ก่อนหน้านี้ ในสายตาของต้วนหลิงเทียน การรั้งอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์สืบต่อกับเลือกจะไปเข้าร่วมขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าของเขตคฤหาสน์ตงหลิงเลย มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป แต่เขาก็ตัดสินใจเลือกที่จะรั้งอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์อีกสักพัก
  แน่นอนว่า สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าหากมีคนจากขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้ามาทาบทาม เขาจะบอกปฏิเสธถ่ายเดียว
  เพราะเมื่อมีคนคิดมาขุดกำแพง เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะมามือเปล่า หากว่าอีกฝ่ายสามารถยื่นข้อเสนอดีงามและเป็นประโยชน์กับเขา หรือเสนอสิ่งใดที่ทำให้เขาใจเต้นแรงได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะออกจากนิกายมังกรสวรรค์
  แต่บัดนี้ ในเมื่อนิกายมังกรสวรรค์จะทำศึกจักรพรรดิกับนิกายมหาเอกะ เช่นนั้นเขาก็ไม่รีบร้อนออกจากนิกายมังกรสวรรค์อีกต่อไป
  ‘ศึกจักรพรรดิ ในระนาบเทพนั้นก็คือสงครามระหว่าง 2 ขุมกำลังไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิถดถอยหรือขุมกำลังระดับจอมราชันเทพชั้นแนวหน้า ที่หมายใช้แรงกดดันจากการต่อสู้ เพื่อให้มีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิถือกำเนิดขึ้น…’
  ‘แต่เป็นธรรมดาว่ามีขุมกำลังระดับจอมราชันเทพชั้นแนวหน้าน้อยนัก ที่หาญกล้าทำศึกกับขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพถดถอย…สุดท้ายแล้วขุมกำลังจักรพรรดิถดถอยก็มีรากฐานและมรดกเหนือกว่า ตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพขั้นสูงก็มีมากกว่า ที่สำคัญ…ในศึกจักรพรรดิจะมีสักกี่ครั้งกันที่จะมีตัวตนระดับจักรพรรดิเทพถือกำเนิดขึ้น?’
  ‘เช่นนั้นปกติแล้ว หากเป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพชั้นแนวหน้าที่คิดจะทำศึกจักรพรรดิ ก็มักจะเลือกท้าขุมกำลังระดับจอมราชันเทพชั้นแนวหน้าดุจเดียวกัน…ไม่ค่อยมีใครบ้าจี้ไปท้าขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพถดถอย’
  ‘ที่สำคัญเลยก็คือ ศึกจักรพรรดิมันเป็นสงครามยืดเยื้อ ขุมกำลังที่เข้าร่วมก็จำต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ไม่ว่าใครก็หมายส่งเสริมคนของตัวเองไม่ว่าจะเหล่าศิษย์หรืออาวุโสทั้งนั้น จุดนี้ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องที่ขุมกำลังจะต้องสูญเสียทรัพยากรเป็นจำนวนมาก ในระยะยาวขุมกำลังที่มีรากฐานดีกว่าย่อมมีเปรียบเรื่องทรัพยากร’
  ข้อความข้างต้นทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ต้วนหลิงเทียนรับรู้จากหอตำราของตระกูลหลิงหู ตอนที่เขายังอยู่ในตระกูลหลิงหู
  และเมื่อศึกจักรพรรดิเริ่มต้นขึ้น ขุมกำลังที่ต่อสู้กันก็ไม่อาจปกปิดความลับใดๆได้ และทุ่มทรัพยากรล้ำค่าออกมา หมายยกระดับกำลังรบของตัวเองให้ได้มากที่สุด ซึ่งทรัพยากรล้ำค่าเหล่านั้น กระทั่งจอมราชันเทพขั้นสูงยังตาลุกวาว
  สิ่งนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้คนในขุมกำลังบังเกิดความฮึกเหิม และกระหายสงครามอีกด้วย
  แน่นอนว่าถึงจะไม่มีอะไรมากระตุ้นเพื่อให้คนในขุมกำลังเข้าร่วมสงคราม แต่ทุกขุมกำลังก็มักจะบังคับให้คนในขุมกำลังเข้าร่วมศึกจักรพรรดิ เว้นเสียแต่ด่านพลังฝึกปรือจะรั้งอยู่ในขอบเขตเทพ
  นอกจากนั้น เมื่อเข้ารวมการรบแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปหลบแอบรอให้เวลาผ่านไปอย่างเดียว แต่จำต้องทำผลงานให้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดอีกด้วย
  เช่นนั้นไม่ว่าจะศึกจักรพรรดิก็ดี ศึกอริยะก็ดี หรือแม้กระทั่งศึกผู้แข็งแกร่งที่สุด ทุกคนในระนาบเทพมักเรียกหากันว่า ‘ลานบดเนื้อ’
  ในระนาบอิสระอันเป็นพื้นที่รบนั้น ราชาเทพก็จะสู้กับราชาเทพ จอมราชันเทพก็จะพบเจอกับจอมราชันเทพ
  และในระนาบอิสระที่เป็นสนามรบ ก็จะมีการจัดแบ่งสนามรบให้เหมาะสมตามระดับพลัง และผู้ที่มีระดับพลังสูงๆก็ไม่อาจเข้าไปยังสนามรบสำหรับผู้ที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าได้
  ในระนาบอิสระดังกล่าว มีค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้แข็งแกร่งที่สุดคอยดูแลกำกับ ไม่ว่าจะสนามรบของศึกอริยะก็ดี หรือสนามรบของศึกจักรพรรดิก็ดี แม้แต่สนามรบของศึกผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของระนาบเทพนั้นๆเป็นผู้จัดตั้งขึ้นทั้งสิ้น และหากมีผู้ใดฝ่าฝืน เช่นเลือกจะเข้าไปในสนามรบสำหรับด่านพลังที่ด้อยกว่า ก็จะถูกพลังจากค่ายกลดังกล่าวฆ่าทิ้งทันที
  ‘ศึกจักรพรรดิระหว่างนิกายมังกรสวรรค์กับนิกายมหาเอกะจะเริ่มต้นขึ้นแบบนี้…มันก็ต้องมีรายละเอียดหรือกำหนดการติดประกาศบอกไว้ไม่ใช่รึไง?’
  พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เดินหาในตำหนักกิจการฝ่ายใน ไม่นานนักก็พบว่าตรงมุมกำแพงด้านหนึ่งที่อยู่ห่างจากโต๊ะรับภารกิจ มีคนยืนออมุงคล้ายกำลังดูอะไรกันอยู่
  พอเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่ากลุ่มคนกำลังมุงดูม่านแสงหนึ่งที่ฉายขึ้นตรงผนัง และบนม่านแสงดังกล่าวก็มีข้อความเขียนไว้ยาวเหยียด
  หลังต้วนหลิงเทียนเข้ามาใกล้ๆ จากบทสนทนาของคนที่มุงดูอยู่ก่อน เขาก็ทราบว่าอีกฝ่ายก็เป็นศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งจะออกจากการปิดด่านเหมือนเขา บ้างก็พึ่งกลับมาจากการทำภารกิจด้านนอก
  “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าหลังกลับมาจากทำภารกิจรอบนี้ ฟ้ากลับเปลี่ยนสีไปเสียแล้ว…”
  ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจว่า “ถึงแม้ข้าจะรู้เรื่องศึกจักรพรรดิมานานแล้ว อีกทั้งยังทราบว่าในอดีตนิกายมังกรสวรรค์เราได้ส่งสาส์นไปท้านิกายมหาเอกะให้ทำศึกจักรพรรดิกันหลายครั้ง แต่ทั้งหมดกลับถูกปฏิเสธ…คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าครั้งนี้จะเป็นนิกายมหาเอกะที่เป็นฝ่ายริเริ่มท้านิกายมังกรสวรรค์เราทำศึกจักรพรรดิ”
  “เดิมทีตอนข้ายังอยู่ในขอบเขตเทพ ข้าหลงคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้พบเจอศึกจักรพรรดิที่ร่ำลือกัน…แต่ใครจะไปรู้ล่ะ หลังทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำได้ไม่กี่ปี ข้ากลับเจอศึกจักรพรรดิแบบนี้…แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่อยากเจอกระมัง”
  “เป็นเช่นนั้นจริง ข้าได้ยินมาว่าเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกถึงกับเดินขบวนประท้วงต่อต้านการทำศึกจักรพรรดิด้วยซ้ำ…แถมศิษย์ฝ่ายในอย่างเราๆก็มีบางคนไม่อยากเข้าร่วม แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือมีมากกว่าครึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตารอศึกจักรพรรดิ”
  “ก็นะ ศึกจักรพรรดิมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสียทีเดียว ไม่ใช่แค่เปิดโอกาสให้ผู้อาวุโสมังกรทองมีโอกาสทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเรามีโอกาสได้รับทรัพยากรบ่มเพาะล้ำค่าอีกด้วย และข้าได้ยินมาว่าในศึกจักรพรรดินั้น ผู้ที่เข้าร่วมจักไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้แหวนพื้นที่ทำลายตัวเองเด็ดขาด จำต้องใช้แหวนพื้นที่ๆจะถอนพันธะครอบครองหลังเจ้าของตายโดยอัตโนมัติเท่านั้น”
  “เช่นนั้นไม่ใช่ว่าผู้ที่เข้าร่วมทั้งหลายก็เหมือนสมบัติเดินได้รึไง? หากเป็นเช่นนั้นข้าอยากเข้าไปลุยแล้ว!!”
  “ใจเย็นสหาย เจ้าอย่าพึ่งคิดมากไป…คนที่ไม่มั่นใจว่าจะเอาชีวิตรอดได้ ใครมันจะพกสมบัติเข้าไปเล่า! ไม่พ้นต้องส่งกลับไปที่บ้านกันหมดนั่นล่ะ ด้วยหวังว่าหลังจากตัวเองตกตายไป อย่างน้อยๆครอบครัวก็จะได้ไม่ลำบาก เช่นนั้นเชื่อได้เลย ว่าก่อนศึกจักรพรรดิจะเริ่มต้นขึ้น ต้องมีคนแห่กลับบ้านเกิดกันตรึม!”
  …
  บทสนทนาของเหล่าศิษย์ฝ่ายในตรงหน้าอดทำให้ต้วนหลิงเทียนอดแปลกใจไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าอาจมีคนจำนวนมากที่บ่นเรื่องนี้ แต่ไม่คิดว่าผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตารอทำศึกจักรพรรดิกลับมีมากกว่า
  ‘ศึกจักรพรรดิ…’
  ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนก็เริ่มอ่านข้อความบนม่านแสงอาคมเบื้องหน้า ซึ่งเป็นรายละเอียดต่างๆในศึกจักรพรรดิ
  การทำศึกจักรพรรดิครั้งนี้ จะรบกันในระนาบอิสระที่เรียกว่าสมรภูมิจักพรรดิ
  และสมรภูมิจักรพรรดินั้น จะถูกจัดเตรียมโดยขุมกำลังระดับจักรพรรดิชั้นแนวหน้าในเขตคฤหาสน์ตงหลิง และจะมีค่ายกลขนาดใหญ่ 3 ค่ายกล ซึ่งจะแบ่งแยกพื้นที่สนามรบออกเป็น 3 พื้นที่และคอยกำหนดด่านพลังของผู้ที่จะเข้าไปใน3 พื้นที่ย่อยดังกล่าว และค่ายกลที่ว่าก็เป็นค่ายกลที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดจัดตั้งขึ้น ส่วนหินเทพที่ใช้ขับเคลื่อนค่ายกลนั้น ขุมกำลังที่คิดทำศึกจักรพรรดิต้องหารกัน
  มีทางเข้าออกสมรภูมิจักรพรรดิทั้งสิ้น 3 ช่องทาง ซึ่ง 2 ช่องทางจะตั้งอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์กับนิกายมหาเอกะ ส่วนอีกแห่งนั้นจัดตั้งไว้ในพื้นที่ของคฤหาสน์ตงหลิง ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งตัวแทนเข้าไปคอยควบคุมความเรียบร้อย
  และในสมรภูมิจักรพรรดิ ไม่ใช่ว่าพอเข้าไปถึงก็สามารถฆ่ากันได้เลย มันจะมีพื้นที่ส่วนกลางที่มีไว้ให้คนของนิกายมังกรสวรรค์และนิกายมหาเอกะพักผ่อน ผู้ที่เข้าไปรบพุ่งในสนามรบเมื่อบาดเจ็บหรือเหนื่อยล้า ก็สามารถย้อนกลับมาพักผ่อนได้
  พื้นที่ส่วนกลางนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากเมืองย่อมๆ และภายในเมืองก็ไม่อนุญาตให้ทำการต่อสู้กันเด็ดขาด กล่าวได้ว่าต่อให้เป็นศัตรูกันก็ไม่อาจลงมือกันได้ เว้นเสียแต่จะอยากตาย
  และในสมรภูมิจักรพรรดิที่ว่า สนามรบย่อยทั้ง 3 ก็กินพื้นที่กว่า 9 ส่วน
  ในบรรดาสนามรบย่อยที่ว่า ก็มีสนามรบกึ่งจักรพรรดิ ซึ่งมีไว้ให้ตัวตนระดับจอมราชันเทพขั้นสูงเข้าไปต่อสู้กัน จากนั้นก็เป็นสนามรบจอมราชันเทพ ซึ่งมีไว้ให้ตัวตนระดับจอมราชันเทพขั้นกลางและจอมราชันเทพขั้นต่ำเข้าไปสู้กัน สุดท้ายก็เป็นสนามรบราชาเทพ ซึ่งมีไว้สำหรับตัวตนขอบเขตราชาเทพทั้งหมด
  สนามรบย่อยทั้ง 3 ก็จะมีพื้นที่ไล่เลี่ยกัน แต่แน่นอนว่าจำนวนคนที่จะเข้าไปสู้กันในแต่ละสนามรบย่อยนั้น ย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
  สนามรบสำหรับตัวตนขอบเขตราชาเทพ แน่นอนว่าต้องแออัดและวุ่นวายมากที่สุด เพราะเป็นสนามรบที่มีจำนวนคนเยอะที่สุด
  รองลงมาก็จะเป็นสนามรบสำหรับจอมราชันเทพ
  สำหรับสนามรบกึ่งจักรพรรดินั้น เป็นสนามรบสำหรับตัวตนระดับสูงอันเป็นกำลังรบที่เข้มแข็งที่สุดของ 2 นิกาย แน่นอนว่ายังเป็นสนามรบที่คนให้ความสนใจมากที่สุด เพราะถ้าจะปรากฏตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเทพขึ้นมา ก็ต้องเป็นที่นี่
  ‘ในสนามรบราชาเทพ ราชาเทพขั้นสูงสามารถไล่ฆ่าราชาเทพขั้นต่ำได้ตามอำเภอใจ…’
  พอเห็นข้อความดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดคิดถึงสหายทั้ง 2 อย่างโหวชิ่งหนิงและติงเหยียนขึ้นมาไม่ได้
  ทั้งคู่ยังเป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำเท่านั้น
  ในบรรดาคนทั้งสอง ติงเหยียนมีความแข็งแกร่งสูงกว่า เพราะถึงแม้จะเป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำ แต่หากวัดกันที่พลังต่อสู้แล้ว ต่อให้จับติงเหยียนไปวางไว้ท่ามกลางราชาเทพขั้นกลาง ก็ถือว่าร้ายกาจเหนือค่าเฉลี่ย
  โหวชิ่งหนิงนั้นด้อยกว่าติงเหยียนมาก
  อย่างไรก็ตาม พอเห็นข้อความบรรทัดต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
  ‘ศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำได้ไม่ถึงร้อยปี รวมถึงศิษย์ฝ่ายนอกและศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ ทางนิกายจะจัดส่งผู้ดูแลฝ่ายนอกให้ไปคุ้มกันเป็นพิเศษ เพื่อทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคอยดูแลให้ทุกคนมีโอกาสหาประสบการณ์ด้านใน…สำหรับศิษย์ฝ่ายในและฝ่ายนอกที่บรรลุถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำมานานแล้ว ทำได้แค่จับกลุ่มหาแนวร่วมกันเองเท่านั้น’
  พออ่านข้อความดังกล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็อดส่ายหัวไปมาไม่ได้ เขาเดาได้ไม่ยากเลยว่าศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ฝ่ายนอกที่ถูกนำโดยผู้ดูแลฝ่ายนอกนั้น หลังเข้าสู่สนามรบแล้ว ไม่พ้นต้อง 9 ตาย 1 รอดเป็นแน่
  เพราะเว้นเสียแต่ทางนิกายจะออกคำสั่งลงมาให้คอยช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง จะมีสักกี่คนที่คิดแบก ‘ถังน้ำมัน’ อย่างศิษย์ที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ?
  แน่นอนว่าหากเป็นราชาเทพขั้นต่ำอย่างติงเหยียน ไม่พ้นต้องได้รับความคุ้มครองอย่างดีแน่นอน
  หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มอ่านรายละเอียดสืบต่อ และมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเรื่องหยุมหยิมที่ต้องระวัง
  ในสมรภูมิจักรพรรดิ เนื่องจากสนามรบย่อยทั้ง 3 เกิดจากค่ายกลของผู้แข็งแกร่งที่สุด ทำให้ภายในสนามรบย่อยนั้นไม่อาจใช้จานค่ายกลอะไรได้เลย และต่อให้คิดจัดตั้งค่ายกลอะไรด้านใน ก็จะถูกพลังของค่ายกลที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดจัดตั้งไว้ทำลายทันที
  ด้วยเหตุนี้ภายในสมรภูมิจักรพรรดิจึงไม่มีค่ายกลกระจกสะท้อนลักษณ์
  กล่าวได้ว่าหลังจากเข้าไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นศิษย์ร่วมนิกายเดียวกัน ก็สามารถฆ่ากันได้ เพราะขอเพียงไม่มีบุคคลที่ 3 รู้เห็น ก็ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้เลยว่าใครฆ่ากันตายด้านใน เว้นเสียแต่เจ้าตัวจะปริปากรับสารภาพหรือเผลอพูดออกมาเอง
  แน่นอนว่าทางนิกายมังกรสวรรค์ก็ได้กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฆ่าศิษย์ร่วมนิกายเอาไว้อย่างเข้มงวด สถานเบาก็ทำลายพลังฝึกปรือและไล่ออกจากนิกาย สถานหนักก็ประหารชีวิตทันที!
  ศึกจักรพรรดินั้นเป็นสงครามชี้ชะตาระหว่าง 2 นิกายก็ว่าได้ การที่ศิษย์ร่วมนิกายเดียวกันดันมาฆ่ากันเอง ก็ไม่ต่างอะไรจากท้าทายอำนาจของนิกายโดยตรง
  ‘ใจคนยากแท้หยั่งถึง…หลังเข้าสู่สมรภูมิจักรพรรดิแล้ว เว้นเสียแต่จะมีพลังฝีมือกล้าแข็งพอ ต่อให้เป็นคนร่วมนิกายเดียวกันก็ไม่อาจไว้วางใจอีกฝ่ายได้เต็มที่ขณะร่วมมือกัน’
  ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ชนพื้นเมืองของระนาบเทพ เขาฝ่าฟันจากระนาบโลกียะ ทั้งระนาบเทวโลกจนมีทุกวันนี้ได้ ย่อมรู้ซึ้งถึงความชั่วร้ายของจิตใจมนุษย์ดี หากไม่ใช่คนที่รู้จักกันดีจริงๆ ไม่อาจไว้วางใจใครได้เลย
  หลังจากอ่านรายละเอียดอยู่สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็เดินกลับไปยังโต๊ะรับภารกิจ ซึ่งโต๊ะแต่ละแห่งก็มีเหล่าศิษย์ต่อแถวรอกันเต็มไปหมด
  “พวกเราทำภารกิจนั้นดีหรือไม่? ผู้ดูแลฝ่ายนอกไม่มีเวลาย้อนกลับยังตระกูล ก็เลยหาคนรับภารกิจนำของไปส่งที่ตระกูล…เงื่อนไขก็มีแค่ระดับพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นสูง นอกจากนั้นต้องแสดงความแข็งแกร่งทั้งยืนยันตัวตนกับผู้ดูแลฝ่ายนอกที่ออกภารกิจก่อนเท่านั้น….”
  “งานนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว…เป็นงานส่งของเหมือนกัน แต่เป็นสิ่งของจากผู้ดูแลฝ่ายใน ที่สำคัญพวกเจ้าดูคะแนนอุทิศที่เป็นค่าจ้างสิ ช่างเยอะยิ่ง! หรือบ้านผู้ดูแลฝ่ายในคนนี้จะอยู่ไกล?”
  …
  ขณะเดินมาต่อแถว ฟังจากเสียงที่เหล่าศิษย์คุยกันก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้ว่ามีหลายคนที่หวาดกลัวว่าตัวเองจะไม่รอดชีวิตในศึกจักรพรรดิ จึงออกภารกิจจ้างวานให้คนนำสมบัติที่สะสมไว้กลับไปส่งที่บ้าน
  “ดูเหมือนว่าศึกจักรพรรดิที่จะเริ่มต้นขึ้นครั้งนี้ มีหลายคนที่เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว…”
  ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่ามีร่างหนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนข้างๆต้วนหลิงเทียน อีกฝ่ายกล่าวคำพลางส่ายหน้าไปมา
  “นายน้อยนิกายบูรพารุ่งโรจน์?”
  ต้วนหลิงเทียนที่กลับมารู้สึกตัว พอหันไปดู ก็พบว่าคนข้างๆไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น หัวเทียนตู้ นายน้อยนิกายบูรพารุ่งโรจน์
  พอหัวเทียนตู้ได้ยินคำทักของต้วนหลิงเทียน มันก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ “ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้พวกเราล้วนอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ด้วยกัน เช่นนั้นขอท่านอย่าได้เรียกข้าเช่นนั้นอีกเลย…ท่านเรียกหาข้าเสียเต็มยศเช่นนั้น หรืออยากให้ข้าเรียกหาท่านว่า ‘อาคันตุกะทรงเกียรติต้วนแห่งตระกูลหลิงหู’ ด้วยเล่า?”
  เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเป็นอาคันตุกะทรงเกียรติของตระกูลหลิงหู ไม่ใช่ความลับอะไร
  ได้ยินคำพูดดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะคิดว่าหากถูกเรียกเต็มยศแบบนั้นมันก็น่ารำคาญจริงๆ และในเมื่ออีกฝ่ายต้องการแบบนั้นเขาเองก็เห็นด้วย “ก็นะ”