“หลิวหยิ่น? มันยังไม่เปลี่ยนชื่ออีกรึ?”
(*แก้หลิวหยิน เป็นหลิวหยิ่น)
ก่อนหน้านี้ ต้วนหลิงเทียน รู้เพียงว่าอดีตประมุขนิกายหมอกเร้นลับ ไม่ยอมรับคำตัดสินของเหล่าอาวุโสระดับสูงในนิกายหมอกเร้นลับเรื่องเชวียไห่ชาน
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายที่หักหลังนิกายหมอกเร้นลับไปเข้าร่วมกับนิกายหมื่นปีศาจ จนในที่สุดก็มาเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ และไต่เต้ามาถึงระดับอาวุโสมังกรขาว
เพียงแค่เขาไม่รู้เลย ว่าอีกฝ่ายยังไม่เปลี่ยนชื่อที่ใช้สมัยยังเป็นประมุขนิกายหมอกเร้นลับ
นิกายหมอกเร้นลับมีกฏที่สืบทอดกันมาข้อหนึ่ง นั่นคือประมุขนิกายแต่ละรุ่นจำต้องละทิ้งชื่อเก่าของตัวเองไปก่อนขณะดำรงตำแหน่งประมุขนิกาย ต้องใช้ชื่อแซ่ที่มีคำว่า ‘หยิ่น’ ผสมอยู่ เพื่อเป็นตัวแทนของผู้ที่ควบคุมนิกายหมอกเร้นลับ
อย่างเช่นประมุขของนิกายหมอกเร้นลับคนปัจจุบัน ก็มีชื่อว่า “เฉียนหยิ่น”
เห็นได้ชัดว่าชื่อ หลิวหยิ่น นี้ไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง แต่เป็นชื่อที่มันเปลี่ยนมาใช้ตอนดำรงตำแหน่งประมุขนิกายหมอกเร้นลับ ทว่าหลังมันถอนตัวออกจากนิกายไปแล้ว มันกลับไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อเดิมของมัน…สิ่งนี้นับเป็นการท้าทายนิกายหมอกเร้นลับอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนก็คิดแบบนั้น
“ดูเหมือนอดีตประมุขนิกายหมอกเร้นลับผู้นี้ จะมีความคับข้องใจในนิกายหมอกเร้นลับมากจริงๆ”
พอนึกถึงท่าทีเกลียดชังที่หลิวหยิ่นมีต่อเขาเมื่อครู่ ก็ไม่ยากเลยที่ต้วนหลิงเทียนจะเดาได้ ว่าอีกฝ่ายเคียดแค้นเชวียไห่ชานถึงขนาดไหน ยังพาลเกลียดมาถึงเขาด้วยซ้ำ
แต่ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ นั่นเพราะเขาสนิทกับเชวียไห่ชวนที่เป็นน้องชายของเชวียไห่ชาน อีกทั้งเขายังมีเรื่องกับคนในสายนิกายหมื่นปีศาจของมังกรสวรรค์อย่าง กวงเทียนเจิ้ง อีก
“ศิษย์พี่ฟางอวี่ ก่อนที่ข้าจะเข้ามา พี่เหยียนเหนียนกับพี่สะใภ้เสวี่ยลี่ก็มาถึงหน้าประตูแล้ว…ท่านเข้ามาระนาบศึกจักรพรรดิครั้งนี้ ใช่คิดจะร่วมเดินทางต่อสู้กับพวกพี่เหยียนเหนียนหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มถาม
“เปล่า”
ฟางอวี่อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ ผู้กล่าวเตือนต้วนหลิงเทียน หรือก็คือศิษย์พี่ของตงฟางเหยียนเหนียน พอได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน มันก็คลี่ยิ้มบางๆพลางส่ายหัวไปมา “คู่นั้นมาด้วยกันแบบนี้ หากให้ข้าไปด้วย ข้าไม่กลายเป็นหลอดไฟหรือไร?”
ต้วนหลิงเทียนได้ยิน ก็อดหัวเราะไม่ได้
ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
หากฟางอวี่เข้าไปลุยสนามรบจอมราชันเทพกับตงฟางเหยียนเหนียนและโอวหยางเสวี่ยลี่จริง อีกฝ่ายไม่พ้นกลายเป็น ‘หลอดไฟ’ แน่นอน นึกสภาพคู่รักกำลังร่วมมือกันอย่างหวานซึ้ง ยามเดินทางก็สนทนาหยอกเย้ากันมุ้งมิ้ง แต่ข้างๆกลับมีฟางอวี่ที่ยืนหัวโด่ไม่รู้จะทำอะไร เพียงคิดก็รู้สึกอึดอัดใจแทนฟางอวี่แล้ว
หลังสนทนากันต่อไม่กี่คำ ด้วยมีตงฟางเหยียนเหนียนเป็นจุดเชื่อมสัมพันธ์ ต้วนหลิงเทียนกับฟางอวี่ก็คุ้นเคยกันในเวลาอันสั้น
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางไปเมืองสันติด้วยกัน
“ในเมืองมังกรสวรรค์กับเมืองสันติ เป็นไปไม่ได้เลยที่คนของนิกายมังกรสวรรค์อย่างเราๆจะเกิดเรื่อง กล่าวได้ว่าเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะโดนลอบจู่โจมสังหารอะไรพวกนั้น”
ระหว่างทาง ฟางอวี่ก็ยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนออกมาว่า “ในเมืองมังกรสวรรค์จะมีผู้อาวุโสมังกรทองเฝ้าระวังอย่างน้อย 1 คน ส่วนในเมืองสันตินั้น จะมีเหล่าจักรพรรดิเทพจากขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าของเขตคฤหาสน์ตงหลิงอยู่ หากใครมันกล้าก่อเรื่องล่ะก็…”
เอ่ยถึงจุดนี้ฟางอวี่ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับต้วนหลิงเทียนต่อด้ยการส่งเสียงผ่านพลัง “แม้แต่ตัวตนระดับอาวุโสมังกรทองของนิกายมังกรสวรรค์เรา ก็ไม่อาจหนีรอดความตายได้พ้น”
ตัวตนอันทรงพลังขอบเขตจักรพรรดิเทพ นั่งกันอยู่หลายคน ใครมันจะกล้าก่อเรื่อง?
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ เรื่องนี้แม้ฟางอวี่ไม่บอก เขาก็คิดได้
“แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้ง 3 เมืองจะปลอดภัยทั้งหมด เพราะหากคนนิกายมังกรสวรรค์ ดันล่วงล้ำเข้าไปในเขตเมืองมหาเอกะล่ะก็ ต่อให้ไม่ได้ทำความผิดอะไร อีกฝ่ายก็จะยัดเยียดข้อหาแล้วฆ่าทิ้งอยู่ดี กล่าวได้ว่าถึงตายก็ตายเปล่า”
กล่าวถึงจุดนี้ ฟางอวี่ ก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวเทียน ความสามารถในการรับรู้ทิศทางของเจ้าไม่มีปัญหาอะไรกระมัง?”
“ความสามารถในการรับรู้ทิศทาง?”
ต้วนหลิงเทียนอดแปลกใจไม่ได้ ด้วยไม่ทราบว่าไฉนอยู่ๆฟางอวี่ถึงถามเรื่องนี้ออกมา
“ก่อนศึกจักรพรรดิครั้งนี้ ในประวัติศาสตร์นิกายมังกรสวรรค์เรา เคยทำศึกจักรพรรดิมาแล้ว 2 ครั้ง”
ฟางอวี่กล่าวเล่า “และ 1 ใน 2 ศึกจักรพรรดิก่อนหน้า มีศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์เราคนหนึ่ง คนผู้นั้นดันหลงทิศและเดินเข้าเมืองของอีกฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัว เพราะคิดว่านั่นเป็นเมืองมังกรสวรรค์เรา…สุดท้ายก็เลยถูกอีกฝ่ายฆ่าตาย”
“แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็อ้างมาว่า ศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราผู้นั้น ได้บุกเข้ามาเข่นฆ่าคนของพวกมัน เช่นนั้นพวกมันก็แค่ป้องกันตัว…”
“อย่างไรก็ตามเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ใครมีหัวคิดหน่อยก็มองออกได้ไม่ยาก ศิษย์ฝ่ายในนิกายมังกรสวรรค์เราคนนั้น เสียสติไปแล้วหรือไรถึงบุกเดี่ยวไปฆ่าคนถึงเมืองศัตรู?”
ได้ยินเรื่องราวที่ฟางอวี่เล่ามา ต้วนหลิงเทียนก็รู้แล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามเขาแบบนั้น
ช่างเป็นสาเหตุการตายที่ทำให้ผู้คนไม่ทราบจะหัวเราะหรือร่ำไห้ดี…หลงทิศจนเดินไปเมืองศัตรู
“พี่ฟางอวี่ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ใช่คนหลงทิศ…อย่างไรก็ตามต่อให้เป็นคนหลงทิศแยกแยะทิศทางไม่ออกจริงๆ แต่สภาพเมืองมังกรสวรรค์เรากับเมืองของศัตรูก็คงไม่เหมือนกันไม่ใช่รึ? แล้วทำไม…”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“เจ้าสงสัยสินะ ว่าทำไมคนผู้นั้นถึงไม่รู้ตัวเลย?”
ฟางอวี่ยิ้มถามกลับ ก่อนจะเอ่ยสืบต่อ “เพราะศิษย์ฝ่ายในที่เดินหลงเข้าเมืองศัตรูในตอนนั้น กำลังเห่อสมบัติที่ใช้แต้มรบแลกมาจากเมืองสันติ กระทั่งลืมเลือนสภาพแวดล้อมทั่วไปหมดสิ้น ถึงขั้นไม่สังเกตอาคารบ้านเรือน จนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านี่ไม่ใช่เมืองของตัวเอง…”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มแห้งๆออกมา “ช่างน่าสงสารจริงๆ ที่ต้องมาตายเพราะสาเหตุนี้ในระนาบศึกจักรพรรดิ”
“ไม่ใช่แค่น่าสงสาร ยังน่าละอายนัก”
ฟางอวี่ส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “ศิษย์ในนิกายมังกรสวรรค์เรา เป็นธรรมดาว่าไม่มีใครหัวเราะเยาะมันอยู่แล้ว…อย่างไรก็ตามฝ่ายศัตรูนั้น มักเอามาล้อเลียนนิกายมังกรสวรรค์เราไม่หยุด เรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเรารับทราบความจริงทั้งหมดว่าอีกฝ่ายโกหกเรื่องที่ ศิษย์ฝ่ายในคนนั้นบุกไปฆ่าคน แต่ยังทำให้คนในนิกายของพวกเราบังเกิดความไม่พอใจในศิษย์ฝ่ายในที่ตายอีกด้วย กล่าวได้ว่าตอนนั้นไม่มีใครเห็นใจมันเลย”
ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
เรื่องแบบนี้ก็มีด้วย
ไม่ทันรู้ตัว ต้วนหลิงเทียนกับฟางอวี่ที่เดินไปคุยไป ก็มาถึงกำแพงเมืองมังกรสวรรค์แล้ว จากนั้นทั้งคู่ก็เดินลอดประตูเมือง และเข้าไปยังเมืองที่ตั้งอยู่ติดกันเบื้องหน้า
เมืองนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมากมายอะไร ยังเทียบไม่ได้แม้แต่ 1 ใน 10 ของเมืองมังกรสวรรค์ด้วยซ้ำ แต่กลับคึกคักมีชีวิตชีวามาก
ในเมืองแห่งนี้ นอกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ไม่กี่หลังที่ตั้งอยู่ห่างกันและโดยรอบไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าใกล้ อาคารปลูกสร้างที่เหลือ ก็เป็นตำหนักที่เต็มไปด้วยค่ายกลป้องกันมากมาย ชื่อตำหนักก็แตกต่างกัน ไม่ว่าตำหนักโอสถเทพ ตำหนักสมุนไพร…ฯลฯ
และในตำหนักเหล่านี้ ด้านในจะมีสมบัติของนิกายมังกรสวรรค์และนิกายมหาเอกะเก็บไว้ในตู้กระจกใส และถูกปิดผนึกไว้ด้วยอาคมบางอย่าง
หากคิดจะคลายอาคมและนำสมบัติออกไป ก็ต้องใช้แต้มรบมาแลก
และด้านหน้าตู้กระจกแต่ละตู้ จะมีข้อความแปะบอกไว้ ว่าสิ่งของในตู้คืออะไร นอกจากนั้นยังมีตัวเลข ซึ่งก็คือจำนวนแต้มรบที่ต้องใช้แลกนั่นเอง
ยิ่งเป็นของล้ำค่ามากเท่าไหร่ จำนวนแต้มรบที่ต้องใช้แลกก็จะสูงขึ้นเท่านั้น
ภายในตำหนักโอสถเทพ ต้วนหลิงเทียนยังเห็นของรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันมังกรซ่อนที่เขาได้รับมาด้วย โอสถทะลวงราชัน และมันต้องใช้แต้มรบถึง 100 แต้มในการแลกเปลี่ยน
แต้มรบ 100 แต้ม สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?
ผู้ที่อยู่ในขอบเขตราชาเทพของนิกายมังกรสวรรค์หรือนิกายมหาเอกะนั้น ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ฝ่ายในฝ่ายนอกก็ดีหรือผู้ดูแลฝ่ายนอกก็ดี ไม่ว่าท่านจะอยู่ในระดับใด แต่การฆ่าศัตรูที่อยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำนั้น จะได้แต้มรบเพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้น…
การฆ่าศิษย์ขอบเขตราชาเทพขั้นกลางจะได้รับ 5 แต้มรบ
ฆ่าศิษย์ขอบเขตราชาเทพขั้นสูงจะได้ 25 แต้มรบ
กล่าวคือ ไม่ว่าจะศิษย์ฝ่ายในฝ่ายนอกหรือผู้ดูแลฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์และนิกายมหาเอกะ หากคิดจะใช้แต้มรบแลก โอสถเทพทะลวงราชัน ล่ะก็…ต้องฆ่าราชาเทพขั้นสูงถึง 4 คน ไม่ก็ราชาเทพขั้นกลางจำนวน 20 คน หรือไม่ก็ราชาเทพขั้นต่ำ 100 คน!
“โอสถเทพทะลวงราชันเหล่านี้ สมควรเป็นท่านอดีตประมุขผู้เฒ่าหลอมมันขึ้นมาเอง ฝ่ายนิกายมหาเอกะนั้นปกติแล้วผู้ที่จะมีโอกาสได้รับโอสถเทพทะลวงราชันได้ ก็มีแต่ศิษย์ฝ่ายในที่เก่งกาจและทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเท่านั้น ไม่มีเอามาแจกในการแข่งขันมังกรซ่อนของพวกเราหรอก”
พอเห็นสายตาของต้วนหลิงเทียน ฟางอวี่ก็กล่าวอธิบายออกมา
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
โอสถเทพทะลวงราชัน ต่อให้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจอมราชันที่เก่งกาจ ก็ไม่ง่ายที่จะหลอมมันออกมา
แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถหลอมโอสถเทพทะลวงราชันออกมาได้ เพราะโอสถเทพทะลวงราชันมันแตกต่างจากโอสถเทพระดับจอมราชันทั่วไป เพราะโอสถเทพระดับจอมราชันทั่วๆไปมักอาศัยพลังชีวิตเป็นหลัก ทว่าโอสถเทพทะลวงราชันนั้น มันจำต้องใช้ทักษะการหลอมที่สลับซับซ้อนและมีขั้นตอนยุ่งยากมากมายถึงจะหลอมออกมาได้ ความากในการหลอมไม่ใช่อะไรที่โอสถเทพระดับจอมราชันทั่วไปจะเทียบได้เลย
และด้วยทักษะในการหลอมโอสถเทพของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ มันไม่สูงพอจะหลอมโอสถเทพทะลวงราชัน
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็หันไปสนใจตู้ที่เก็บโอสถเทพอื่นๆเอาไว้ แต่เขาพบว่าโอสถเทพพวกนี้เขาสามารถหลอมได้ทั้งหมด
นอกจากนั้น โอสถเทพส่วนใหญ่เขาสามารถหลอมมันให้ออกมาเป็นขั้นสุดยอดได้ไม่ยากเย็น
เพียงแค่เอาสมุนไพรให้เขาก็พอ!
สำหรับโอสถเทพบางชนิดที่เขายังหลอมไม่ได้และมีระดับพอๆกับโอสถเทพทะลวงราชันนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้
อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็ยังไม่ต้องใช้พวกมัน
“หืม? ไม่สนใจเลยรึ?”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทีนชมดูผ่านๆไม่ได้แลดูสนอกสนใจอะไรเลย ฟางอวี่ก็ยิ้มถามออกมา
“ไม่เลย”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ศิษย์พี่ฟางอวี่ พวกเราไปตำหนักแลกเปลี่ยนสมุนไพรกันเถอะ…ที่นั่นน่าจะมีของที่ข้าอยากได้อยู่”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ไม่ทันที่ฟางอวี่จะได้ตอบรับอะไร ก็มีเสียงเย้ยหยันหนึ่งดังขึ้น “ช่างคุยโวเขื่องโขดีแท้ โอสถเทพมากมาย กลับไม่มีอันใดที่เจ้าต้องการรึ?”
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดกัน?”
“ก็แค่ศิษย์ฝ่ายในนิกายมังกรสวรรค์คนหนึ่ง กลับหาญกล้ากล่าววาจายิ่งใหญ่พรรค์นั้นแล้ว?”
ผู้ที่กล่าวเย้ยเยาะ เป็นชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาธรรมดาๆ หากทว่าสองตาของมันกลับฉายแววแหลมคมไม่เบา รูปร่างของมันไม่อ้วนไม่ผอม แต่กลับสวมใส่ชุดคลุมสีฟ้าอ่อนแลดูหมโครกไม่พอดีตัว และทันทีที่มันปรากฏตัว ก็มีหลายคนในตำหนักโอสถคารวะทักทายด้วยเคารพว่า “อาวุโสหวงอวิ๋น”
ได้ยินคำพูดเย้ยหยัน ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองมันโดยไม่รู้ตัว พอมองไปยังบริเวณเอวก็พบว่าเป็นป้ายของคนนิกายมหาเอกะ
ในเมืองสันติ ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอศิษย์หรือผู้อาวุโสของนิกายมหาเอกะหลายคนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะคนของนิกายมังกรสวรรค์ก็ดี คนของนิกายมหาเอกะก็ดี ไม่ว่าในสนามรบจะสู้กันเอาเป็นเอาตายแค่ไหน แต่ในเมืองสันตินั้น ทั้งหมดล้วนอยู่ในความสงบ ยากจะเห็นคนทะเลาะวิวาทกัน
“เป็นอาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะแท้ๆ แต่ดูเหมือนความรู้จะไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่…”
ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้โต้ตอบอะไร เป็นฟางอวี่ที่กล่าวเคล้าเสียงหัวเราะออกมาก่อน สีหน้าแววตาที่ใช้มองอาวุโสของนิกายมหาเอกะยังเต็มไปด้วยความดูแคลนเย้ยเยาะ
ในขณะที่สีหน้าหวงอวิ๋นเริ่มกลายเป็นอึมครึม ฟางอวี่ก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบว่า “พอดีคนที่อยู่ข้างกายข้าไม่ใช่แค่ศิษย์ฝ่ายในธรรมดาๆของนิกายมังกรสวรรค์เราหรอกนะ…แต่ผู้อื่นยังเป็นสุดยอดปรมาจารย์หลอมโอสถเทพของนิกายมังกรสวรรค์เราอีกด้วย!”
สุดยอดปรมาจารย์หลอมโอสถเทพ!
นี่คือสมญานามที่คนส่วนใหญ่ในนิกายมังกรสวรรค์ใช้เรียกหาต้วนหลิงเทียน
ไฉนที่ต้วนหลิงเทียนได้รับสมญานามดังกล่าวมา ก็เพราะต้วนหลิงเทียนสามารถหลอมโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอด รวมถึงโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดอื่นๆได้ง่ายๆเหมือนกินข้าวดื่มน้ำ ราวกับไม่มีความกดดันอะไรเลย
“สุดยอดปรมาจารย์หลอมโอสถเทพเช่นนั้นรึ?!”
“ช้าก่อน นั่นมิใช่ต้วนหลิงเทียนของนิกายมังกรสวรรค์หรือไร!?”
…
พอหวงอวิ๋นได้ยินคำพูดดังกล่าวของฟางอวี่ คิ้วมันก็เริ่มขดย่นเป็นปม จากนั้นไม่ทันไร ศิษย์นิกายมหาเอกะหลายคนที่อยู่ไม่ไกลก็โพล่งกันออกมาเสียงดังลั่น