ในเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคร่ำครวญเรื่องที่โดดเด่นเกินไป จนกลายเป็นการ ‘ทุ่มหินทับเท้า’ นั้นเอง
ห่างออกไปด้านหน้าจากจุดที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ในปัจจุบันกว่าหมื่นลี้ ปรากฏคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนอยู่
“คราวนี้หากพวกเราพบเจอต้วนหลิงเทียนนั่นและฆ่ามันได้ 200,000 แต้มรบก็จะเป็นของพวกเรา…จำนวนแต้มรบขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย!”
ในกลุ่มคน ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มร่า
“แน่นอนอยู่แล้ว…แต้มรบตั้ง 200,000 แต้ม ต่อให้พวกเราแบ่งกัน 20 คนก็ยังได้กันถึงคนละ 10,000 แต้ม! จำนวนแต้มรบ 10,000 แต้มที่ว่าให้ข้าไปฆ่าคนนิกายมังกรสวรรค์เองเอง เกรงว่าหลังผ่านไป 100 ปีก็ไม่แน่ว่าจะหาได้ด้วยซ้ำ!”
อีกคนก็หัวเราะออกมา
“กล่าวถึงเรื่องฆ่าต้วนหลิงเทียน ข้าว่าคราวนี้พวกเราระวังตัวเกินกว่าเหตุหรือไม่? ราชาเทพขั้นสูง 8 คน ราชาเทพขั้นกลางอีก 12 คน ทั้งหมดเพื่อราชาเทพขั้นกลางคนเดียว…ข้ากลัวว่าถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้คนคงได้หัวเราะพวกเราแน่”
อีกคนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“อย่าได้ดูเบาต้วนหลิงเทียนนั่นเพียงเพราะมันยังเป็นแค่ราชาเทพขั้นกลาง…พวกเจ้าน่าจะรู้ข้อมูลต้วนหลิงเทียนกันดีอยู่แล้ว เจ้านั่นทั้งๆที่มันเป็นราชาเทพขั้นกลาง แต่พลังฝีมือของมันเรียกว่าเป็นอันดับต้นๆในบรรดาราชาเทพของนิกายมังกรสวรรค์แล้ว ข้าเกรงว่าต่อให้เป็นราชาเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายมหาเอกะเรา ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะมันได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับฆ่ามันให้ตาย”
“เฮอะ! ต่อให้เป็น ราชาเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายมหาเอกะเรา ลองมาเจอพวกเรา 20 คนกลุ้มรุม ข้าว่ามันก็หนีไม่พ้นความตายหรอก!”
“อย่าพึ่งคิดกันไกลนัก สนามรบราชาเทพกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน พวกเราจะพบตัวต้วนหลิงเทียนได้ เห็นทีต้องพึ่งโชคอย่างเดียวเท่านั้น”
…
คนกลุ่มนี้ก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่มีสายตาแหลมคมที่สุดในกลุ่ม ก็สังเกตเห็นจุดเล็กๆเบื้องหน้าไกลตา “เฮ่! ตรงนั้นมีคน!!”
ในขณะที่คนอื่นๆพึ่งรู้สึกตัว จุดเล็กๆที่ว่า ก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เห็นเป็นร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วง อีกฝ่ายยังมาหยุดลงเบื้องหน้าไม่ไกลจากพวกมัน
“คนของนิกายมหาเอกะรึ!?”
ต้วนหลิงเทียนที่มองสำรวจกลุ่มคนเบื้องหน้า สองตาก็ทอประกายลุกวาวขึ้นมาเร็วไว “20 คน…เยี่ยมไปเลย เท่านี้เป้หมายของข้าก็จะเสร็จไป 1 ใน 5 ส่วนแล้ว”
เป็นศิษย์นิกายมหาเอกะ 20 คน!
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่า การเฝ้ารออันแสนทรมานตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา มันช่างคุ้มค่าเหลือเกิน….
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองสำรวจกลุ่มคนของนิกายมหาเอกะ ด้านกลุ่มคนของนิกายมหาเอกะก็มองสำรวจต้วนหลิงเทียนเช่นกัน “เจ้านั่นเป็นคนของนิกายมังกรสวรรค์!!”
“พวกเจ้าดูนั่น…ชื่อบนป้ายที่มันห้อยไว้! มันคือต้วนหลิงเทียน!!”
“ว่าอะไร!? เจ้านั่นคือต้วนหลิงเทียนเช่นนั้นเรอะ!!”
“ให้ตายเถอะ ข้าหลงคิดว่าเจ้านั่นเป็นศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ที่เร่งเข้ามาสนามรบราชาเทพตั้งแต่ระนาบศึกจักรพรรดิเปิดออกจึงไม่รู้เรื่องราวอะไร…แต่ไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่ามันจะเป็นต้วนหลิงเทียน!!”
“ฮ่าๆๆๆ…สิ่งนี้ที่เขาเรียกกันว่าฟ้าเป็นใจหรือไม่?”
…
เหล่าศิษย์นิกายมหาเอกะทั้ง 20 คน พอยืนยันได้แล้วว่าชายหนุ่มในชุดสีม่วงเบื้องหน้าก็คือต้วนหลิงเทียน สองตาแต่ละคนก็เป็นประกายสว่างไสว ทำราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหยมาหลายวัน ในที่สุดก็ได้พบพานเหยื่ออันโอชะ
ต้วนหลิงเทียนย่อมได้ยินเสียงโพล่งดีใจอันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของกลุ่มคนจากนิกายมหาเอกะชัดเจน
มุมปากเขาอดขมุบขมิบ ราวกับกำลังกลั้นยิ้มเต็มกลืน
ผู้ใดเป็นผู้ล่า ผู้ใดเป็นเหยื่อ มันก็ยังไม่แน่นักหรอก…
‘ในระนาบศึกจักรพรรดิ ห้ามไม่ให้ใช้แหวนพื้นที่ทำลายตัวเอง…ศิษย์นิกายมหาเอกะ 20 คนนี้ หวังว่าในบรรดาแหวนของพวกมันคงมีสักวงที่ทำให้ข้าสนใจ’
ต้วนหลิงเทียนลอบอธิษฐานในใจอย่างกระตือรือร้นนัก
ตั้งแต่เดินทางมาถึงระนาบเทพ ต้วนหลิงเทียนแทบไม่ได้รับทรัพย์หลังฆ่าคนเลย เพราะส่วนใหญ่แล้วผู้คนในระนาบเทพจะใช้แหวนพื้นที่ๆจะทำลายตัวเองหลังเจ้าของตกตาย
พอแหวนพื้นที่ทำลายตัวเอง เช่นนั้นสิ่งของอันใดในแหวนก็จะหายไปในความผันผวนของห้วงมิติ กรัจดกระจายไปทุกแห่งหน ไม่รู้ไปอยู่ไหน
บางอย่างก็ติดอยู่ในห้วงมิติผันผวนไม่ปรากฏออกมาอีกเลย
ยังมีบางอย่างที่ไม่อาจทานรับพลังมิติแปรปรวนจนถูกบดขยี้หายไปไม่เหลือซาก
“ล้อมมันไว้เร็ว!”
“เจ้านั่นมันเก่งกฏมิติ เช่นนั้นข้าขอฝากพวกเจ้าที่เก่งกฏมิติ ช่วยรบกวนมิติในบริเวณนี้ อย่าได้ปล่อยให้มันเคลื่อนย้ายข้ามมิติหลบหนีได้เด็ดขาด!’
“ขอเพียงการเคลื่อนย้ายข้ามมิติของมันถูกพวกเราผนึก…ให้มันเหินฟ้าดำดินเก่งแค่ไหน วันนี้มันก็หนีไม่พ้นความตาย!!”
…
ในขณะที่มุมปากต้วนหลิงเทียนกำลังขมุบขมิบเพราะกลั้นยิ้ม เหล่าคนของนิกายมหาเอกะทั้ง 20 คนก็เร่งกระจายตัว ล้อมกรอบเขาไว้
นอกจากนั้น เหล่าศิษย์นิกายมหาเอกะที่เชี่ยวชาญกฏมิติ ยังแยกย้ายกันใช้พลังเทพผสานพลังของกฏมิติ เพื่อทำลายเสถียรภาพของห้วงมิติโดยรอบ ยังผลให้ห้วงมิติในพื้นที่บังเกิดความผันผวนรวนเร
เมื่อห้วงมิติผันผวน ก็ไม่อาจใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติได้
“ฆ่า!!!”
จากนั้นศิษย์คนหนึ่งของนิกายมหาเอกะที่กริงเกร่งวิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิง พอเห็นว่าสหายแยกย้ายกันปิดล้อมต้วนหลิงเทียนแล้วเสร็จ มันก็ชักดาบคำรามออกมาดังสนั่นลั่น ทั่วร่างปะทุพลังออกมาปานเพลิงไฟ คนห้อเหยียดเข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุดัน!
ดาบในมือมันยังเป็นดาบเทพขั้นสูงอีกด้วย และคนที่เหลือพอเห็นว่าสหายเปิดฉากจู่โจมแล้ว ก็เร่งชักอาวุธเทพขั้นสูงคู่กาย เข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
และหลายคนไม่เพียงแต่จะมีแค่อาวุธเทพขั้นสูงเท่านั้น พวกมันยังตระเตรียมรองเท้าเทพขั้นสูงเอาไว้โดยเฉพาะ เช่นนั้นความเร็วในการเคลื่อนไหวของพวกมันจึงเพิ่มพูนขึ้นไปอีกขั้น!
วินาทีนี้นอกจากศิษย์นิกายมหาเอกะที่เชี่ยวชาญกฏมิติ และกำลังทุ่มพลังทั้งหมดในการทำลายสเถียรภาพของห้วงมิติ ไม่ให้ต้วนหลิงเทียนมีโอกาสใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติหลบหนี ไม่ว่าใครก็ป้อนกระบวนท่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น
ปงงง!!
ตูมมม!!
…
ซู่มมม!!
ครืนนนน!!
…
เสียงอากาศแตกระเบิด ทั้งเสียงสายลมคำรามดังขึ้นจากรอบทิศ ยามศิษย์นิกายมหาเอกะนับโหลระเบิดพลังจู่โจมสังหารออกมาพร้อมเพรียงกัน พลังจากกฏต่างๆที่ผสานเข้ากับพลังเทพ ก็กลายเป็นแสงพลังหลากสีสัน แผ่พุ่งสะท้านสะเทือนความว่าง กวาดเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ตรงกลาง ปานจะกลืนกินผู้คนให้หายไป
พริบตาเดียว ฟากฟ้าที่เคยสงบนิ่ง กลับเปลี่ยนเป็นวิปริตแปรปรวน ห้วงอากาศสั่นสะเทือนราวกับความว่างเปล่าจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
“ตายยย!!!”
“ต้วนหลิงเทียน ขอบคุณเจ้าที่เอาแต้มรบมาส่งให้พวกเรา!!”
“ฮ่าๆๆๆ!!”
…
เมื่อศิษย์นิกายมหาเอกะกว่าโหล เห็นชัดว่าพลังกระบวนท่าที่พวกมันทุ่มซัดออกไปสุดตัวกำลังจะกลืนกินร่างต้วนหลิงเทียนแล้ว ดวงตาแต่ละคนก็แทบถลนออกเบ้าด้วยความเหี้ยมเกรียม ยังฉายแววตื่นเต้นยินดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับมองเห็นอนาคตว่าต้วนหลิงเทียนต้องปี้ป่นเพราะพลังของพวกมันอย่างไรอย่างนั้น
“ในสนามรบราชาเทพ ไม่อาจใช้ค่ายกลอันใดได้ นั่นหมายความว่าไม่มีผู้ใดเฝ้ามอง ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องราวด้านใน อีกทั้งค่ายกลของผู้แข็งแกร่งที่สุดเองก็ไม่น่าจะมีค่ายกลบันทึกเรื่องราวจัดตั้งไว้…”
เผชิญหน้ากับการจู่โจมสังหารที่ประดังเข้ามาทุกทิศของเหล่าศิษย์นิกายมหาเอกะ ต้วนหลิงเทียนยังคงสงบเฉยเมย กล่าวคำพึมพำกับตัวเบาๆ “หากเป็นที่นี่ ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร”
“ตราบใดที่ข้ามั่นใจว่าจะให้พวกเจ้าทุกคนหยุดอยู่ที่นี่ตลอดไป…”
แม้ต้วนหลิงเทียนเหมือนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่เสียงกล่าวของเขาก็ยังดังเข้าหูศิษย์นิกายมหาเอกะทั้ง 20 คนชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เมื่อศิษย์นิกายมหาเอกะทั้ง 20 คนได้ยินถ้อยคำของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะว่า “ฮ่าๆๆ จุดจบเจ้ามาถึงแล้ว เจ้ายังมีใจจะกล่าวเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้นอีก?”
“ให้พวกเราทั้งหมดหยุดอยู่ที่นี่? เพ่ย! ตอนนี้เจ้าสามารถจ้วงพวกเราคนใดคนหนึ่งให้ได้สักแผลก็นับว่าหรูมากแล้ว!”
“เหลวไหล!!”
…
ได้ยินคำเสียดสีจากเหล่าศิษย์นิกายมหาเอกะที่ประดังเข้ามา สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน อย่างไรก็ตามเมื่อการโจมตีของพวกมันเข้าใกล้ตัวเขา พลังเทพในร่างก็ปะทุออกมาอย่างรวดเร็วปานจุดระเบิด
พายุพลังมิติอันน่าพรั่นพรึงก่อเกิดห้อมล้อมร่างเขาไว้ในบัดดล จากนั้นมันก็กวาดสะท้านออกไปรอบทิศทาง ปกคลุมการจู่โจมของผู้คนกว่าโหล!
จากนั้นฉากเรื่องราวอัศจรรย์พลันบังเกิด การจู่โจมของผู้คนส่วนใหญ่ได้ถูกพายุพลังมิติอันน่าพรั่นพรึงขดขยี้ทำลายจนหายสาบสูญไปดื้อๆ
มีการจู่โจมของราชาเทพขั้นสูง 2-3 คนที่แม้จะไม่ได้ถูกทำลาย แต่พลังสภาวะก็ลดทอนจนไม่เหมือนเหลือ
ฟั่ฟฟฟ!!
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนเพียงสะบัดมือออกไปตามอำเภอใจ แสงกระบี่สีเทาก็เปล่งประกายวาบฟ้า ทำลายการจู่โจมไม่กี่สายที่เหลือจนหายไปหมดสิ้น
จากนั้นคล้ายพายุพลังมิติรอบกายต้วนหลิงเทียนบังเกิดการระเบิดออกมาในฉับพลันอย่างไรอย่างนั้น
ทำให้ราชาเทพขั้นกลางที่อยู่ใกล้เขาที่สุดไม่กี่คน ไม่มีแม้แต่เวลาจะตอบสนองเรื่องราวอะไร ก็ถูกพายุพลังมิติดังกล่าวป่นปี้ร่างจนสลายกลับกลายเป็นหมอกโลหิต หลงเหลือไว้ก็แต่แหวนพื้นที่ไม่กี่วง ที่ถูกต้วนหลิงเทียนใช้พลังดูดรั้งมาเก็บไว้อย่างไร้เรื่องราว
ซู่มมม!!
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกับฉากเรื่องราวที่อุบัติขึ้นจนหน้าเปลี่ยนสี ร่างต้วนหลิงเทียนที่เต็มไปด้วยพายุพลังมิติห้อมล้อม คนก็ย่ำเท้าเหยียบความว่าง ส่งร่างให้พุ่งทะยานออกไปปานลูกปืนใหญ่
ในเวลาต่อมา แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ลงมืออะไรเพิ่มเติม อาศัยแค่พายุพลังมิติรอบกาย ก็ป่นปี้ร่างราชาเทพขั้นกลาง 5 คนที่ไม่อาจหลบได้พ้นจนร่างแหลก!
และพายุพลังมิติตอนนี้ มันได้อัดแน่นไปด้วยพลังอำนาจจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 4 ประการ กอปรกับพลังที่ชวนให้ทุกคนใจสั่นอีกขุมอันแผ่กำจายไปยังความว่างเปล่าโดยรอบ ก็ทำให้พลังรบกวนมิติของเหล่าศิษย์นิกายมหาเอกะถูกทำลายทันที กลายเป็นฝ่ายผนึกห้วงมิติแถบนี้เอาไว้เอง
“บัดซบ! ข้าไม่อาจใช้พลังรบกวนพื้นที่ได้เลย!”
“ให้ตายเถอะวะ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”
“พลังนี่มัน…ไม่จริงน่า! วิถีควบคุมแห่งสวรรค์และโลกเช่นนั้นหรือ!? ต้วนหลิงเทียนนั่นมันเชี่ยวชาญวิถีควบคุมด้วย! หาไม่แล้วไฉนมันถึงควบคุมห้วงมิติได้ง่ายดายเช่นนี้!!”
…
เหล่าศิษย์นิกายมหาเอกะที่ทำหน้าที่รบกวนความเสถียรของห้วงมิติ หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
พวกมันที่เชี่ยวชาญกฏมิติเช่นกัน การเคลื่อนย้ายข้ามมิติจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่บัดนี้หลังพลังของพวกมันถูกทำลาย พวกมันที่คิดใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติหลบหนี กลับพบว่าห้วงมิติแถบนี้ถูกพลังน่าพรั่นพรึงบางอย่างผนึกเอาไว้แล้ว
หากห้วงมิติถูกรบกวน พวกมันก็ไม่อาจใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติได้ ราวกับประตูสำหรับการเคลื่อนย้ายถูกปิด และพวกมันก็ถูกลิดรอนสิทธิ์ในการเข้า
จังหวะนี้ หลายคนได้แต่หันไปมองต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว ในสายตายังฉายชัดถึงความหวาดกลัวล้นใจ
หลังจากที่ตื่นตระหนกหวาดกลัวแล้ว พวกมันก็เริ่มบังเกิดความเสียใจขึ้นมา
“มารดามันเถอะ! ต้วนหลิงเทียนนั่นมันทะลวงถึงราชาเทพขั้นสูงแล้ว!”
“แถมมันยังเชี่ยวชาญวิถีควบคุม หนึ่งในจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลกอีกด้วย!!”
“ที่สำคัญ กฏมิติที่มันเข้าใจกลับเหนือล้ำกว่าที่ผู้คนร่ำลือกัน…บัดนี้ต่อให้มันไม่ต้องใช้อุปกรณ์เทพอันใด มันก็สามารถฆ่าพวกเราทุกคนได้ง่ายๆ!!”
“แยกย้ายกันหนีเร็ว! หากผู้ใดรอด ให้รีบออกจากสนามรบราชาเทพโดยเร็วที่สุด รีบนำเรื่องนี้ไปรายงานทางนิกาย! สนามรบราชาเทพ…นิกายมหาเอกะเราไม่อาจเข้ามาได้แล้ว!!”
…
สีหน้าของราชาเทพขั้นสูงที่ยังไม่ตาย บัดนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นสีซีด ขณะเดียวกันพวกมันก็ตัดสินใจได้เป็นเอกฉันท์
หนี!
ต้วนหลิงเทียนไม่ทันใช้อาวุธเทพ ก็มีพลังมากพอจะบดขยี้พวกมันให้แหลกได้ง่ายๆ…
หากผู้อื่นใช้อาวุธเทพจะเกิดอะไรขึ้น?
เกรงว่าแค่ตวัดกระบี่ฟันมาไม่กี่ที พวกมันก็ต้องทิ้งชื่อไว้ที่นี่แล้ว!
”หนี?”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ และในขณะที่เหล่าศิษย์นิกายมหาเอกะสิบคนที่เหลืออยู่กำลังแยกย้ายกันหลบหนีไปทุกทิศทาง รังสีกระบี่ 7 สีสันหลายสายพลันพุ่งออกจากร่างต้วนหลิงเทียน ประหนึ่งอุกกาบาตสีรุ้งลัดฟ้า
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
รังสีกระบี่หลากสีสัน งดงามประหนึ่งดาวตกลัดฟ้าเปล่งแสงสว่างไสวท่ามกลางคำคืนอันมืดมิด
ในชั่วเวลาพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ ศิษย์นิกายมหาเอกะหลายคนที่แยกย้ายกันหลบนีไปทุกทิศทาง ก็ถูกรังสีกระบี่อันงดงามพรากหนึ่งชีวิตไปอย่างไม่รู้ตัว
ยังมีราชาเทพขั้นสูงบางคน เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีกระบี่ที่เข่นฆ่าลัดฟ้ามาฉับไว พวกมันก็ไม่คิดหลบหนีสืบไป เพียงหันกลับมารวมรั้งพลังชั่วชีวิตเพื่อดิ้นรนต้านทาน!
อนิจจาแม้พวกมันจะสามารถหยุดยั้งรังสีกระบี่สังหารได้ แต่พวกมันก็บาดเจ็บสาหัสจนแทบไม่เหลือพลังลอยตัว ผู้ที่อ่อนด้อยก็กระอักโลหิตเป็นสาย คนร่วงตกฟ้าไปพร้อมใบหน้าซีดเซียวหาสีเลือดไม่เจอ
ซัว! ซัว! ซัว!
…
ไม่รอให้พวกมันได้โอดครวญอันใด พริบตาต่อมาร่างต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปผุดโผล่เบื้องหน้าศิษย์นิกายมหาเอกะแต่ละคนปานภูตผี
ในเวลาไม่ถึง 10 ลมหายใจ ศิษย์นิกายมหาเอกะที่เหลือทั้งหมด ไม่ว่าจะเอาแต่หนีก็ดีหรือต่อต้านก็ดี ล้วนตกตายภายใต้คมกระบี่ของต้วนหลิงเทียนหมดสิ้น
และไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าในมือต้วนหลิงเทียนกลับถือกระบี่ที่เปล่งแสงสีรุ้งออกมาเรืองรองเล่มหนึ่ง…