ตอนที่ 3822 ต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่าน

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

ในนิกายมังกรสวรรค์ ผู้อาวุโสมังกรทองทุกคนล้วนสนับสนุนให้ทำศึกจักรพรรดิ
  ประมุขนิกายมังกรสวรรค์เองก็เห็นดีกับเหล่าอาวุโสมังกรทองเช่นกัน มันสนับสนุนให้ทำศึกจักรพรรดิด้วย
  “ว่ากันว่าศึกจักรพรรดิ แม้จะเป็นสงครามที่ตั้งใจทำให้ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพถือกำเนิดขึ้น…อย่างไรก็ตามถึงแม้ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพจะไม่ปรากฏ แต่หากผ่านศึกจักรพรรดิไปได้ ศิษย์ในนิกายมังกรสวรรค์เรา ก็เสมือนได้ละทิ้งชีวิตสบายๆ มีโอกาสให้เข้าสู่ระนาบอิสระเพื่อต่อสู้แสวงหาความก้าวหน้าผ่านความเป็นตาย ผู้ที่มุ่งมั่นก็จักได้พบเจอหนทางก้าวหน้า เช่นนี้ยังมีอันใดไม่ดี?”
  อาวุโสมังกรดำคนหนึ่งของนิกายมังกรสวรรค์ กล่าวออกมา
  ในปัจจุบัน ผู้ที่อยู่ภายในห้องโถงหลัก ก็มีคนที่ต้วนหลิงเทียนรู้จักอยู่ด้วยกัน 2 คน นั่นก็คือเชวียไห่ชวนกับตงฟางเหยียนเหนียน
  อย่างไรก็ตาม อาวุโสฝ่ายในอย่างกวงเทียนเจิ้งนั้น ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมระดับสูงแบบนี้
  คนที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมระดับสูงได้ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นชนชั้นผู้อาวุโสมังกรขาว
  “ข้าเห็นด้วย”
  ทันใดนั้น ก็มีคนกล่าวออกมาอย่างเห็นชอบอีกคน “ถึงแม้นิกายเราจะมีภารกิจออกไปต่อสู้เสี่ยงภัยด้านนอก แต่ผลกระทบจากการออกไปสู้ฝึกฝนเช่นนั้นมันมีจำกัดอย่างมาก…นอกจากนั้นศิษย์ในนิกายของพวกเรา ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกออกไปทำภารกิจต่อสู้เพื่อหาคะแนนอุทิศไปซื้อโอสถเทพหรือผลไม้เทพที่ใช้ในการบ่มเพาะ”
  “แถมศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราหลายคน ก็ไม่มีใจแสวงหาความก้าวหน้ามากมายอะไร บางคนหลังได้เป็นศิษย์นิกายมังกรสวรรค์แล้ว ก็เอาแต่ห้อยป้ายไปเดินอวดผู้อื่นด้านนอกว่าเป็นศิษย์นิกายมังกรสวรรค์เท่านั้น…ที่สำคัญไม่ใช่แค่นิกายมังกรสวรรค์เราที่เป็นเช่นนี้ ศิษย์ของนิกายจักรพรรดิเทพอื่นๆก็เป็นเช่นนี้กันไม่น้อย ”
  คนทีกำลังพูดอยู่ก็เป็นชนชั้นรองประมุขของนิกายมังกรสวรรค์อีกคน
  และคนๆนี้ไม่เหมือนเซวียหมิงจื่อ เพราะมันสนับสนุนให้นิกายทำศึกจักรพรรดิเสมอ
  ถึงแม้ว่าด่านพลังของมันจะยังห่างไกลจากการบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพ แต่มันก็ชอบให้นิกายมังกรสวรรค์ต่อสู้กับนิกายอื่นๆเพื่อแสวงหาความก้าวหน้า เพราะมันเองก็เป็นคนหัวก้าวหน้าคนหนึ่งเช่นกัน
  มันก็เลยสนับสนุนให้นิกายทำศึกจักรพรรดิมาโดยตลอด และมักจะไม่พอใจกับเหล่าศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ที่เกียจคร้านการฝึกฝนบ่มเพาะ ยังเบื่อหน่ายกับศิษย์และอาวุโสที่ทำตัวเอื่อยเฉื่อยไร้แรงจูงใจเป็นที่สุด
  จริงอยู่ที่ไม่ได้หมายความว่าศิษย์และอาวุโสเหล่านั้นจะเป็นขยะ
  เพราะขยะไม่มีทางผ่านการทดสอบเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ได้
  ที่มันพูดถึงก็คือเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสที่ไม่คิดจะแสวงหาความก้าวหน้า ภารกิจที่รับไปทำก็มีแต่ภารกิจง่ายๆไม่เสี่ยงภัย แม้จะได้คะแนนอุทิศต่ำ แต่ก็เลือกจะใช้ปริมาณสะสมเอา
  สำหรับภารกิจที่มีค่าตอบแทนสูง และมักต้องเสี่ยงอันตราย คนเกียจคร้านเหล่านี้ย่อมไม่คิดเสี่ยงรับไปทำ
  เพราะในสายตาคนเหล่านี้ ในเมื่อสามารถเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ได้แล้ว เช่นนั้นจะอย่างไรก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น เพียงแค่ไม่รีบไม่ร้อนเท่านั้น
  ส่วนหายนะสวรรค์ในรอบพันปีที่จะมาถึง เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ได้ ก็ถือว่าเก่งกาจและเป็นอัจฉริยะในระดับหนึ่ง จึงสามารถข้ามผ่านหายนะในช่วงแรกๆได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นต่างคิดว่าไม่ต้องรีบวันนี้ก็ได้ แค่ไปเร่งรีบเอาวันหลังก็ยังทัน
  จะไปขยันฝึกฝนพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เรียกว่าเหลือเวลาอีกมากมาย
  “ข้าก็เห็นด้วย ว่าการทำศึกจักรพรรดิเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา”
  อาวุโสมังกรดำ หลันอวี่ซาน ที่พึ่งรับหน้าที่ควบคุมดูแลการแข่งขันมังกรซ่อนเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็พยักหน้าเห็นด้วย “และข้าเชื่อว่ามีผู้ชราแล้วหลายคนที่มักคิดอยู่เสมอว่าไฉนตอนยังเยาว์ไม่ขยันให้มาก พอแก่ตัวลงก็ตองหวาดหวั่นกับหายนะสวรรค์ในรอบพันปีทุกครั้ง เช่นนั้นข้าขอไถ่ถามพวกท่านสักคำ ว่าเคยเสียใจกันบ้างหรือไม่ ว่าไม่ขยันให้มากตั้งแต่ยังเยาว์?”
  “ข้าจึงเห็นด้วยที่พวกเราจักทำศึกจักรพรรดิกับนิกายมหาเอกะ และข้ายังหวังว่าเหล่าชนรุ่นหลังในนิกายมังกรสวรรค์เราจะกล้าหาญไม่หวั่นเกรงการต่อสู้ และสักวันพวกเราจักสามารถทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพ นำพานิกายมังกรสวรรค์ให้ก้าวหน้ารุ่งเรืองยิ่งขึ้น!”
  ด้วยความคิดเห็นของหลันอวี่ซาน ก็ทำให้คนของนิกายมังกรสวรรค์หลายคนที่ลังเลเริ่มเห็นด้วย
  “ไห่ชวน ดูเหมือนครั้งนี้ศึกจักรพรรดิจะไม่หนีไปไหนแล้ว”
  ตงฟางเหยียนเหนียนก็หันไปส่งเสียงผ่านพลังถึงเชวียไห่ชวนอย่างคึกคัก
  เชวียไห่ชวนพอได้ยินก็ทำตาลุกวาวขึ้นมาทันที “อันที่จริง ตั้งแต่ที่ข้าได้ยินว่านิกายมหาเอกะมาท้าพวกเราทำศึกจักรพรรดิ ข้าก็เชื่อว่าครั้งนี้พวกเราต้องได้สู้ศึกจักรพรรดิแน่นอน”
  “อันที่จริง ตั้งแต่ที่ข้าเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์มา ข้าก็ตั้งหน้าตั้งตารอศึกจักรพรรดิมานานแล้ว…ในที่สุดข้าก็สมหวังเสียที!”
  ในนิกายมังกรสวรรค์ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพึงพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ และไร้แรงผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า
  ยังมีผู้อาวุโสหลายคน ที่ในอดีตเคยเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ และตั้งเป้าจะถีบตัวเองให้พัฒนาสูงขึ้นตลอดเวลาผ่านการทำงานหนัก
  1 ใน 3 อาวุโสมังกรขาวที่อายุน้อยที่สุดอย่างเชวียไห่ชวนเอง ก็เป็นตัวแทนของผู้อาวุโสเหล่านั้น
  “เจ้านี่ก็นะ…”
  ได้ยินคำพูดของเชวียไห่ชวน ตงฟางเหยียนเหนียนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม ในฐานะที่เป็นสหายของเชวียไห่ชวน มันย่อมรู้ด่าเชวียไห่ชวนคิดอะไรอยู่ และไม่แปลกใจกับคำตอบดังกล่าวของเชวียไห่ชวนเลย
  “เหยียนเหนียน”
  ทันใดนั้นเอง สีหน้าเชวียไห่ชวนก็ฉายความกระตือรือร้น หันไปส่งเสียงผ่านพลังกล่าวกับตงฟางเหยียนเหนียนว่า “ด่านพลังของเจ้าก็ติดจุดรอคอยขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางมาพักใหญ่แล้วมิใช่รึ…ข้าเชื่อว่าศึกจักรพรรดิครั้งนี้ นับเป็นโอกาสประเสริฐที่จะส่งเสริมให้เจ้าทะลวงถึงจอมราชันเทพขั้นสูง!”
  “พอถึงตอนนั้น พวกเรามาร่วมมือกันดีหรือไม่ ข้าจะช่วยเจ้าแสวงหาแรงกดดัน หนุนให้เจ้าทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นสูงก่อน”
  เชวียไห่ชวนกล่าว
  อย่างไรก็ตาม ด้านตงฟางเหยียนเหนียนพอได้ยินข้อเสนอของเชวียไห่ชวนก็เร่งกล่าวปฏิเสธออกมาทันที “ไม่เป็นไรๆ ข้าจักไปหาคนอื่นร่วมมือด้วย เจ้าไปลุยของเจ้าเถอะ!”
  ล้อกันเล่นหรือไร!
  มันยังจำได้ไม่ลืมเลือน ในตอนนั้นที่มันออกไปทำภารกิจนอกนิกายกับเชวียไห่ชวน ขณะเดินทางกลับนิกาย บังเอิญพบเจอจอมราชันเทพขั้นสูง 2 คนระหว่างทาง อยู่ดีๆเชวียไห่ชวนก็แจ้นไปพะบู้กับอีกฝ่ายหน้าตาเฉย เรียกว่าทำให้มันเกือบตาย แทบเอาตัวไม่รอด
  โดยเฉพาะเชวียไห่ชวนที่เกือบจะสิ้นลมไปจริงๆ
  หลังจากนั้น เมื่อหนีมาได้แล้ว มันก็อดถามเชวียไห่ชวนไม่ได้ ว่าไฉนเจ้าถึงวิ่งไปพะบู๊กับผู้อื่นเขาเช่นนั้น…
  เชวียไห่ชวนก็ตอบมาสั้นๆ ว่าเชื่อในพลังฝีมือของมัน ก็เลยเข้าไปบวกอย่างวางใจ
  ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าเชวียไห่ชวนจะมาชวนมันไปทำภารกิจด้านนอกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ได้แต่กล่าวปฏิเสธอย่างรักษาน้ำใจ
  ไม่ใช่ว่ามันกลัวตาย แต่มันกลัวว่าเชวียไห่ชวนจะเสี่ยงเพราะมีมันอยู่ด้วย!
  “นอกจากนั้น…เจ้าก็อย่าได้ลุยดะนักเลย ตั้งแต่เข้านิกายมังกรสวรรค์มาเจ้าก็ชอบออกไปคนสู้ด้วยไม่หยุด นับว่าต่างกกับคนเกียจคร้านในนิกายที่พอใจกับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันคนละโลก เจ้าขยันมากพอแล้ว ข้าว่าพักบ้างก็ดี…”
  ในขณะที่กล่าวห้ามปรามเชวียไห่ชวน ตงฟางเหยียนเหนียนก็ไม่ลืมหาข้ออ้างมาหนุนเสริม “นอกจากนั้นเจ้าลืมพี่ใหญ่ของเจ้าแล้วหรือไร หากเจ้าออกไปสู้แล้วผู้ใดจะคอยปกป้องพี่ใหญ่เจ้าได้ตลอดเวลาเล่า?”
  พอเชวียไห่ชวนได้ยินคำพูดดังกล่าว มันก็คลี่ยิ้มเจื่อนๆออกมาก่อน จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วก็เงียบไปเลย
  “จริงสิ!”
  พอเห็นว่าอารมณ์ของเชวียไห่ชวนเริ่มสลดลง ตงฟางเหยียนเหนียนก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ยาโถวน้อยที่เรียกว่า แม่นาง 7 จากหุบเขาหมื่นบุปผานั่นอย่างไรกันแน่ ดูเหมือนนางจะให้เสี่ยวเทียนพามาหาเจ้าวันก่อนมิใช่รึ”
  “นางคงไม่ใช่ลูกสาวของสตรีนางนั้นหรอกนะ?”
  ตงฟางเหยียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ยังไงเล่า หรือนางมาหาความจากเจ้า เรื่องที่เจ้าปฏิเสธมารดานางในปีนั้น?”
  ย้อนกลับไปในอดีต เชวียไห่ชวนนับเป็นอัจฉิรยะอันโดดเด่นของนิกายมังกรสวรรค์ ไปที่ไหนก็ถูกอิสตรีน้อยใหญ่ห้อมล้อม และมีครั้งหนึ่งที่ออกไปทำภารกิจ ก็มีศิษย์ของหุบเขาหมื่นบุปผาคนหนึ่งต้องตาพึงใจเชวียไห่ชวน ถึงขั้นเป็นฝ่ายรุกหนัก อนิจจาเพราะเชวียไห่ชวนยืนกรานปฏิเสธนาง อีกฝ่ายที่เสียใจในที่สุดก็จำต้องแต่งกับหลานชายของผู้มีอำนาจในนิกาย
  ปีนั้นขอเพียงเชวียไห่ชวนตอบรับนางล่ะก็ นางก็สามารถอยู่กับเชวียไห่ชวนได้ทันที
  หลายคนในนิกายมังกรสวรรค์ก็รู้เรื่องนี้ดี
  และตงฟางเหยียนเหนียนก็พึ่งมารู้เอาไม่กี่วันก่อน ว่าแม่นาง 7 ที่แสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขันมังกรซ่อน ที่แท้เป็นลูกสาวของสตรีกล้าหาญของนิกายหมื่นบุปผาที่รุกหนักเชวียไห่ชวนในปีนั้น
  สีหน้าเชวียไห่ชวนเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดดำทันที สุดท้ายก็อดโพล่งออกมาไม่ได้ “ไสหัวไป!”
  “ฮ่าๆๆๆ…ทำไมกัน เจ้าเขินรึไง หรือว่าที่แท้มานึกเสียดายภายหลัง?”
  ตงฟางเหยียนเหนียนหัวเราะร่า และไม่คิดจะปล่อยเชวียไห่ชวนให้รอดตัวไปง่ายๆ เร่งจี้ถามผ่านพลังสืบต่อ “เอาดีๆ บอกข้ามาเร็ว…ที่แท้นางมาหาเจ้าเพราะอะไรกันแน่?”
  “ใช่สืบทอดความกล้าหาญจากมารดา และคิดรุกหนักเจ้าอีกคนใช่หรือไม่?”
  ได้ยินคำถามยียวนดังกล่าวของตงฟางเหยียนเหนียน เชวียไห่ชวนก็เลือกเบือนหน้าหนี ราวกับไม่ได้ยิน
  ขณะเดียวกัน การประชุมของนิกายมังกรสวรรค์ก็ได้ข้อสรุป
  รับคำท้าศึกจักรพรรดิของนิกายมหาเอกะ เตรียมรบในศึกจักรพรรดิ!
  และเมื่อเรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้ว ข่าวเรื่องราวทุกประเภทเกี่ยวกับศึกจักรพรรดิก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วนิกายมังกรสวรรค์
  ช่วงแรกๆ ก็มีหลายคนที่ไม่รู้ว่าศึกจักรพรรดิคืออะไร
  แต่พอรับทราบว่าที่แท้ศึกจักรพรรดิเป็นเรื่องราวใด ก็มีหลายคนหวาดกลัวจนหน้าเสีย
  “ศึกจักรพรรดิที่ว่า…กระทั่งจอมราชันเทพขั้นสูงยังมีโอกาสตายเลยหรือ!?”
  “ศึกจักรพรรดิ…เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายมังกรสวรรค์ต้องเข้าร่วม ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้!?”
  “อะไรกัน ข้าพึ่งจะเป็นแค่เทพขั้นสูงเองนะ…หากต้องเข้าไปในสมรภูมิศึกจักรพรรดิอะไรนั่น ยังต่างอะไรกับให้ข้าไปตายกันล่ะ?”
  “เจ้าอย่าได้กังวลไป…ผู้ที่ยังอยู่ในขอบเขตเทพ มีสิทธิ์ที่จะไม่เข้าร่วมศึกจักรพรรดิ”
  …
  คำพูดทำนองดังกล่าวเริ่มดังขึ้นทั่วนิกายมังกรสวรรค์ เหล่าศิษย์หลายคนพากันแตกตื่นนัก โดยเฉพาะศิษย์ที่พึ่งเข้าใหม่
  นอกจากนั้นยังมีแม้กระทั่งเหล่าศิษย์มังกรสวรรค์ที่รวมกลุ่มกันเพื่อลงนามประท้วง หมายต่อต้านศึกจักรพรรดิครั้งนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์
  เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนเริ่มรู้สึกโชคดี ที่ตอนนี้ด่านพลังของพวกมันยังอยู่ในขอบเขตเทพ
  อย่างไรก็ตาม พวกมันก็มีคำถามหนึ่ง “แล้วศึกจักรพรรดิที่ว่า จะรบกันนานแค่ไหนหรือ?”
  สุดท้ายแล้วศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์ หากอายุถึงกำหนดแล้วไม่อาจทะลวงไปยังขอบเขตราชาเทพได้ ก็จะถูกไล่ออกจากนิกายมังกรสวรรค์
  อุตส่าห์ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ทั้งที ย่อมไม่มีผู้ใดอยากกลับไปให้อับอายขายหน้าเพราะถูกไล่ออกจากนิกายมังกรสวรรค์
  แต่ยังมีหลายคนที่คิดว่า ขอเพียงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ อับอายขายหน้าแล้วจะอย่างไร
  จะอย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องศึกจักรพรรดิก็ถูกพูดคุยกันทุกระดับ ทุกคนในนิกายมังกรสวรรค์ที่ไม่ได้ปิดด่านบ่มเพาะหรือออกไปทำภารกิจด้านนอก ไม่มีใครไม่รู้
  หลายๆพื้นที่ของนิกายยังมีคนออกมาจับกลุ่มพูดถึงเรื่องนี้กันระงมปานตลาดสด
  …
  กว่าที่ต้วนหลิงเทียนจะรู้เรื่องศึกจักรพรรดิ ก็ผ่านไปหลังจากนั้น 3 เดือน
  และหลังผ่านไป 3 เดือน คนของนิกายมังกรสวรรค์ก็คุยเรื่องศึกจักรพรรดิน้อยลง บรรยากาศในนิกายเริ่มหวนคืนสู่ความสงบ
  นอกจากนั้น ก็ยากที่จะพบเห็นเหล่าศิษย์เดินเตร็ดเตร่เอ้อละเหยลอยชาย
  และตำหนักกิจการฝ่ายในที่ปกติมีคนผ่านเข้าออกไม่มากเท่าไหร่ บัดนี้กลับมีผู้คนผ่านเข้าออกวุ่นวายไปหมด
  “เกิดอะไรขึ้นกัน…”
  ต้วนหลิงเทียนที่ฝึกฝนบ่มเพาะจนประสบความก้าวหน้า เดิมทีตั้งใจออกมาสูดอากาศเพื่อผ่อนคลาย จากนั้นก็จะกลับไปฝึกฝนต่อ
  แต่พอเห็นว่าฉากเรื่องราวมันเปลี่ยนไปจาก 3 เดือนก่อนหน้านี้คนละเรื่อง ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
  “ที่แท้มันเรื่องอะไรกันแน่…”
  ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลองเดินเข้าไปในตำหนักกิจการฝ่ายในด้วยความงุนงง
  และหลังจากเดินเข้ามาในตำหนักกิจการฝ่ายในได้ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงสนทนาดังเข้าหูระงม
  หลังจากนิ่งฟังเรื่องราวอยู่สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็จับใจความสำคัญได้
  ศึกจักรพรรดิ!
  จะเริ่มขึ้นในอีก 5 ปีหลังจากนี้
  กล่าวให้ชัด ก็เหลือเวลาอีกเพียง 4 ปี กับ 7 เดือนก่อนที่ศึกจักรพรรดิจะเริ่มต้นขึ้น
  ‘ศึกจักรพรรดิงั้นหรือ…’
  หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงดินแดนดาราพิศวง เขาก็มักจะหาข้อมูลทั่วไปในดินแดนดาราพิศวงเสมอ
  ในอดีตไม่ว่าจะตอนอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับก็ดี หรือในตระกูลหลิงหูก็ดี เขามักใช้เวลาในการหาข้อมูล และเรียนรู้เรื่องต่างๆในหอตำรามากมาย
  และตอนอยู่ในตระกูลหลิงหู เขาก็ได้รู้หลายสิ่งอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน
  ในบรรดาเรื่องที่เขารับทราบมา ก็มีเรื่องศึกจักรพรรดิรวมอยู่ด้วย
  ‘นิกายมังกรสวรรค์คิดทำศึกจักรพรรดิกับนิกายมหาเอกะ?’
  สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันใด ‘ดูเหมือนกระทั่งฟ้า ก็ยังไม่อยากให้ข้ารีบออกจากนิกายมังกรสวรรค์’
  ศึกจักรพรรดินั้น มีทั้งความเสี่ยงและโอกาสรออยู่ และเป็นโอกาสอันดีครั้งหนึ่งในชีวิตสำหรับผู้ที่แสวงหาความแข็งแกร่ง!