ได้ยินคำตอบรับของต้วนหลิงเทียน รอยยิ้มก็คลี่กางขึ้นบนใบหน้าหัวเทียนตู้ “จริงสิ ต้วนหลิงเทียนดูเหมือนว่าท่านกับข้าจะตัดสินใจเลือกถูกต้องแล้ว…นิกายมังกรสวรรค์นับว่าไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ”
“ท่านมั่นใจขนาดนั้นเชียว”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
เขาย่อมรู้เป็นธรรมดา ว่าคำ ‘นิกายมังกรสวรรค์ไม่ทำให้ผิดหวัง’ ที่หัวเทียนตู้พูดหมายถึงอะไร มันก็คือ ‘ศึกจักรพรรดิ’ ที่นิกายมังกรสวรรค์กำลังจะทำ
“แน่นอน”
หัวเทียนตู้ก็ไม่มีถ่อมตัว มันพยักหน้ารับแข็งขัน “ตัวตนระดับราชาเทพในนิกายมังกรสรรค์แห่งนี้ นอกจากท่านแล้วก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำให้ข้าหัวเทียนตู้กริ่งเกรงได้”
“ว่าแต่ต้วนหลิงเทียน ท่านสนใจจะร่วมมือกับข้าในศึกจักรพรรดิหรือไม่?”
หัวเทียนตู้ยิ้มถาม “หากพวกเราร่วมมือกัน ข้าเชื่อว่าพวกเราสามารถกวาดล้างสนามรบราชาเทพได้แน่นอน”
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้วัตถุประสงค์การเข้ามาทักของหัเทียนตู้เสียที ที่แท้อีกฝ่ายอยากจะร่วมมือกับเขา “ไฉนต้องร่วมมือกับข้าด้วยเล่า ในนิกายมังกรสวรรค์ดูเหมือนนอกจากข้าแล้ว ยังมีคนที่เข้าใจกฏไม่ด้อยไปกว่าข้าหรือท่านอยู่อีกนี่”
ในนิกายมังกรสวรรค์ ศิษย์แต่ละคนก็ไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าเขากับหัวเทียนตู้จะโดดเด่นในการแข่งขันมังกรซ่อนเป็นพิเศษ จนเป็นที่สนใจของนิกายมังกรสวรรค์
อย่างไรก็ตาม ในนิกายมังกรสวรรค์แห่งนี้ ยังมีตัตนขอบเขตราชาเทพอีก 2-3 คนที่แข็งแกร่งไม่ด้อยกว่าพวกเขาทั้งคู่…คนเหล่านั้นนับว่ามีเข้าใจในกฏไม่ด้อยไปกว่าหัวเทียนตู้เลย ยังอาจจะเทียบได้กับเขาด้วยซ้ำ
แต่เป็นธรรมด่าที่เทียบได้กับเขานั้น มันเท่าที่เขาเปิดเผยความสามารถออกมาเท่านั้น เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการ และแทบจะบรรลุถึงการเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการได้สมบูรณ์
แต่ไม่มีใครล่วงรู้เลย ว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมา มันก็แค่ส่วนหนึ่งของพลังเท่านั้น
“ยังอีกนานกว่าที่ศึกจักรพรรดิจะเริ่มต้นขึ้น ไว้ว่ากันวันหลังดีกว่า”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่แน่กว่าจะถึงตอนนั้น ข้าอาจจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว”
จอมราชันเทพ!?
คำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ทำให้มุมปากของหัวเทียนตู้กระตุกขึ้นมาตงิดๆ เพราะถึงแม้จะเป็นตัวมันเอง ก็ไม่มั่นใจว่าจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพได้ทัน แม้จะได้รับโอสถเทพทะลวงราชันมาแล้วก็ตามที
เพราะโอสถเทพทะลวงราชันนั้น สรรพคุณของมันก็คือการขจัด ‘จุดรอคอย’ สุดท้ายของด่านพลังราชาเทพขั้นสูงสู่จอมราชันเทพขั้นต่ำเฉยๆ แต่เรื่องที่คิดจะบ่มเพาะพลังจากราชาเทพขั้นสูงไปถึงจอมราชันเทพขั้นต่ำ แม้จะไม่มีจุดรอคอยดำรงอยู่ ก็จะต้องใช้เวลาสั่งสมบ่มเพาะพลังเช่นกัน
มันกล้าพูดก็แต่ มั่นใจว่าจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพได้ภายใน 100 ปีเท่านั้น
แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับบอกมันว่า อาจจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพได้ในเวลาแค่ 5 ปี?
“เช่นนั้นข้าจักรอดู”
หัวเทียนตู้คลี่ยิ้มสุภาพพลางตอบ แต่ในใจมันตัดสินไปแล้วว่าคำพูดของต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างอะไรจากการปฏิเสธมันอย่างละมุนละม่อม
และหัวเทียนตู้ที่เข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนตอบปฏิเสธมันมอย่างสุภาพ ก็รู้สึกเสมือนบรรยากาศกลายเป็นอึดอัดขึ้นมา เช่นนั้นหลังจากคุยกับต้วนหลิงเทียนอีกไม่กี่คำ มันก็ลาจาก
กระบวนการดังกล่าว ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงความคิดหัวเทียนตู้อยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรออกมา
เพราะในความเห็นเขา ขอเพียงเขาทะลวงถึงราชาเทพขั้นสูงได้ในเวลาอันสั้น มันก็เป็นไปได้จริงๆที่เขาจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพภายใน 5 ปี!
แต่เป็นธรรมดาว่าที่เขาตอบไปแบบนั้น ก็มีเหตุผลบางอย่างแฝงอยู่เช่นกัน และนั่นก็คือการปฏิเสธหัวเทียนตู้กลายๆ
เพราะในศึกจักรพรรดิ เขาไม่คิดจะร่วมมือกับใคร
หากเขาร่วมมือกับใคร เช่นนั้นของที่ได้ก็ต้องมาแบ่งกันอีก แถมเขายังไม่อาจลงมือได้ตามอำเภอใจ…นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาต้องการเลย
“หืม?”
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตุเห็นภารกิจหนึ่ง ที่ตัวตนระดับผู้อาวุโสมังกรขาวเป็นคนออก และภารกิจที่ว่า ขอเพียงนำโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดขนาดหนึ่งมาส่ง ก็จะสำเร็จลุล่วง
เรื่องของเรื่องก็คือ
โอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดในภารกิจ ต้วนหลิงเทียนมี!
เป็นโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดที่เขาเคยหลอม ตอนที่แอบออกจากตระกูลหลิงหู
โอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดที่ว่า มันไม่ได้มีผลในการส่งเสริมการฝึกฝนบ่มเพาะแต่อย่างใด สรรพคุณของมันก็คือช่วยรักษาชีพจรสวรรค์ที่เสียหายจากการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว
อันที่จริงไม่ต้องกล่าวถึงระนาบเทพ กระทั่งในระนาบเทวโลกเอง การบาดเจ็บที่ชีพจรสวรรค์นั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจแก้ไข เพราะไม่ว่าใครก็สามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง
เพียงแต่หากคิดจะรักษาด้วยตัวเอง มันต้องใช้เวลายาวนาน
เวลาที่ต้องมาเสียไปกับการฟื้นฟูรักษาที่ว่า มากพอจะเอาไปบ่มเพาะจนด่านพลังก้าวหน้าด้วยซ้ำ
เดิมที่ เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะหลอมโอสถเทพระดับราชาขนานนี้ตอนนั้น ก็เพราะโอสถเทพระดับราชาขนานนี้เป็น 1 โอสถเทพระดับราชาที่หลอมยากที่สุด
อีกทั้งโอสถเทพระดับราชาขนานนี้ หากไม่อาจหลอมมันออกมาให้เป็นขั้นสุดยอดได้ ก็ไม่ต่างอะไรจากหลอมล้มเหลว เพราะสรรพคุณของมันจะไม่เลิศล้ำถึงขั้นมีใครยอมซื้อ
‘โอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดแค่เม็ดเดียว…แต่อาวุโสมังกรขาวคนนี้ยินดีจ่ายคะแนนอุทิศให้ 10,000 แต้มเชียวหรือ’
หลังเห็นของรางวัลภารกิจ ต้วนหลิงเทียนก็อดเดาะลิ้นไม่ได้
ในนิกายมังกรสวรรค์นั้น คะแนนอุทิศมีค่ามาก เพราะหากมีมันมากพอก็สามารถนำไปแลกทรัพยากรบ่มเพาะรวมถึงวัตถุดิบหายากทั้งหลาย และมีทรัพยากรมากมายในนิกายมังกรสวรรค์ที่รับแต่คะแนนอุทิศเท่านั้น ไม่รับแลกด้วยหินเทพหรือผลึกเทพ
เหตุผลดังกล่าวก็เพราะนิกายคิดส่งเสริมให้เหล่าศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์หาคะแนนอุทิศ
อย่างเช่นอุปกรณ์เทพขั้นสูง นิกายมังกรสวรรค์ก็รับแลกแต่คะแนนอุทิศเท่านั้น ไม่อาจใช้หินเทพหรือผลึกเทพแลกเปลี่ยนได้ อีกทั้งอุปกรณ์เทพขั้นสูงของนิกายมังกรสวรรค์ ไม่อนุญาตให้ใครใช้คะแนนอุทิศแลกมันแล้วนำไปขายต่อกับคนอื่นเป็นหินเทพและผลึกเทพเด็ดขาด หากถูกพบเจอจะถูกปรับคะแนนอุทิศจำนวนมหาศาล มากถึงขั้นศิษย์ธรรมดาต้องใช้เวลานับพันปีเพื่อหามัน
‘อุปกรณ์เทพขั้นสูงมีราคาแค่ 5,000 คะแนนอุทิศเท่านั้น…แต่อาวุโสมังกรขาวคนนี้ ถึงกับยอมจ่ายคะแนนอุทิศถึง 10,000 แต้มเพื่อโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดแค่เม็ดเดียวจริงๆ?’
โดยปกติแล้ว มูลค่าของโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดนั้น มันไม่สูงเท่ามูลค่าของอุปกรณ์เทพขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม ให้เทียบกับอุปกรณ์เทพขั้นสูงแล้ว โอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดนั้นเป็นอะไรที่ประเมินค่ายากมาก เพราะในบางสถานการณ์มันอาจมีค่ากับผู้ที่ต้องการมันอย่างหาที่สุดไม่ได้
‘หากข้าไม่รับภารกิจนี้ ก็ถือว่าพลาดครั้งใหญ่จริงๆ’
ไม่ลังเลใจใดๆ ต้วนหลิงเทียนที่มองป้ายภารกิจแล้วเสร็จ ก็เร่งรุดไปต่อแถวที่สั้นที่สุด และราวๆหนึ่งเค่อเขาก็สามารถรับภารกิจที่ต้องการได้ อีกทั้งยังทำการส่งภารกิจทันที
“เป็นโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดจริงๆ!”
ด้านอาวุโสในตำหนักกิจการฝ่ายใน พอรับโอสถเทพที่ต้วนหลิงเทียนส่งมาตรวจสอบดูแล้วพบว่ามันเป็นโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดตามภารกิจจริงๆ มันก็อดอุทานออกมาไม่ได้
ทันใดนั้น ผู้คนมากมายก็มองมาทางนี้
และมีหลายคนที่จดจำต้วนหลิงเทียนได้ทันที “นั่นมัน ต้วนหลิงเทียนนี่!”
“หืม? เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นน่ะรึ ศิษย์ฝ่ายในคนใหม่ที่ได้อันดับ 1 ในการแข่งขันมังกรซ่อน?”
“ใช่แล้วเป็นเจ้านั่นไม่ผิดคน! ก่อนหน้านี้มันเป็นอาคันตุกะทรงเกียรติของตระกูลหลิงหูที่เป็นตระกูลระดับจอมราชันเทพ แถมสามารถหลอมโอสถเทพขั้นสุดยอดได้ตามอำเภอใจ…ไม่ทราบโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดที่ว่า จะใช่มันหลอมเองหรือไม่?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก! กระทั่งอดีตประมุขเฒ่าเอง ยังไม่มีความสามารถในการหลอมโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดออกมาด้วยซ้ำ”
“และต้องทราบด้วยว่า อดีตประมุขเฒ่าก็เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจอมราชันขั้นสูง ความสามารถในการหลอมโอสถไม่มีทางด้อยกว่าต้วนหลิงเทียนแน่!”
…
กลุ่มคนเริ่มกระซิบกระซาบกัน และฟังจากเสียงซุบซิบของพวกมันแล้ว เห็นชัดว่าต่างเชื่อกันว่าโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนไม่ได้หลอมขึ้นมาเอง
ด้านอาวุโสของตำหนักกิจการฝ่ายในที่ถือโอสถเทพคลี่คลายชีพจนขั้นสุดยอดอยู่ในมือ ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจถึงที่สุด “ต้วนหลิงเทียน โอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดเม็ดนี้…เจ้าหลอมเองหรือ?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนแม้จะได้ยินเสียงซุบซิบคลางแคลงสงสัยโดยรอบ แต่เขาก็ไม่สนใจทั้งไม่คิดจะแก้ต่างอะไร ทว่าพอโดนอาวุโสของตำหนักกิจการฝ่ายในเอ่ยถาม เขาก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร
และพอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สรรพเสียงโดยรอบก็เงียบลงทันที
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของผู้คนมากมาย ยังฉายความสงสัยไม่รู้จบ
“เฮ่ต้วนหลิงเทียน…เจ้าบอกว่าโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดเม็ดนั้น เป็นเจ้าหลอมมันด้วยตัวเองหรือ…หากเจ้ามีความสามารถเช่นนั้นจริง ไหนหลอมมันออกมาให้พวกเราดูหน่อย มิฉะนั้นพวกเราไม่มีทางเชื่อว่าเจ้าจักสามารถหลอมโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดอันเป็นหนึ่งในโอสถเทพระดับราชาที่นับว่าหลอมยากที่สุดได้!”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเหลืองขลิบทองออกตัวถาม ด้วยสีหน้าท่าทีไม่เชื่อ
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองมันผ่านๆ แต่ไม่ได้คิดจะตอบคำถามอะไรมัน จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับอาวุโสของตำหนักกิจการฝ่ายในเบื้องหน้าว่า “อาวุโส ท่านจะมอบคะแนนอุทิศให้ข้าได้หรือยัง”
ขณะกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ยื่นส่งป้ายประจำตัวของเขาออกไป มันเป็นป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์
คะแนนอุทิศจะถูกเก็บไว้ในป้าย
ดุจเดียวกับบัตรธนาคารในโกลเก่าของต้วนหลิงเทียน ป้ายประจำตัวนี้ไม่เพียงแต่ระบุตัวตนและฐานะของผู้ถือ ยังสามารถใช้สะสมและถ่ายโอนคะแนนอุทิศได้
“ข้าจะโอนให้เดี๋ยวนี้ล่ะ”
อาวุโสของตำหนักกิจการฝ่ายใน พอดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว มันก็รีรับป้ายประจำตัวที่ต้วนหลิงเทียนยื่นส่งมาให้ทันที จากนั้นไม่นานนักมันก็โอนคะแนนอุทิศ 10,000 แต้มให้ต้วนหลิงเทียนแล้วเสร็จ
ต้วนหลิงเทียนเมื่อได้รับคะแนนอุทิศแล้ว ก็ไม่สนใจสายตาสงสัยของผู้คนโดยรอบ ก้าวอาดๆไปอีกด้านหนึ่งของตำหนักกิจการฝ่ายใน ตั้งใจจะใช้คะแนนอุทิศที่ได้มาหาแลกอะไรดู
คะแนนอุทิศ 10,000 แต้ม สามารถใช้แลกเปลี่ยนอุปกรณ์เทพขั้นสูงได้ถึง 2 ชิ้น ซึ่งไม่ใช่น้อยๆเลย
“หึ!”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเหลืองขลิบทอง มองจ้องแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนครู่หนึ่ง ก็พ่นลมออกมาเสียงเย็น ก่อนจะตั้งใจกล่าวดูถูกออกมาเสียงดัง “ต้วนหลิงเทียน เพียงยอมรับมาเถอะว่าเจ้าคุยโว ไม่ใช่เจ้าไม่อยากพิสูจน์ตัวเองด้วยการหลอมโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดให้พวกเราดู แต่เพราะเจ้าไม่มีปัญญาหลอมมันต่างหาก!”
“พิสูจน์ตัวเอง?”
ได้ยินเสียงปรามาสที่ดังขึ้นด้านหลังคราวนี้ ต้วนหลิงเทียนชะงักเท้าเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินต่อไป แล้วกล่าคำออกมาโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง “เจ้านับเป็นตัวอะไร ไฉนข้าต้องไปพิสูจน์ตัวเองอะไรกับเจ้าด้วย”
“ในโลกภายนอก เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน เจ้าอย่าได้สำคัญตัวเองให้มันมากนัก”
เสียงกล่าวคำของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ดังอะไรมากมาย ทั้งยังกล่าวได้เป็นธรรมชาติให้ความรู้สึกดั่งเมฆคล้อยลมเคลื่อน
ด้านชายหนุ่มชุดเหลืองขลิบทอง ได้ยินดังนั้นสีหน้าของมันก็เปลี่ยนเป็นเขียวปั้ด มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งในแววตายังฉายชัดถึงความเย็นชา สองหมัดยังกำแน่นจนข้อขาวโดยไม่รู้ตัว
“ฮ่าๆๆๆๆ!!”
และทันใดนั้นเอง ก็มีชายหนุ่มที่พึ่งก้าวเข้ามาในตำหนักกิจการฝ่ายในคนหนึ่งระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ค่อยกล่าวว่า “หวงถิง ไม่ใช่ทุกคนในนิกายที่จะกริ่งเกรงเจ้าเพียงเพราะเจ้าเป็นศิษย์ของรองประมุขคนหนึ่ง…”
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ครั้งยังอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับก็ถึงกับฆ่าศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุด 2 ใน 4 คนที่มีอำนาจเหนือใครในนิกาย…เช่นนั้นเจ้าคิดว่าผู้อื่นเขาจะใส่ใจตัวตนของเจ้าหรือไม่?”
ฟังจากคำพูดของชายหนุ่มที่พึ่งปรากฏตัวคนนี้ เห็นชัดว่าล่วงรู้ความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนอย่างดี
ด้านหวงถิงที่ได้ยินวาจา ‘ราดน้ำมันลงกองไฟ’ ของชายหนุ่มผู้มาใหม่ ความเย็นชาในลูกตามันก็หายไป สีหน้ายังหวนคืนสู่ความสงบทันที “เซวียจิน เจ้าคิดว่าข้าจะโง่จนหลงเชื่อวาจายุแยงตะแคงรั่วนี้ของเจ้า?”
“หากว่าข้าจำไม่ผิด…ดูเหมือนศิษย์น้องของจ้งค่านที่น้องสาวเจ้าแต่งด้วย จะถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายกระมัง?”
“หากเจ้าคิดจะล้างแค้นให้น้องเขย เจ้าก็ลงมือของเจ้าเถอะ….ข้าไม่คิดตัดชุดแต่งงานให้เจ้าหรอกนะ”
หวงถิงกล่าวเย้ยเยาะ