หลังผ่านประตูมิติจนมาถึงระนาบศึกจักรพรรดิแล้ว สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายทันที เพราะเขาพบว่าตัวเองได้มาปรากฏตัวอยู่ในเมืองที่แลดูงดงามทั้งแปลกตาเมืองหนึ่ง
  และเมืองนี้พื้นถนนได้ปูกระเบื้องอย่างดี ไม่ว่าจะถนนหนทางหรืออาคารปลูกสร้างทั้งหลาย แลดูใหม่เอี่ยมอ่อง ไม่บอกก็รู้ว่าพึ่งสร้างขึ้นไม่นาน
  “ต้วนหลิงเทียน!”
  พอต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้น ก็มีหลายคนที่สังเกตเห็นและกล่าวทักทายเขา คนที่เอ่ยทักเขาส่วนใหญ่ก็เป็นศิษย์ใหม่ที่เข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์พร้อมต้วนหลิงเทียน
  ส่วนใหญ่ยังเป็นศิษย์ฝ่ายในอีกด้วย มีศิษย์ฝ่ายนอกอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
  ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มตอบคนที่ทักเขา ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของอีกฝ่ายก็ตามที
  ในบรรดาคนเหล่านี้ ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้วนหลิงเทียนคุ้นๆหน้า
  “เฮ่ พวกเราชวนต้วนหลิงเทียนมาร่วมกลุ่มด้วยดีไหม ด้วยพลังฝีมือของมัน เรื่องเข้าไปในสนามรบราชาเทพก็ไม่มีอะไรที่พวกเราต้องกลัวแล้ว”
  ห่างออกไปไม่ไกลนัก ก็มีศิษย์ฝ่ายในขอบเขตราชาเทพขั้นกลางคนหนึ่งหันไปถามความเห็นคนที่ยืนอยู่โดยรอบ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มที่จะเข้าไปลุยสนามรบราชาเทพ
  พวกมันได้ตกลงจะเข้าสู่สนามรบราชาเทพด้วยกัน เพื่อคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยให้คนในกลุ่มทำภารกิจพื้นฐานให้เสร็จก่อน จากนั้นก็ร่วมมือกันเพื่อหาแต้มรบให้มากขึ้น ค่อยเอาไปแลกกับของที่ต้องการในเมืองสันติ
  “เจ้าคิดจะชวนต้วนหลิงเทียนเข้ากลุ่ม ก็ไปชวนเองเถอะ…เจ้าคิดว่ามันโง่หรือไร ด้วยพลังระดับมัน ไม่จำเป็นต้องมาร่วมมือกับพวกเราเลย…”
  ศิษย์ฝ่ายในขอบเขตราชาเทพขั้นกลางอีกคนข้างๆส่ายหัวไปมา พลางกล่าวว่า “ในแง่พลังต่อสู้ ต้วนหลิงเทียนคนเดียวก็มากพอจะถล่มกลุ่มของพวกเราให้ย่อยยับได้ง่ายๆ…มันมาเข้ากลุ่มพวกเรา สำหรับพวกเราก็เป็นเรื่องดี แต่กับมันไม่เพียงแต่จะอันตราย ยังไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย”
  “เจ้าลองคิดดูเถอะ หากเจ้าเก่งเหมือนมัน มีพลังร้ายกาจสุดที่ตัวตนใต้ขอบเขตจอมราชันเทพคนไหนในนิกายมังกรสวรรค์จะสู้ได้ จะเลือกมาร่วมมือกับกลุ่มของพวกเราที่เป็นใครก็ไม่รู้อยู่อีกหรือไม่?”
  ด้วยมีสหายคอยกล่าวเตือนให้ได้สติ ศิษย์ฝ่ายในคนแรกที่เอ่ยเสนอออกมาก็เงียบไปทันที จากนั้นมันก็ไม่คิดจะชวนต้วนหลิงเทียนอีก
  แน่นอนว่ามีหลายคนที่รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีความจำเป็นต้องร่วมมือกับกลุ่มของตัวเอง แต่พวกมันก็ยังรวบรวมความกล้าออกมาถามดูก่อน “ต้วนหลิงเทียน พวกเรามีกัน 3 คนเป็นราชาเทพขั้นสูง 1 ราชาเทพขั้นกลาง 2 เจ้าสนใจไปสนามรบราชาเทพกับพวกเรารึเปล่า?”
  “หลังจากทำภารกิจพื้นฐานแล้วเสร็จ แต้มรบที่พวกเราได้มาหลังจากนั้นจะเป็นของเจ้าครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งที่เหลือพวกเรา 3 คนจะเอาไปแบ่งกันเอง”
  พอคนผู้นี้เปิดปากออกมา ไม่เพียงแต่มันจะชวนต้วนหลิงเทียนเพื่อให้มาร่วมมือกันเท่านั้น แต่มันยังเอื้อประโยชน์ให้ต้วนหลิงเทียนมากกว่าอีกด้วย
  หลังทำภารกิจพื้นฐานเสร็จ แต้มรบที่หาได้ครึ่งหนึ่งเป็นของต้วนหลิงเทียน ส่วนอีกครั้งหนึ่งพวกมัน 3 คนจะแบ่งกันเอง
  ต้องบอกว่าเป็นข้อเสนอที่เอื้อประโยชน์ให้ต้วนหลิงเทียนมากจริงๆ
  อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอเอื้อประโยชน์ดังกล่าว มีหลายคนที่ได้ยินแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ฟังดูดีจริงๆ…แต่ถ้าต้วนหลิงเทียนเข้ากลุ่มพวกมันจริงๆ น่ากลัวทุกสิ่งอย่างในสนามรบราชาเทพพวกมันจะเอาแต่พึ่งต้วนหลิงเทียน”
  “นั่นสิ สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว มีพวกมันไปด้วยก็เหมือนไม่มี”
  “เว้นเสียแต่จะเป็นหัวเทียนตู้ ศิษย์ฝ่ายในที่โดดเด่นที่สุดของนิกายมังกรสวรรค์เราดุจเดียวกับต้วนหลิงเทียน หรือเหล่าศิษย์มังกรฟ้า หาไม่แล้วคนอื่นคิดร่วมมือกับต้วนหลิงเทียนก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น”
  …
  ในระหว่างที่ศิษย์รอบๆกำลังกระซิบกระซาบคุยกัน ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวปฏิเสธออกไป “พอดีข้าคิดจะเข้าไปในสนามรบราชาเทพคนเดียวน่ะ และไม่คิดจะร่วมมือกับใคร”
  ประโยคนี้ประโยคเดียวได้ดับความหวังของกลุ่มอื่นๆที่คิดมาชักชวนต้วนหลิงเทียนหมดสิ้น
  บางคนที่คิดจะลองดูเผื่อฟลุค ก็ไม่คิดเสียเวลามาชวนเขาอีก
  จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เดินจากไปท่ามกลางสายตาทุกคน
  “ต้วนหลิงเทียนคิดจะลุยเดียวในสนามรบราชาเทพจริงๆ มันคงมั่นใจในพลังฝีมือตัวเองมากสินะ”
  “เหอะๆ ด้วยความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน มันมีทุนรอนจะพูดแบบนี้จริงๆ”
  “ศิษย์นิกายมหาเอกะที่พบเจอต้วนหลิงเทียนในสนามรบ ข้าว่าพวกมันคงดวงกุดแล้วล่ะ”
  …
  เมื่อแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนหายไปจากสายตา หลายๆคนก็อดคุยกันไม่ได้อยู่สักพัก และพวกมันก็ย่องความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนกันอย่างออกรส
  ต้วนหลิงเทียนไม่รู้ว่าเหล่าศิษย์กำลังคุยอะไรกัน หลังจากเขาเดินออกจากเคลื่อนย้ายของเมืองมังกรสวรรค์แล้ว เขาก็เริ่มเดินดูไปรอบๆเมืองมังกรสวรรค์
  เมืองมังกรสวรรค์แห่งนี้ ก็แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนต่างๆ มีพื้นที่สำหรับเป็นที่พักของศิษย์ฝ่ายในเช่นกัน และลักษณะบ้านพักก็เหมือนกับบ้านลานของศิษย์ฝ่ายที่นิกายมังกรสวรรค์เลย
  บ้านลานรูปทรงเรียบง่าย มีรั้วกั้นแบ่งเป็นหลังๆแลดูมีความส่วนตัว มองไปคล้ายหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ้าง และหน้าบ้านลานแต่ละหลังก็มีป้ายศิลาว่างๆเอาไว้ ป้ายศาหน้าบ้านบางหลังก็มีชื่อคนสลักเอาไว้
  “มีศิษย์ฝ่ายในเข้าที่พักแล้วไม่เท่าไหร่เลย…”
  เห็นป้ายโล่งมากกว่าที่มีคนสลักชื่อ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา
  หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เห็นเหล่าศิษย์ฝ่ายในจับกลุ่มคุยกันในลาน คล้ายจะปรึกษากลยุทธ์ บางคนก็พึ่งมาถึงและจับจองบ้านพัก
  “ที่นี่ไม่เหมาะกับการฝึกฝน”
  ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้มาสักพักแล้ว ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินแถวนี้มันช่างเบาบางเหลือเกิน เลวร้ายยิ่งกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินเฉลี่ยในระนาบเทวโลกเสียอีก ไม่ต้องกล่าวถึงระนาบเทพเลย
  ‘ดูเหมือนว่าหากผู้คนที่นี่คิดฟื้นฟูพลังเทพ ก็จำต้องใช้โอสถเทพหรือหินเทพรวมถึงผลึกเทพถ่ายเดียว…คิดจะดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อฟื้นฟูพลังเทพด้วยตัวเอง อาศัยพลังวิญญาณฟ้าดินหรองแหรงแบบนี้เสียเวลาตาย’
  ต้วนหลิงเทียนเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
  ตุบ!
  ต้วนหลิงเทียนพึ่งเดินมาถึงหน้าบ้านลานแห่งหนึ่ง ที่ทำเลที่ตั้งค่อนข้างดี
  แต่พร้อมกันนั้นเอง ก็มีร่างหนึ่งที่พึ่งโรยตัวลงมาจากฟ้าเช่นกัน
  “หืม?”
  ต้วนหลิงเทียนมองไปยังคนที่มาถึงหน้าบ้านพร้อมๆเขา ก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์ฝ่ายในเหมือนกันจากป้ายประจำตัว
  ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองไป อีกฝ่ายก็มองมาทางต้วนหลิงเทียนเช่นกัน มันทำตาโตครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้มเก้อเขิน “ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน หากท่านถูกใจบ้านหลังนี้ ข้าให้ท่านเลย…ข้าไปหาบ้านอื่นก็ได้”
  ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จักอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้จักต้วนหลิงเทียน
  ปัจจุบัน ชื่อเสียงรวมถึงลักษณะของต้วนหลิงเทียนนั้น ระดับต่ำยันสูงส่วนใหญ่ของนิกายมังกรสวรรค์ล่วงรู้หมดสิ้น ขอเพียงไม่ใช่คนที่เอาแต่ปิดด่านบ่มเพาะจนตัดขาดโลกภายนอกมานาน ไม่ว่าจะฝ่ายในหรือฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์ก็รู้จักเขาทั้งนั้น
  “ขอบใจเจ้า”
  ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกจะหลีกทางให้แต่โดยดี ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ากล่าวคำขอบคุณด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็สลักชื่อลงบนป้ายศิลาหน้าบ้านทันที
  ตัวอักษร 3 ตัว ‘ต้วน หลิง เทียน’ ถูกสลักลงบนป้ายศิลาเรียบร้อย
  จากนี้ต่อไป ที่นี่จะเป็นสถานที่พักของเขาในระนาบศึกจักรพรรดิ
  หลังจากเดินเข้าไปดูสภาพภายในบ้านลาน เขาก็พบว่าไม่เพียงแต่แปลนบ้านด้านนอก กระทั่งผังบ้านด้านในก็เหมือนกับบ้านพักของศิษย์ฝ่ายในที่เขาเคยอยู่ จึงให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่เขาทันที
  “เมืองสันติก็สมควรอยู่ติดกับเมืองมังกรสวรรค์ อาศัยเดินไปก็ไม่ไกลเท่าไหร่กระมัง”
  หลังนั่งพักอยู่ในห้อง รวมถึงนำข้าวของเครื่องใช้ออกมาจัดวาง ต้วนหลิงเทียนก็เดินออกจากห้อง ยังออกไปหน้าบ้าน และสุ่มถามคนที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกของเมืองมังกรสวรรค์
  เมืองสันตินั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองมังกรสวรรค์ และอยู่ติดกันเลยก็ว่าได้
  ยิ่งไปกว่านั้นระยะทางจากเมืองมังกรสวรรค์ไปยังเมืองสันติ เรียกว่าใกล้กันมาก เรียกว่าสามารถลุถึงได้ในทันที กล่าวได้ว่าหากอยู่ในเมืองมังกรสวรรค์ ก็สามารถเดินทางไปถึงเมืองสันติได้ก่อนที่ใครจะทันรู้ตัว
  กล่าวได้ว่าหากใครมีความแค้นกับเพื่อนร่วมนิกา สามารถมือฆ่าอีกฝ่ายแล้วหนีไปเมืองสันติได้ทันที
  แน่นอนว่ากรณีเช่นนั้นแม้อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือแน่นอน
  เพราะถ้าลงมือแล้ว ยอดฝีมือของนิกายมังกรสวรรค์ที่เฝ้าอยู่ในเมืองมังกรสวรรค์ไม่มีวันนิ่งเฉยแน่
  ในเมืองมังกรสวรรค์นั้น มีตัวตนระดับอาวุโสมังกรทองอย่างน้อย 1 คนเฝ้าระวังอยู่…และนี่เป็นสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินจากเชวียไห่ชวน ก่อนจะเข้ามา
  ‘มีหลายคนที่เลือกไปเดินดูเมืองสันติก่อนเข้าที่พักสินะ…’
  ระหว่างเดินไปยังเมืองสันติ ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นคนมากมายกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกับเขา และไม่ได้มีแต่ศิษย์ฝ่ายในเท่านั้น ยังรวมไปถึงศิษย์ฝ่ายนอก ผู้ดูแลฝ่ายนอก,ฝ่ายใน อาวุโสฝ่ายนอก,ฝ่ายใน
  “หึ!”
  ทันใดนั้นเอง อยู่ๆก็มีเสียงพ่นลมสบถเย็นชาดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ยังดังประหนึ่งฟ้าร้องอีกด้วย
  ในขณะที่สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไป เขาก็หันไปมองคนที่จงใจสบถใส่เขาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะร่างชายคนหนึ่งที่ห้อยแขวนป้ายผู้อาวุโสมังกรขาวไว้ที่เอว
  ในบรรดากลุ่มคนที่กำลังมุ่งหน้าไปเมืองสันติ ก็มีมันเป็นผู้อาวุโสมังกรขาวแค่คนเดียว
  หลังจากอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงสายตาของต้วนหลิงเทียน มันก็เหลือบมามองเขาตาขวาง จากนั้นก็เบือนหน้าหนี คล้ายไม่แยแสต้วนหลิงเทียน ก่อนจะวูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาต้วนหลิงเทียน
  แม้เสียงพ่นลมสบถจะเพ่งเล็งไปที่ต้วนหลิงเทียนโดยเฉพาะ แต่คนอื่นก็ได้ยินเช่นกัน เพียงแค่ไม่ได้ดังก้องในหูเหมือนต้วนหลิงเทียนเท่านั้น
  จังหวะนี้ คนที่อยู่ไม่ไกลก็พร้อมใจกันหยุดลงอย่างพร้อมเพรียง
  ครู่ต่อมา ก็มีเสียงผ่านพลังหนึ่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน พอเขาหันไปดูก็พบว่าเป็นอาวุโสฝ่ายในคนหนึ่ง อีกฝ่ายกล่าวเตือนเขาว่า “ต้วนหลิงเทียน อาวุโสมังกรขาวที่สบถใส่เจ้าเมื่อครู่ ดูเหมือนจะเป็นอาวุโส หลิวหยิน”
  “อาวุโสหลิวหยินก็เป็นคนสายนิกายหมื่นปีศาจ…อืม หากจำไม่ผิดดูเหมือนในอดีตมันจะเคยเป็นประมุขนิกายหมอกเร้นลับด้วย เพียงแต่หลังจากการตายของลูกชายคนเดียว มันก็เลือกจะออกจากนิกายหมอกเร้นลับไปเข้าร่วมกับนิกายหมื่นปีศาจ”
  พอได้ยินคำเตือนจากอาวุโสฝ่ายในคนนี้ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที พอรู้สึกตัวเขาก็ตระหนักได้ทันที
  ที่แท้เป็นคนผู้นี้!
  ศัตรูของเชวียไห่ชวน!
  คนที่อยากจะฆ่าเชวียไห่ชาน พี่ชายของเชวียไห่ชวน!
  “เจ้ากับอาวุโสเชวียไห่ชวนสนิทกัน เช่นนั้นเจ้าคงรับทราบเรื่องราวความแค้นความบาดหมางระหว่างอาวุโสหลิวหยิน กับอาวุโสเชวียไห่ชวนแล้ว…หากข้าเดาไม่ผิด ที่มันเพ่งเล็งเจ้าเช่นนี้ ไม่พ้นเพราะเจ้าสนิทกับอาวุโสเชวียไห่ชวน”
  อาวุโสฝ่ายในกล่าวเตือนเพิ่มเติม
  “ขอบคุณอาวุโสที่กล่าวเตือน”
  อันที่จริงแม้อาวุโสฝ่ายในคนนี้จะไม่กล่าวเตือนเขา แต่ต้วนหลิงเทียนก็พอจะคาดเดาเหตุผลที่อีกฝ่ายเขม่นเขาได้ไม่ยาก หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
  อย่างไรก็ตาม แม้สาเหตุจะเป็นเพราะเขาสนิทกับเชวียไห่ชวนจริง แต่นั่นคงไม่ใช่ทั้งหมดแน่ เพราะในตอนนี้สายนิกายหมื่นปีศาจ ไม่พ้นต้องเห็นเขาเป็นศัตรูหมดทุกคนไปแล้ว
  ตั้งแต่ที่กวงเทียนเจิ้งไปเยือนตระกูลหลิงหูเพราะคิดฆ่าเขา นับว่าเขากับกวงเทียนเจิ้งไม่อาจอยู่ร่วมโลกใบเดียวกันได้อีก
  และในเมื่อกวงเทียนเจิ้งเป็นคของสายนิกายหมื่นปีศาจของนิกายมังกรสวรรค์ เช่นนั้นตราบใดที่สายนิกายหมื่นปีศาจไม่เลิกรา คนในสายนิกายหมื่นปีศาจก็เป็นศัตรูกับเขาเช่นกัน
  “อย่างไรก็ตาม ขอเจ้าวางใจได้เลย ในระนาบศึกจักรพรรดิ มันไม่กล้าลงมือกับเจ้าแน่”
  “เพราะหากมันลงมือ มันต้องตายสถานเดียว!”
  อาวุโสฝ่ายในยังคงกล่าวเตือนต่อไป
  สุดท้ายหลังจากอาวุโสฝ่ายในคนนี้กล่าวเตือนเรื่องที่เขาต้องระวังอีก 2-3 เรื่อง อีกฝ่ายก็แนะนำตัวเองให้เขารู้จัก…และทันทีที่เขาได้ยินคำแนะนำตัวเองของอีกฝ่าย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าไฉนอีกฝ่ายถึงหวังดีกล่าวเตือนเขามากมายนัก
  ที่แท้อีกฝ่ายกลับเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของตงฟางเหยียนเหนียนนี่เอง ทั้งคู่มีอาจารย์คนเดียวกันและสนิทกันพอสมควร เพียงแตพลังฝีมือของอีกฝ่ายอ่อนด้อยกว่าตงฟางเหยียนเหนียน สถานะในนิกายมังกรสวรรค์จึงไม่สูงเท่าตงฟางเหยียนเหนียน