เหล่าศิษย์ของนิกายมหาเอกะตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะเหมือนเม็ดทรายกระจัดกระจายเท่านั้น พวกมันยังไม่เหลือความคิดต่อสู้อีกต่อไป ยิ่งไม่อยากจะถูกศิษย์นิกายมังกรสวรรค์พัวพันจนเสียเวลาหนี
  เช่นนั้นต่างคนจึงพยายามเอาตัวรอดถ่ายเดียว
  กระทั่งต่อให้เห็นสหายที่กำลังจะถูกฆ่า พวกมันยังไม่แม้แต่จะหยุดช่วย ด้านคนที่กำลังจะตายพอเห็นว่าสหายเอาแต่หนี ก็จมลงสู่ความสิ้นหวังโดยสมบูรณ์
  และเมื่อศิษย์ของนิกายมังกรสรรค์เริ่มฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะได้ไม่กี่คน พอกำลังรบมีเปรียบ การฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะที่เหลือก็กลายเป็นง่ายดายกว่าเดิม
  ยิ่งมาความต่างระหว่างจำนวนคนก็ยิ่งมาก กอปรกับศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ยิ่งฆ่ายิ่งทีความฮึกเหิม เช่นนั้นศิษย์นิกายมหาเอกะจึงถูกฆ่าตายด้วยความเร็วสูง
  แน่นอนว่าในระหว่างเหตุการณ์ชุลมุนหนึ่งฝ่ายไล่ฆ่าหนึ่งฝ่ายเอาแต่หาทางหนี ย่อมมีศิษย์นิกายมหาเอกะบางคนที่ว่องไวและหนีศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ออกไปได้สำเร็จ อนิจจาความฝันมันต้องสลายเพราะร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบมาขัดขวางพวกมัน ยังฆ่าพวกมันทิ้งได้ง่ายดายราวตัดหญ้าฆ่าไก่
  กล่าวได้ว่า จากที่ต้วนหลิงเทียนจุดชนวนสังหารผู้นำของศิษย์นิกายมหาเอกะไป จวบจนศิษย์นิกายมหาเอกะตกตายหมดสิ้น ก็กินเวลาเพียง 20 กว่าลมหายใจเท่านั้น
  หลังผ่านไป 20 กว่าลมหายใจ ทุกเรื่องราวก็จบลง
  ศิษย์นิกายมหาเอกะ ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
  ด้านคนของนิกายมังกรสวรรค์ไม่มีใครตายแม้แต่คนเดียว มีผู้บาดเจ็บไม่กี่คน แต่ก็เป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
  “ปรมาจารย์ต้วน หากไม่ใช่เพราะท่าน วันนี้พวกเรายังไม่แน่ว่าจะหนีรอดไปได้ครบคน แถมไม่พ้นต้องสูญเสียอย่างหนักแน่…”
  ผู้นำกลุ่มศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ทั้ง 23 คน หรือก็คือผู้ดูแลฝ่ายนอกขอบเขตราชาเทพขั้นสูง ก้าวออกมาประสานมือโค้งหัวกล่าวคำขอบคุณต้วนหลิงเทียน “ขอบคุณปรมาจารย์ต้วนท่าน ที่กรุณายื่นมือเข้าช่วยพวกเรา”
  “ขอบคุณปรมาจารย์ต้วน!”
  “ศิษย์พี่ต้วน ขอบคุณท่านมาก!”
  …
  ในขณะที่ชายวัยกลางคนโค้งหัวขอบคุณต้วนหลิงเทียน เหล่าศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ที่เหลือก็เร่งรุดเข้ามาประสานมือทั้งคำนับขอบคุณต้วนหลิงเทียนทีละคนๆ
  “พวกท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าเองก็ไม่ได้ลงมือเปล่าๆ”
  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
  ในขณะเดียวกัน ภายใต้คำสั่งของชายวัยกลางคน เหล่าศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ก็นำสินสงครามรวมถึงป้ายประจำตัวมาส่งมอบให้ชายวัยกลางคน
  มีแหวนพื้นที่ 28 วง อุปกรณ์เทพขั้นสูง 32 ชิ้น
  “ปรมาจารย์ต้วน พวกเรายังมิได้ดูของภายในแหวนพื้นที่เหล่านี้…ท่านสุ่มเลือกไปครึ่งหนึ่งได้เลย นอกจากนั้นอุปกรณ์เทพทั้ง 32 ชิ้นเหล่านี้ ปรมจารย์ต้วนท่านก็เลือกที่ชอบไป 16 ชิ้นเถอะ”
  ชายวัยกลางคนมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงสุภาพ
  พอกล่าวจบคำ มันก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบคำ เพียงหันไปกล่าวกับเหล่าศิษย์นิกายมังกรสวรรค์คนอื่นๆ “พวกเจ้าคงไม่มีผู้ใดเห็นค้านกระมัง?”
  เหล่าศิษย์พอได้ยินคำถามดังกล่าวก็เร่งส่ายหัวกันพัลวัน
  พวกมันย่อมไม่คัดค้านแน่นอน
  แต่ยังมีบางคนที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนนำสินสงครามไปครึ่งหนึ่งออกจะมากเกินไปอยู่บบ้าง แต่พวกมันก็ทำได้แค่พูดในใจเท่านั้น เพราะไม่อยากตกเป็นจำเลยสังคม ซึ่งได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน
  ที่สำคัญหากไม่ใช่เพราะวันนี้ต้วนหลิงเทียนยื่นมือเข้าช่วย พวกมันไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับอะไรเลยเท่านั้น เผลอๆอาจจะมีหลายคนที่ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่อีกด้วย
  ทำให้พวกมันไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย แม้ต้วนหลิงเทียนจะเอาสินสงครามไปครึ่งหนึ่ง พวกมันก็เห็นว่าเหมาะสม
  “หากมีโอกาสไว้ร่วมงานกันใหม่”
  ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเกรงใจ สะบัดมือคราหนึ่งก็นำแหวนพื้นที่ 14 วงกับอุปกรณ์เทพขั้นสูง 16 ชิ้นมาเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ของตัวเอง แน่นอนว่ารวมถึงป้ายประจำตัวของศิษย์นิกายมหาเอกะครึ่งหนึ่งด้วย และไม่ทันที่ทุกคนจะได้พูดอะไรสืบต่อ ร่างต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปอย่างไร้รอย
  หลังทุกคนดึงสติกลับมาได้ แม้จะหันไปมองรอบๆแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของต้วนหลิงเทียน
  ผู้ดูแลฝ่ายนอก ก็เอ่ยคำขึ้นอย่างประจวบเหมาะ “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราไปหาที่พักฟื้นพลังทั้งให้คนเจ็บรักษาตัวกันก่อน จากนั้นค่อยไปตระเวนแถวๆนี้ดูเพื่อจะเจอศิษย์นิกายมหาเอกะให้ฆ่าเพิ่มเติม…ด้วยการเก็บเกี่ยวรอบนี้ ภารกิจพื้นฐานของพวกเราทุกคนก็เกือบครบแล้ว”
  คนที่เหลือก็ไม่มีใครเห็นต่าง
  จากนั้นขณะหาที่พักรักษาตัว หลายๆคนก็เริ่มซุบซิบคุยกัน หัวข้อก็วนเวียนอยู่กับต้วนหลิงเทียน “หัวทุยเจ้าว่า…ต้วนหลิงเทียนจะทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิได้ก่อนอายุครบ 10,000 ปีหรือไม่?”
  “จักรพรรดิเทพ? เจ้าคิดมากไปรึเปล่า? ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นสูงเองมิใช่หรือ?”
  “คิดมาก? เจ้าอย่าลืมเสียเล่าว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังมีอายุไม่ถึง 3,000 ปี!”
  …
  “ฮ่าๆๆ คราวนี้ศิษย์นิกายมหาเอกะ 28 คนนั่นตกตายกันหมดสิ้น ส่วนฝ่ายเราไม่มีใครตายสักคน…ข้าว่าป่านนี้ด้านนอกคงวุ่นวายกันใหญ่แล้วกระมัง?”
  ศิษย์นิกายมังกรสวรรค์บางคนที่นึกถึงเรื่องนี้ได้ ก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
  คำพูดของมัน ก็เป็นที่เห็นชอบของคนอื่นๆเช่นกัน “นั่นมันแน่อยู่แล้ว…สุดท้ายฝ่ายเราก็ไม่มีใครตายเลย คนของนิกายมหาเอกะตายไล่เลี่ยกันเกือบ 30 เช่นนี้ ด้านนอกต้องล่วงรู้กันแล้วแน่”
  “ฮ่าๆๆสะใจยิ่งนัก! ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าการที่นิกายมังกรสวรรค์เรามีสายของนิกายมหาเอกะอยู่กลับเป็นเรื่องดี หาไม่แล้วข้ากลัวว่าทางนิกายมหาเอกะจักไม่รู้ ว่าคนของพวกเราไม่มีใครตายในช่วงเวลาเดียวกับตอนที่ศิษย์พวกมันเกือบ 30 คนตกตาย”
  “ใช่…ข้าเคยคิดว่า หากวันหนึ่งข้ารู้ว่าใครเป็นสายของนิกายมหาเอกะข้าจะไม่มีวันปล่อยมันไปง่ายๆ แต่วันนี้ข้ารู้สึกว่าพวกมันไม่ได้น่ารำคาญอีกต่อไป”
  …
  ในปัจจุบันเหล่าศิษย์นิกายมังกรสวรรค์กลุ่มนี้ ยังไม่ทราบเลย ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน ศิษย์นิกายมหาเอกะ 20 ชีวิตก็ได้ตกตายในสนามรบราชาเทพ โดยที่ไม่มีศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ตกตายแม้แต่คนเดียว
  กล่าวได้ว่านิกายมหาเอกะได้รับประสบการณ์ความสูญเสียไปแล้วรอบหนึ่ง
  อย่างไรก็ตาม มีประสบการณ์ก็แค่มีประสบการณ์ พอผู้อาวุโสฝ่ายในที่เฝ้าระวังทางเข้าออกสนามรบราชาเทพของเมืองมหาเอกะพบว่าบนชั้นวางลูกแก้ววิญญาณ ปรากฏเสียงแตกของลูกแก้วดังติดๆกัน 28 ลูก สีหน้ามันก็เปลี่ยนสีไปทันที
  “มีราชาเทพของเราตายเพิ่มอีก 28 คน!”
  “สวรรค์! คนพวกนี้เหมือนจะอยู่กลุ่มเดียวกันมิใช่รึ? นี่ถูกฆ่ากันยกกลุม่อีกแล้ว?”
  “ด้านนิกายมังกรสวรรค์เรา มีคนตายกี่คน?”
  …
  เมืองมหาเอกะชักสีหน้าอึมครึม ด้านนิกายมหาเอกะก็หน้าบูดไม่ต่าง
  เพราะด้วยข่าวจากสายของพวกมันที่แฝงตัวอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ ทำให้พวกมันรับทราบว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ขอบเขตราชาเทพตกตายเลยแม้แต่คนเดียว! สิ่งนี้ทำให้อาวุโสฝ่ายในหลายคนโมโหแทบกระอักเลือด แต่ด้านประมุขนิกายมหาเอกะกลับเงียบอย่างประหลาด
  อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ประมุขนิกายมหาเอกะจะเงียบ แต่ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้า
  และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
  เพราะ 3 วันต่อมา ประมุขนิกายมหาเอกะก็ได้สั่งให้ศิษย์ขอบเขตราชาเทพ ที่ยังไม่ได้เข้าสู่สนามรบราชาเทพทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงระดับพลังฝึกปรือ แต่ต้องรวบรวมคนให้ได้ 100 คนขึ้นไปถึงจะเข้าไปในสนามรบราชาเทพได้!
  กล่าวให้ชัดถือ พวกมันให้เหล่าศิษย์ขอบเขตราชาเทพ เคลื่อนไหวเป็นกองร้อย!
  นอกจากนั้น ยังมี 3 กลุ่มที่ประมุขนิกายมหาเอกะ จัดตั้งหัวหน้ากองด้วยตัวเอง 2 ในนั้นเป็นศิษย์หลักของนิกายมหาเอกะ ส่วนอีกคนเป็นผู้ดูแลฝ่ายนอกที่แข็งแกร่งที่สุด
  กล่าวได้ว่า 3 คนที่เป็นหัวหน้ากอง เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆของขอบเขตราชาเทพ ที่ยังไม่ได้เข้าสู่สนามรบราชาเทพ
  จากนั้น เหล่าศิษย์ของนิกายมหาเอกะทั้ง 3 กองร้อย ก็เคลื่อนพลเข้าสู่สนามรบราชาเทพอย่างเอิกเกริก
  และประมุขนิกายมหาเอกะยังสั่งอีกอีกว่า…
  หากกองร้อยราชาเทพแต่ละกอง ไม่อาจฆ่าศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ได้ถึง 100 คนล่ะก็ ไม่อนุญาตให้ใครในกองร้อยกลับเข้าเมืองมหาเอกะมาแม้แต่คนเดียว หากฝ่าฝืนคำสั่ง ฆ่าไม่ละเว้น!!
  ในบรรดากองร้อยราชาเทพแต่ละกอง แม้จะมีหลายคนที่ไม่พอใจกับคำสั่งดังกล่าว แต่สถานการณ์โดยรวมมันสำคัญกว่าความเห็นของคนไม่กี่คน พวกมันยย่อมไม่มีทางเลือก
  เช่นนั้นหลังเข้าสู่สนามรบราชาเทพแล้ว พวกมันไม่ได้รู้สึกว่าต้องเข่นฆ่าศัตรูเพื่อเก็บแต้มรบเท่านั้น แต่ยังรู้สึกว่าต้องฆ่าเพื่อต่อชีวิตตัวเอง!
  “หืม? ประมุขนิกายมหาเอกะ มันถึงกับให้ศิษย์ขอบเขตราชาเทพที่ยังไม่เข้าสู่สนามรบราชาเทพจัดตั้งกองร้อยเชียวรึ? อีกทั้งยังเลือกหัวหน้ากองร้อยด้วยตัวเอง ล้วนเป็นราชาเทพขั้นสูงที่ร้ายกาจทั้งนั้น…ดูท่าพวกมันคิดจะฆ่าศิษย์ราชาเทพของนิกายมังกรสวรรค์เราให้ได้จริงๆ!”
  พอข่าวดังกล่าวล่วงรู้มาถึงนิกายมังกรสวรรค์ ด้านนิกายมังกรสวรรค์ก็อลหม่านทันที
  โดยเฉพาะเหล่าศิษย์ขอบเขตราชาเทพที่ยังไม่ได้เข้าสู่สนามรบราชาเทพ หลายคนรู้สึกถึงอันตรายทันที เช่นนั้นมีหลายกลุ่มที่ตัดสินใจเข้าสู่สนามรบราชาเทพเป็นการชั่วคราว ก่อนที่ประมุขนิกายของมันจะออกคำสั่งให้จัดตั้งกองร้อย ด้วยวิธีนี้เพียงรอให้เวลาผ่านไปสักพักค่อยกลับออกมาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกมันแล้ว
  พวกมันทั้งหมดกลัวว่าประมุขจะออกคำสั่งเหมือนประมุขนิกายมหาเอกะ…
  จัดตั้งกองร้อยราชาเทพ และต้องฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะให้ครบ 100 คนถึงจะออกมาได้
  อนิจจาความเคลื่อนไหวของพวกมันนับว่าช้าไปก้าวหนึ่ง
  เพราะทางเข้าออกสนามรบราชาเทพในเมืองมหาเอกะตอนนี้ กลับถูกผู้อาวุโสฝ่ายในปิดกั้นเสียแล้ว และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไป “ท่านประมุขพึ่งถ่ายทอดคำสั่งมาถึงข้า ว่าให้ปิดทางเข้าออกสนามรบราชาเทพชั่วคราว จากนั้นให้เหล่าศิษย์ขอบเขตราชาเทพที่ยังไม่ได้เข้าสู่สนามรบราชาเทพ จัดตั้งกลุ่ม 100 คน เพื่อเข้าไปไล่ล่าศิษย์นิกายมหาเอกะด้านใน!”
  “ตราบใดที่ฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะได้ครบร้อยคน ให้ถือว่าทุกคนในกลุ่มปฏิบัติภารกิจพื้นฐานสำหรับ 3 ปีสำเร็จ!”
  “หากผู้ใดกล้าคิดไม่ซื่อ เข้าไปแล้วหลบซ่อนหรือกระทั่งหนีไปตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องโทษประหารเท่านั้น กระทั่งญาติพี่น้องร่วมสายเลือดจักต้องพลอยโดนหางเลขไปด้วย!”
  นิกายมังกรสวรรค์ ไม่ได้บังคับให้ศิษย์ราชาเทพที่จัดตั้งกองร้อยต้องฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะให้ครบ 100 คนก่อนถึงจะออกมาได้ ทุกคนสามารถออกมาได้ แถมหากฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะครบ 100 คน ยังได้รับราวัลเป็นการสำเร็จภารกิจ 3 ปีอีกด้วย!
  อย่างไรก็ตาม ยังมีบทลงโทษอันโหดเหี้ยมสำหรับผู้ที่คิดหนีเช่นกัน ทำให้ไม่มีใครกล้าเล่นตุกติกอะไร
  “ฆ่า!!”
  ไม่นานนักคนของนิกายมังกรสวรรค์ก็จัดตั้งกองร้อยแล้วเสร็จ จากนั้นแต่ละกองร้อยก็เดินทัพเข้าสู่สนามรบราชาเทพด้วยความฮึกเหิม แววตาแต่ละคนฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟัน!
  กองร้อยแรกที่กำลังจะเดินทัพเข้าไปในสนามรบราชาเทพนั้น มีหัวหน้ากองถึง 2 คน แถม 1 ในนั้นยังเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์มาพร้อมๆกับต้วนหลิงเทียน
  เป็น แม่นาง 7 จากหุบเขาหมื่นบุปผา ขุมกำลังระดับราชาเทพแห่งหนึ่ง และดูเหมือนนางจะเป็นลูกสาวของสหายเก่าเชวียไห่ชวน
  บังเอิญนางยังไม่ได้เข้าสู่สนามรบราชาเทพ
  “ศิษย์น้องหญิงชี หากมีอันตรายใดๆ ท่านควรมาหาข้า ตัวข้าจักปกป้องท่านเอง…”
  (ชี = 7)
  หัวหน้ากองร่วมกับแม่นาง 7 เป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองแลดูหรูหรา รูปร่างมันผอมเพรียวหน้าตาหล่อเหลา เพียงแต่นัยน์ตามันหลุกหลิกแลดูเจ้าเล่ห์ไม่ซื่อสัตย์อย่างยิ่งขณะมองสตรี
  ได้ยินคำพูด ‘หวังดี’ ของอีกฝ่าย แม่นาง 7 เพียงเพิกเฉยไม่สนใจ
  “ศิษย์น้องหญิงชี ข้าได้ยินมาว่าในนิกายมังกรสวรรค์เรายังไม่มีใครเห็นรูปโฉมใต้ม่านผ้าของท่านเลย…มิทราบศิษย์น้องหญิงชี คิดจะปลดผ้าคลุมหน้าเมื่อใดหรือ?”
  แม้จะโดนแม่นาง 7 เมินเฉย แต่ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองก็ไม่เลิกรา ยังตามเซ้าซี้ชวนคุยต่อ
  จังหวะนี้เหล่าสตรีขอบเขตราชาเทพในกองร้อยหลายคนอดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก ส่วนผู้ชายหลายๆคนก็ขมวดคิ้วย่นยู่…ไอ้หน้าหม้อนี่น่ะเหรอ หัวหน้ากองที่ถูกจัดให้มานำพวกมัน?
  “หุบปาก!”
  สุดท้ายเมื่อโดนเซ้าซี้มากเข้า แม่นาง 7 ก็ไม่ไหวจะทนสืบไป นางกล่าวออกมาเสียงเย็น “หากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย อย่าได้พูดกับข้าอีก!”
  “หากเจ้ายังพล่ามมิหยุด ข้าจักดึงลิ้นเจ้าออกมา! และหากเจ้ายังกล้ามองข้าเช่นนั้นอีก ข้าจักควักลูกตาเจ้าเสีย!!”
  จู่แม่นาง 7 ก็ระเบิดคำดุดันออกมาแบบนี้ ทำให้ทุกคนถึงกับอึ้งไปเป็นแถบ
  พวกมันหลายๆคนก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแม่นาง 7 ผู้นี้มานานแล้ว แต่มิใช่ว่าผู้คนร่ำลือกันว่านางเป็นสตรีงดงามที่เงียบสงบหรือไร? ที่แท้มีด้านดุร้ายเช่นนี้ด้วย?
  อย่างไรก็ตาม ด้านชายหนุ่มในชุดคลุมสีทอง ใบหน้าของมันยังคงคลี่ยิ้มระรื่น กล่าวต่อไม่หยุด “ศิษย์น้องหญิงชี หากท่านคิดจักดึงลิ้นกับควักลูกตาข้า…ท่านก็ต้องแข็งแกร่งเหนือข้าเสียก่อน”
  “เจ้าอยากลองหรือไม่?”
  เสียงกล่าวคำของแม่นาง 7 เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นถึงที่สุด จากนั้นนางก็หยุดร่างลง ด้านชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองก็หยุดลงเช่นกัน เหล่าศิษย์ขอบเขตราชาเทพอีกเกือบร้อยที่ตามมาด้านหลังก็ชะงักเท้า กล่าวได้ว่าทั้งกองได้หยุดลงด้านหน้าทางเข้าสนามรบราชาเทพกันหมด…