึ้นมา คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเราแน่”
  จงซ่านเอ่ยออกเสียงขรึม “สุดท้ายแล้วการตายของอาวุโสมังกรดำ ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับนิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราเลย”
  “อาจารย์ย่อมรู้เป็นธรรมดา”
  กวงเทียนเจิ้งพยักหน้า จากนั้นสองตาก็เผยประกายเย็นชาเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “อย่างไรก็ตาม รองประมุขเซวียเพียงบอกให้พวกเราอย่าได้แตะต้องคนของตระกูลหลิงหู…ทว่ากับต้วนหลิงเทียนนั่น พวกเราจักทำอันใดกับมันก็ได้!”
  “นอกจากนั้น เท่าที่ข้าฟังจากคำพูดของรองประมุขเซวีย เห็นได้ชัดว่ารองประมุขเซวียเองก็คิดจะฆ่าต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องให้แม่นางเซวียไปร้องขออีกต่อไป”
  “อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลับพิกลนัก…ไฉนอยู่ๆต้วนหลิงเทียนถึงกลายเป็นหนามตำตารองประมุขเซวียขึ้นมาได้?”
  เห็นได้ชัดว่ากวงเทียนเจิ้งเองก็กำลังสับสนกับเรื่องดังกล่าว
  “อย่างไรก็ช่างเถอะ เรื่องนี้นับเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา”
  จงซ่านกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ลองท่านพ่อตาคิดจะฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นแบบนี้ สำหรับพวกเราแล้วนับเป็นข่าวดียิ่ง ส่วนพวกคนของตระกูลหลิงหู ขอเพียงพวกมันไม่มาตอแยพวกเรา เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจอะไรพวกมัน”
  “จริงของเจ้า”
  กวงเทียนเจิ้งพยักหน้า
  …
  เดิมทีโหวชิ่งหนิงคิดว่าเพราะคำพูดเหลวไหลไร้แก่นสารของมันชักนำเภทภัยมาสู่ตัวแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่พ้นต้องกล่าวล้อมันเหมือนกับติงเหยียนแน่นอน
  ทว่า ต้วนหลิงเทียนกลับลอยร่างแน่นิ่ง แลดูใจลอยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียอย่างนั้น
  “เฮ่ ต้วนหลิงเทียน เจ้าเหม่ออะไรอยู่?”
  โหวชิ่งหนิ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย ติงเหยียนเองก็รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนผิดแปลกไป
  “ก็ไม่อะไรหรอก”
  ต้วนหลิงเทียนที่กลับมารู้สึกตัวก็ส่ายหัวไปมา แต่ในใจยังสงสัยไม่หาย
  จักรพรรดิเทพที่ทรงพลังเมื่อครู่เป็นใครกันแน่?
  ไฉนจู่ๆก็มอบแหวนพื้นที่ให้เขา แถมในแหวนยังมีทรัพยากรบ่มเพาะและของล้ำค่ามากมาย?
  ‘จะเป็นอวี๋ชิวซวนผู้นั้นหรือไม่?’
  ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็นึกถึง ต้วนเฉียวอวี่ ที่เขารู้จักในเมืองวายุสวรรค์ กับผู้ที่ติดตามข้างกายนางอย่าง อวี๋ชิวซวน ขึ้นมา
  อย่างไรก็ตามความคิดดังกล่าวพึ่งจะผุดขึ้นไม่ทันไร เขาก็ปัดทิ้งไปทันที
  เพราะฟังจากเสียงกล่าวเมื่อครู่ มันต่างจากเสียงของอวี๋ชิวซวนอย่างสิ้นเชิง
  นอกจากนั้น อวี๋ชิวซวน ก็ไม่น่าจะใช่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเทพ
  ที่สำคัญหากอีกฝ่ายคิดจะมอบสิ่งของเหล่านี้ให้เขาจริง อีกฝ่ายก็สามารถมอบให้เขาตั้งแต่วันนั้น ไม่จำเป็นต้องรอมาจนถึงวันนี้
  “พวกนาง…ที่แท้เป็นใครกันแน่?”
  พอนึกถึงความคุ้นเคยและท่าทีสนิทสนม ที่ต้วนเฉียวอวี่มีต่อเขายามพบเจอกันวันนั้น ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะแค่รู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นพี่ชายอย่างที่พูด
  แต่อีกฝ่ายให้ความรู้สึกเหมือนว่ารู้จักเขาแต่แรก