หลังได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงสีหน้าจริงจังของติงเหยียน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
ที่สำคัญ เขายังเห็นความแน่วแน่ของติงเหยียนที่มีมากกว่าโหวชิ่งหนิงเสียอีก กล่าวได้ว่าตอนนี้ทั้งคู่เลือกจะยืนกรานไม่ไปกับเขา
“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม หากวันไหนพวกเจ้ารู้สึกกดดันและไปเองไม่ไหว อย่าได้ลืมนึกถึงข้าก็พอ มีอะไรเรียกหาข้าได้ทุกเมื่อ แล้วข้าจะไปหาพวกเจ้าเอง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับติงเหยียนและโหวชิ่งหนิง
“อีกเรื่องหนึ่ง…”
กล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็หยุดลง ก่อนจะยกยิ้มมีเลศนัยแล้วพูดต่อ “ถึงพวกเจ้าจะไปกับข้าจริง แต่ข้าเกรงว่าพวกเราคงไปลุยด้วยกันได้ไม่นาน…”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ติงเหยียนก็ตกใจเอ่ยถามออกมาโดยไม่รู้ตัว “ทำไมเล่า?”
ด้านโหวชิ่งหนิงก็อึ้งไปไม่ต่าง อย่างไรก็ตามคล้ายมันจะนึกอะไรได้ออก สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นหวาดผวาทันที “ต้วนหลิงเทียน…นี่เจ้าอย่าบอกนะ ว่าเจ้ากำลังจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว!?”
พอโหวชิ่งหนิงถามออกมาแบบนั้น ติงเหยียนก็ดึงสติกลับมาได้ทันที ยังหันไปมองรอฟังคำตอบจากต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
มู่หรงอวิ๋นเยว่ที่นั่งเงียบๆ ก็เผยท่าทีไม่ต่างจากทั้งคู่
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของโหวชิ่งหนิงทำให้ทุกคนตกใจแล้วจริงๆ
“ก็อีกราวๆปีสองปีได้…”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มสดใส
หลังได้รับคำยืนยันจากต้วนหลิงเทียน ทั้ง 3 ก็นั่งบื้อเป็นตัวโง่งมทันที
สหายผู้นี้จะขยันสร้างความตกใจให้ผู้คนเกินไปไหม?
ตอนที่พวกมันทั้ง 3 เป็นราชาเทพขั้นต่ำ ต้วนหลิงเทียนเป็นราชาเทพขั้นกลาง
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลายเป็นเทพขั้นสูงเข้าไปแล้ว แต่พวกมันยังคงเป็นราชาเทพขั้นต่ำเหมือนเดิม
แถมอีกปีสองปีที่ว่า พวกมันยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นกลางได้รึเปล่า…แต่ต้วนหลิงเทียนกลับอาจจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ? ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรทะลวงถึงราชาเทพขั้นสูงได้ไม่กี่ปีเองหรือไร?
“แยกย้ายๆ ข้าจะกลับไปบ่มเพาะพลังแล้ว!”
ติงเหยียนรู้สึกเหมือนจิตใจโดนทำร้ายอย่างบอกไม่ถูก จึงลุกขึ้นแล้วจ้ำอ้าวออกจากบ้านต้วนหลิงเทียนทันที
โหวชิ่งหนิงกับมู่หรงอวิ๋นเยว่หันมามองหน้าสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะพากันจากไปด้วย
แต่ไม่ว่าจะติงเหยียนหรือพวกโหวชิ่งหนิง ก่อนไปก็ไม่ลืมส่งเสียงผ่านพลังมาบอกต้วนหลิงเทียนว่า ไม่ต้องรอเข้าสู่ระนาบศึกจักรพรรดิจักรพรรดิพร้อมกัน เพราะพวกมันจะไปพร้อมกับกลุ่มเล็กๆของพวกมันเอง
หลังจากทั้ง 3 กลับไปหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหน้าเบาๆ กล่าวพึมพำว่า “จิตใจอ่อนแอกันขนาดนี้เชียว แค่นี่รับไม่ได้แล้วหรือ?”
“ไม่ใช่แค่จอมราชันเทพขั้นต่ำรึไง?”
“มันยากมากหรือ?”
พึมพำจบ ต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้น ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน
เมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์ด้านนอกที่วิ่งวุ่นเข้าออกตำหนักกิจการฝ่ายใน ต้วนหลิงเทียนแลดูสงบไม่รีบไม่ร้อน เพราะเขาตระเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาเขา ด้วยด่านพลังฝึกปรือในปัจจุบัน สนามรบระดับราชาเทพมันไม่ได้มีความท้าทายอะไรอยู่เลย…
…
ในเวลาเดียวกัน นิกายมหาเอกะเองก็ได้ประกาศแจ้งเรื่องที่ศึกจักรพรรดิจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นในอีก 3 วันหลังจากนี้เช่นกัน และเหมือนกับนิกายมังกรสวรรค์ ประมุขนิกายมหาเอกะก็ออกมาประกาศด้วยตัวเอง
ทั่วทั้งนิกายมหาเอกะก็เริ่มตื่นตัวกันใหญ่
อันที่จริงเมื่อเทียบกับนิกายมังกรสวรรค์แล้ว คนของนิกายมหาเอกะไม่ได้เตรียมความพร้อมสู้ศึกจักรพรรดิกันเลย เพราะไม่มีใครคิดว่านิกายของพวกมันอยู่ๆจะท้านิกายมังกรสวรรค์เปิดศึกจักรพรรดิแบบนี้
ในอดีตนิกายมังกรสวรรค์มักเป็นฝ่ายมาท้า แต่นิกายของพวกมันก็ขยันปฏิเสธไม่ใช่หรือ?
ไฉนคราวนี้เปลี่ยนจากผู้ถูกท้า ไปท้าผู้อื่นเขาได้เล่า!?
อย่างไรก็ตามแม้หลายๆคนจะไม่เข้าใจ แต่คนของนิกายมหาเอกะก็ไม่มีใครเป็นสัดใส่ข้าวใช้การไม่ได้ หลังจากตื่นตระหนกกันอยู่สักพัก พวกมันก็เริ่มยอมรับความจริงที่โหดร้ายดังกล่าว
ให้เทียบกับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์แล้ว ศิษย์ของนิกายมหาเอกะกลัวตายมากกว่า
อย่างไรก็ตาม คนที่กลัวตายย่อมตระเตรียมความพร้อมและระวังกว่าคนที่ไม่กลัว
…
เวลา 3 วันก็ได้ผ่านพ้นไปในพริบตา
ระนาบศึกจักรพรรดิจักรพรรดิกำลังจะเปิดให้ศิษย์นิกายมังกรสวรรค์และศิษย์นิกายมหาเอกะเข้าอย่างเป็นทางการ ใครก็ตามที่คิดจะเข้าไป ก็สามารถรอเข้าไปได้เลย
และเป็นธรรมดาที่ ไม่ว่าจะนิกายมังกรสวรรค์ก็ดี นิกายมหาเอกะก็ดี ย่อมมีคนจำนวนหนึ่งเฝ้าระวังอยู่ในนิกาย
แต่เรื่องเฝ้าระวังนิกาย ล้วนเป็นหน้าที่ของตัวตนระดับจอมราชันเทพขั้นกลางขึ้นไป
จอมราชันเทพขั้นต่ำ รวมถึงผู้ที่ยังอยู่ในขอบเขตราชาเทพ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
บริเวณหุบเขาที่ตั้งประตูทางเข้าสู่ระนาบศึกจักรพรรดิจักรพรรดิของนิกายมังกรสวรรค์ ก็ปรากฏผู้คนมารวมตัวกันมืดฟ้ามัวดินตั้งแต่เช้า ทั้งหมดรอเวลาให้ระนาบศึกจักรพรรดิจักรพรรดิเปิดอย่างเป็นทางการ
พอถึงยามเที่ยงตรง ประตูมิติก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลง ม่านพลังที่ปกคลุมไว้ได้สลายตัวไป
จากนั้นเหล่าอาวุโสรวมถึงเหล่าศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ ก็ทยอยกันเหินร่างข้ามผ่านประตูมิติ เข้าสู่ระนาบศึกจักรพรรดิจักรพรรดิ
คนแล้วคนเล่าโจนทะยานเหินร่างผ่านวังวนมิติสีดำ เทือกเขาที่เดิมมีคนอยู่กันเนืองแน่น ไม่นานนักก็หลงเหลือไม่กี่คน ส่วนใหญ่ได้หายเข้าไปในประตูมิติหมดแล้ว
และด้วยความที่มีผู้คนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก แม้จะเหินร่างกันฉับไวแค่ไหน แต่ก็ต้องใช้เวลาไปกว่าเสี้ยวชั่วยามก่าจะเข้าไปกันหมด
ในตอนนี้ก็เหลือแต่ผู้ที่เดินทางมาถึงประปราย เข้ากันไปทีละไม่กี่คน
ซัว!
ร่างในชุดสีม่วงหนึ่ง วูบมาปรากฏเหนือน่านฟ้าแนวเทือกเขา ก่อนจะมองไปยังประตูมิติเบื้องหน้า สองตาเผยประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “นี่น่ะหรือประตูมิตินำไปสู่ระนาบศึกจักรพรรดิ”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดจะเข้าไปในประตูมิติ หลังจากไม่กี่คนที่กำลังเข้าไปเบื้องหน้า
พลันมีเสียงหนึ่งดังเข้าหูเขาเสียก่อน “เสี่ยวเทียน”
พอต้วนหลิงเทียนหันกลับไปมองตามเสียง เขาก็เห็นตงฟางเหยียนเหนียนลอยร่างอยู่ไม่ไกล และกำลังมองส่งยิ้มมาให้เขา อีกทั้งข้างกายของตงฟางเหยียนเหนียนยังมีสตรีที่มีรูปโฉมงดงามท่วงท่าลักษณะยังแลดูสง่า
นอกจากนั้นบริเวณเอวที่คอดกิ่วของอีกฝ่ายก็มีป้ายผู้อาวุโสมังกรขาวห้อยแขวนเอาไว้
ต้วนหลิงเทียนก็สามารถคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้ตั้งแต่แรกเห็น สมควรเป็น ‘โอวหยางเสวี่ยลี่’ ภรรยาของตงฟางเหยียนเหนียน ซึ่งเป็นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์
“พี่เหยียนเหนียน”
ร่างต้วนหลิงเทียนวูบหายไปด้วยความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ก่อนจะปรากฏตัวเบื้องหน้าตงฟางเหยียนเหนียนกับภรรยา หลังทักตงฟางเหยียนเหนียนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองสตรีข้างกายอีกฝ่าย “นี่คือพี่สะใภ้กระมัง?”
“ฮ่าๆๆ”
ตงฟางเหยียนเหนียนหัวเราะ “ดูเหมือนไห่ชวนมันจะบอกเจ้าแล้วสินะ”
“มิผิด นี่คือภรรยาของข้าเอง โอวหยางเสวี่ยลี่”
“ลี่เอ๋อ นี่ก็คือต้วนหลิงเทียนอย่างไรเล่า ตอนนี้ผู้อื่นเขามีชื่อเสียงโด่งดังกว่าข้าและไห่ชวนเสียอีก”
คงฟางเหยียนเหนียนกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะ
“ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ต้วน”
โอวหยางเสวี่ยลี่ส่งยิ้มพลางพยักหน้าทักทายต้วนหลิงเทียน “ชีพจรสวรรค์ของเสวี่ยลี่สามารถฟื้นฟูหายดีได้ทันก่อนศึกจักรพรรดิจะเริ่ม ทั้งหมดเป็นเพราะโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอดของปรมาจารย์ต้วน”
“ขอบคุณปรมาจารย์ต้วน”
เผชิญหน้ากับท่าทีสุภาพและท่าทางซาบซึ้งบุญคุณของโอวหยางเสวี่ยลี่ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ “พี่สะใภ้ ทำไมต้องห่างเหินนักเล่า ท่านมาพูดสุภาพกับข้าทำไมเล่า”
“พี่เหยียนเหนียนกับข้าเป็นสหายกัน แถมข้ายังนับถือเป็นพี่ชาย ในเมื่อท่านเป็นพี่สะใภ้ของข้า เช่นนั้นก็เรียกข้าว่าเสี่ยวเทียนเหมือนพี่เหยียนเหนียนอย่างเป็นกันเองเถอะ”
น้ำเสียงขณะกล่าวของต้วนหลิงเทียน ยังแฝงไว้ด้วยความจนปัญญาอยู่บ้าง
เมื่อโอวหยางเสวี่ยลี่ได้ยินดังนั้น นางก็ยิ้มฝืนๆออกมา ทันใดนั้นตงฟางเหยียนเหนียนก็ช่วยกล่าวแทนนางว่า “ต้วนหลิงเทียน พี่สะใภ้ของเจ้าคนนี้ต่างจากข้าและไห่ชวน นางเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยพบปะผู้อื่น รอให้นางทำความคุ้นเคยกับเจ้าไปสักพักก่อน เดี๋ยวนางก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”
“เป็นแบบนี้นี่เอง เป็นข้าเข้าใจพี่สะใภ้ผิดไป”
ต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้ทันที
“ว่าแต่เสี่ยวเทียน นี่เจ้ากำลังจะเข้าไประนาบศึกจักรพรรดิรึ?”
ตงฟางเหยียนเหนียนยิ้มถาม
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็คล้ายนึกอะไรได้ออก จึงหันไปมองถามตงฟางเหยียนเหนียนว่า “พี่เหยียนเหนียน ศิษย์นิกายที่อยู่ในขอบเขตราชาเทพ นอกจากผู้อาวุโสกับเหล่าศิษย์ที่ดูแลกิจการด้านนอกแล้ว ทั้งหมดต้องฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะในขอบเขตเดียวกัน 1 คนภายใน 3 เดือน…”
“ขอบเขตจอมราชันเทพของท่าน มีภารกิจทำนองนี้ด้วยหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนที่นึกขึ้นได้ว่าเคยสงสัยเรื่องนี้วันก่อน ก็เอ่ยถามออกมา
ราชาเทพนั้นไม่เป็นอะไร เพราะทั้งสองนิกายมีศิษย์ในขอบเขตนี้มากมาย
แต่จอมราชันเทพ ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น
“ไม่มี”
ตงฟางเหยียนเหนียนส่ายหัวไปมา “อันที่จริงภารกิจบังคับที่ว่า มีแต่ในขอบเขตราชาเทพเท่านั้น ทั้งหมดเพราะนิกายกังวลว่าศิษย์ในขอบเขตราชาเทพจะหย่อนคล้อย และเอาแต่ซ่อนตัวยามอยู่ในสนามรบราชาเทพ”
“ปกติแล้ว ตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพ ไม่มีใครคิดทำอะไรแบบนั้น”
“เพราะสำหรับตัวตนในขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว ศึกจักรพรรดินับเป็นโอกาสอันดี ขอเพียงมีแต้มรบมากพอ ก็สามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับทรัพยากรล้ำค่าที่ส่งผลต่อการบ่มเพาะฝึกฝนได้ง่ายๆ เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าผลไม้เทพสำหรับตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพมันหายากขนาดไหน แล้วไหนจะยังมีโอสถเทพที่ในสถานการณ์ปกติได้แต่ฝันกันอีก ไม่ต้องกล่าวถึงนำไปแลกเวลาเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏกับลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกผู้ใช้กฏที่เข้าใจเลย”
“และทุกคนที่ทะลวงมาถึงขอบเขตจอมราชันเทพ ยกเว้นเหล่าอัจฉริยะที่ร้ายกาจเยี่ยงปีศาจไม่กี่คน ส่วนใหญ่แล้วย่อมตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของหายนะสวรรค์ที่เพิ่มพูขึ้นทุกๆรอบพันปี ภายใต้แรงกดดันดังกล่าว ยังมีใครไม่อยากแสวงหาความแข็งแกร่งเพื่อเอาตัวรอดอีกเล่า?”
“และไม่ต้องมองไกลถึงทั้งเขตคฤหาสน์ตงหลิง เอาแค่นิกายมังกรสวรรค์เรา ไฉนถึงไม่มีตัวตนระดับจักรพรรดิเทพปรากฏขึ้นมาหลายปีดีดัก…ทั้งหมดเพราะผู้ที่คาดว่าน่าจะทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพ ล้วนถูกหายนะสวรรค์ทุกรอบพันปีฆ่าตายไปหมดสิ้น”
“หายนะสวรรค์ทุกรอบพันปีนั้น มันจะค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…สำหรับศิษย์ในขอบเขตราชาเทพนั้น หายนะทีเผชิญมันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นภัยคุกคามอะไร ตอนนี้ทุกคนก็เลยไร้ความรู้สึกกดดันดังกล่าว”
“แต่สำหรับจอมราชันเทพแล้ว เรื่องนี้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
…
หลังได้ฟังคำพูดของตงฟางเหยียนเหนียน ต้วนหลิงเทียนก็ผงะไปเล็กน้อย เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ
เหล่าจอมราชันเทพทั้งหลายโดยเฉพาะจอมราชันเทพขั้นสูง ไม่มีใครเกี่ยงที่จะแสวงหาความก้าวหน้า แม้ตอนแรกจะมีหวาดกลัวศึกจักรพรรดิอยู่บ้าง แต่พอทำใจได้แล้ว ทุกคนก็คาดหวังว่าจะเข้าไปแล้วพบเจอโอกาสก้าวหน้าทั้งสิ้น
เพราะถ้าบังเกิดความก้าวหน้า ก็หมายความว่าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้หลายพันปี กระทั่งบางคนยังคาดหวังว่าจะอาศัยแรงกดดันจากการต่อสู้เป็นตายเป็นแรงผลักดัน ทะลวงขีดจำกัด ก้าวข้ามขอบเขตจอมราชันเทพไปยังขอบเขตจักรพรรดิเทพ
“ปรมาจารย์ต้วน นี่ท่านทะลวงถึงราชาเทพขั้นสูงแล้วหรือ?”
ทันใดนั้นเองโอวหยางเสวี่ยลี่ที่ลอยร่างข้างๆตงฟางเหยียนเหนียน ก็เอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
ถึงแม้โอวหยางเสวี่ยลี่จะไม่ได้ใช้สำนึกเทวะตรวจสอบพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียน แต่เมื่อครู่ตอนที่ต้วนหลิงเทียนใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติ จะมากจะน้อยก็ต้องมีร่องรอยพลังเทพที่ใช้ออกบางเบา
และพอโอวหยางเสวี่ยลี่พูดจบ ตงฟางเหยียนเหนียนก็แผ่สำนึกเทวะออกมาตรวจสอบต้วนหลิงเทียนอย่างไม่เกรงใจ จนเมื่อตระหนักถึงแรงต้านทานของพลังวิญญาณต้วนหลิงเทียน มันก็อึ้งไปทันที
หลังจากนั้นสักพัก มันก็มองต้วนหลิงเทียนพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้าล่ะไม่แปลกใจเลยที่ไห่ชวนมันบอกว่าเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดหรือตัวบิดเบือน…นับว่ามันกล่าวได้ถูกเผงจริงๆ”
“เจ้าพึ่งจะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพได้นานแค่ไหนกัน? มาตอนนี้เจ้ากลับทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นสูงแล้ว แถมเจ้าไม่เพียงแต่จะควบรวมปรับด่านพลังให้เสถียรมั่นคง ยังเริ่มสั่งสมพลังไปได้ไม่น้อย จนห่างจากขอบเขตจอมราชันเทพไม่ไกลแล้ว!”
“โชคดีที่ข้าไม่ได้รู้จักเจ้าตอนยังเยาว์ หาไม่แล้วอาจทำให้ข้าหมดกำลังใจจะฝึกเอาง่ายๆ”
“สหายของเจ้าช่างน่าสงสารเหลือเกิน ที่เป็นเพื่อนกับสัตว์ประหลาดเช่นเจ้า”
ตงฟางเหยียนเหนียนกล่าวพึมพำออกมา ยังลอบเวทนาสหายต้วนหลิงเทียนในใจ
“ก็แค่โชคดีน่ะ ข้าไปก่อนนะพี่เหยียนเหนียน พี่สะใภ้”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็กล่าวลาตงฟางเหยียนเหนียนกับโอวหยางเสวี่ยลี่ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เหินร่างเข้าสู่ประตูมิติ พริบตาร่างเขาก็จมหายไปในวังวนสีดำ