ต้วนหลิงเทียนศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ ครั้งแรกที่เข้าสู่สนามรบราชาเทพ ก็สามารถฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะได้ถึง 100 คน
หลังจากเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนนำป้ายประจำตัวศิษย์นิกายมหาเอกะ 100 ป้ายไปแลกแต้มรบที่ตำหนักแต้มรบในเมืองสันติแพร่กระจายออกไป ไม่ใช่แค่ภายในตำหนักแต้มรบเท่านั้นที่พุ่งพล่าน กระทั่งนิกายมังกรสวรรค์กับนิกายมหาเอกะยังสั่นสะเทือน
แตกต่างจากความประหลาดใจและยินดีของนิกายมังกรสวรรค์ ด้านนิกายมหาเอกะนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าอาวุโสของนิกายมหาเอกะที่รับทราบว่าศิษย์ของตัวเองถูกต้วนหลิงเทียนฆ่า ยิ่งโกรธแค้นนัก พวกมันยังรีบไปเมืองสันติเพื่อตามหาตัวอาวุโสฝ่ายในนาม ‘หวงอวิ๋น’ ที่ไปยั่วโทสะต้วนหลิงเทียนเมื่อเกือบปีก่อน จนเป็นเหตุให้ต้วนหลิงเทียนตัดสินใจฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะ 100 คน หมายชำระแค้นบางส่วน!
อนิจจาเนื่องจากหวงอวิ๋นได้ออกจากเมืองสันติไปยังเมืองมหาเอกะเข้าสู่สนามรบจอมราชันเทพไปแล้ว พวกมันก็เสมือนไร้ที่ให้ระบายโทสะ
หลังจากต้วนหลิงเทียนได้แต้มรบเรียบร้อย ป้ายประจำตัวศิษย์นิกายมหาเอกะทั้ง 100 ก็ได้ถูกผู้อาวุโสในเมืองสันตินำไปส่งที่เมืองมหาเอกะ ยังส่งถึงมือผู้อาวุโสที่เฝ้าเมืองมหาเอกะ
“อวี้เอ๋อ!!”
ชายชราซึ่งแต่เดิมใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา พอเห็นป้ายประจำตัวหนึ่งที่มีคนนำมาให้ มันก็คำรามออกมาเสียงต่ำ
เพราะป้ายที่ได้ เป็นของหลานชายสุดที่รักมัน…
แต่บัดนี้อีกฝ่ายได้ตกตายในสนามรบราชาเทพเสียแล้ว แถมยังเป็น 1 ใน 100 คนที่ถูกต้วนหลิงเทียนศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ฆ่าตาย
“ศิษย์พี่”
หลังคนจากเมืองสันติกลับไป ชายชราก็เร่งออกจากเมืองสันติและกลับไปยังนิกายมหาเอกะทันที ยังรีบส่งข้อความออกไปเร็วไว “ตอนนี้ท่านให้หลงเซี่ยงกลับออกมาเถอะ…ตอนนี้ให้มันอยู่ในนั้นและเข่นฆ่าคนของนิกายมังกรสวรรค์ไปก็มิได้มีอะไรดีขึ้นมา”
“มิสู้ให้มันกลับออกมาแล้วท้าประลองเป็นตายกับต้วนหลิงเทียนประเสริฐกว่า!”
“แน่นอนว่าหากพวกเราไม่มั่นใจ หรือทางนิกายมังกรสวรรค์ปฏิเสธ พวกเราจะเปลี่ยนไปทำข้อตกลงกับนิกายมังกรสวรรค์แทน ว่าหลังจากนี้ต้วนหลิงเทียนกับซีเหมินหลงเซี่ยงจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่สนามรบราชาเทพอีก กล่าวได้ว่าห้ามไม่ให้ทั้งคู่เข้าไปอีกเลย”
ถึงแม้ชายชราจะเคียดแค้นชิงชังต้วนหลิงเทียนมากขนาดไหน แต่มันก็รู้ดี ว่าไม่อาจลงมือทำอะไรต้วนหลิงเทียนภายในระนาบศึกจักรพรรดิได้
ยิ่งภายนอก เรื่องคิดจะฆ่าต้วนหลิงเทียนยังยากกว่า เว้นเสียแต่มันจะมั่นใจว่าสามารถฆ่าต้วนหลิงเทียนได้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้
นิกายมหาเอกะ เป็นสถานที่ๆปลูกฝังมันให้มีอย่างทุกวันนี้ และทางนิกายก็คอยดูแลมันมาโดยตลอด
ถึงแม้หลานชายจะสำคัญกับมันมาก แต่มรดกของนิกายก็สำคัญไม่แพ้กัน หากมันเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนซึ่งเป็นศิษย์อัจฉริยะคนสำคัญของนิกายมังกรสวรรค์ล่ะก็ เว้นเสียแต่นิกายมหาเอกะจะอุบัติตัวตนระดับจักรพรรดิเทพได้ในเร็ววัน และยกระดับทั้งนิกายให้สูงขึ้นจนนิกายมังกรสวรรค์ไม่กล้าลงมือล้างแค้น…
หาไม่แล้ว เมื่อเกิดการล้างแค้นขึ้นมา นิกายก็มีแต่ต้องตกต่ำลงจากการสูญเสีย
ถึงตอนนั้นมันจะไม่ใช่การต่อสู้เพื่อเคี่ยวกรำอีกต่อไป แต่คือการจ้องจะฆ่ากันให้ตาย!
สิ่งนี้ทำให้มันที่มีความแค้นสุมเต็มอก ก็ยังไม่ได้เสียสติและถูกความแค้นครอบงำ รู้ว่าอะไรควรไม่ควรทำ
“อืม เรื่องนี้พวกเรามาหารือกันเลยเถอะ”
ไม่นานนักก็มีเสียงข้อความตอบกลับ
ไม่นานนักเหล่าระดับสูงของนิกายมหาเอกะก็ได้มารวมตัวกันในห้องโถงหลักอีกครั้ง และระดับสูงที่ว่าแต่ละคนก็มีฐานะเทียบได้กับชนชั้นอาวุโสมังกรดำของนิกายมังกรสวรรค์
ไม่ว่าใครล้วนแล้วแต่เป็นจอมราชันเทพขั้นสูง!
ประมุขนิกายมหาเอกะก็รวมอยู่ด้วยเป็นธรรมดา
หลังจากที่ชายชรากล่าวเสนอเรื่องราวในที่ประชุม หลายๆคนก็เห็นด้วย “อืม…ต้วนหลิงเทียนกับซีเหมินหลงเซี่ยง เก่งกาจเกินระดับราชาเทพขั้นสูงไปแล้วจริงๆ สำหรับพวกมันเหล่าศิษย์ในสนามรบราชาเทพมิได้มีอันใดท้าทาย ยังจะเป็นการฆ่าล้างอยู่ฝ่ายเดียว เช่นนั้นไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์ของนิกายมหาเอกะเราจักมิได้รับประสบการณ์อันใด ด้านนิกายมังกรสวรรค์ก็ดุจเดียวกัน ข้าจึงเห็นด้วยที่จะไปหารือกับนิกายมังกรสวรรค์ เรื่องสั่งห้ามมิให้ต้วนหลิงเทียนกับซีเหมินหลงเซี่ยงกลับเข้าสู่สนามรบราชาเทพอีก”
“ข้าด้วย”
“ข้าไม่มีใดคัดค้าน”
…
ในบรรดาผู้อาวุโสที่มาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ หลายคนก็มีลูกหลานหรือศิษย์ที่ตกตายคามือต้วนหลิงเทียนในสนามรบราชาเทพ
นอกจากนั้น ศิษย์หรือลุกหลานของหลายๆคนในที่ประชุมก็ยังอยู่ในสนามรบราชาเทพ
เช่นนั้นไม่ว่าจะหน้าไหนก็ไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนกับเข้าไปในสนามรบราชาเทพอีก เพราะนั่นไม่ต่างอะไรจากปล่อยเสือคืนป่า และเสี่ยงให้ศิษย์นิกายมหาเอกะของพวกมันถูกฆ่าตายเปล่าๆ
“ว่าแต่เจ้าต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ไฉนมันถึงได้แข็งแกร่งนักเล่า นี่มิใช่ว่าเหนือกว่าข่าวลือไปแล้วหรือไร?”
หลายคนเริ่มสังเกตเห็นจุดนี้
“มิพ้นตลอดเวลาที่ผ่านมา มันต้องซุกซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้แน่!”
“เรื่องนี้ เห็นกันัชดเจน”
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่ร้ายกาจนัก ข้าคิดว่าอาศัยสิ่งที่มันเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ก็น่าทึ่งมากแล้วเสียอีก…มิคิดเลยว่าที่แท้มันจะยังซุกซ่อนพลังฝีมือเอาไว้”
“เรื่องต้วนหลิงเทียนพักไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้พวกเรารีบเรียกตัวซีเหมินหลงเซี่ยงกลับมาก่อน…ข้าจำได้ว่าหากน้องสาวของซีเหมินหลงเซี่ยงตกอยู่ในอันตราย นางจะส่งกระแสจิตไปหาซีเหมินหลงเซี่ยงโดยไม่รู้ตัว ถึงตอนนั้นซีเหมินหลงเซี่ยงที่รับทราบต้องกลับออกมาทันทีแน่”
…
การประชุมครั้งนี้ของระดับสูงนิกายมหาเอกะ กินเวลากว่าครึ่งชั่วยามก็ได้ข้อยุติ
หลังจบการประชุมแล้ว ภายในโถงหลักก็หลงเหลือคนอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน
ประมุขนิกายมหาเอกะ
อาวุโสสูงสุดของนิกายมหาเอกะ ลั่วฉีจ้าน
นอกจากนั้นยังมีชายชราอีกคนที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์คล้ายทารก
ลั่วฉีจ้านนั้น ในอดีตมันถือว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนเรื่องทำศึกจักรพรรดิน้อยที่สุดในนิกายมหาเอกะ เพราะมันรู้สึกว่าต่อให้ไม่มีศึกจักรพรรดิ แต่ศิษย์ของศิษย์พี่มันอย่างซีเหมินหลงเซี่ยง ต้องบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพได้ในสักวัน
อย่างไรก็ตาม พอมันได้ยินศิษย์พี่กล่าวว่า ซีเหมินหลงเซี่ยงกำลังจะออกจากนิกายมหาเอกะ ประจวบกับที่ต้วนหลิงเทียนได้ปรากฏตัวขึ้นในนิกายมังกรสวรรค์ มันก็เปลี่ยนความคิดทันที
“เรื่องที่จะเรียกให้ซีเหมินหลงเซี่ยงกลับออกมา คงต้องรบกวนท่านแล้วอาจารย์ลุง”
ประมุขนิกายมหาเอกะหันไปมองกล่าวกับชายชราที่มีใบหน้าอ่อนวัยคล้ายทารกด้วยท่าทีสุภาพมากเคารพ
“อืม”
ได้ยินดังนั้น ชายชราก็พยักหน้ารับคำสั้นๆ และพริบตาเดียว คนก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาประมุขนิกายมหาเอกะ รวมถึงอาวุโสสูงสุดอย่างลั่วฉีจ้าน
“จนบัดนี้ข้ายังไม่เข้าใจ ว่าไฉนศิษย์พี่ถึงยินดีปล่อยให้ซีเหมินหลงเซี่ยงออกจากนิกายมหาเอกะเรา…หรือกังวลเรื่องที่นิกายมหาเอกะเราไม่อาจมอบอนาคตที่ดีให้ซีเหมินหลงเซี่ยงได้?”
ลั่วฉีจ้านกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“อาจารย์อาลั่ว…หากข้าเป็นอาจารย์ลุง ข้าก็ไม่พ้นต้องเลือกเช่นเดียวกัน”
ประมุขนิกายมหาเอกะส่ายหน้าไปมาพลางกล่าว “นิกายเรามิอาจผูกมัดซีเหมินหลงเซี่ยงเอาไว้ได้จริงๆ ท่านอาจคิดแค่ว่าด้วยพรสวรรค์ของซีเหมินหลงเซี่ยง มิว่าจะอยู่ที่ใดก็ไม่น่ามีปัญหาที่จะทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพกระมัง?”
“แต่ความจริงมิได้มีเท่านั้น”
“หากให้ซีเหมินหลงเซี่ยงเสียเวลาอยู่ที่นิกายมหาเอกะเรามากไป ถึงแม้วันหน้าจักสามารถบรรลุถึงขอบเขตคจักรพรรดิเทพได้อยู่ดี แต่ทว่านานไปก็คงยากจะรับมือหายนะสวรรค์ทุกรอบพันปีได้แน่”
“ข้าคิดว่า…เหตุผลที่อาจารย์ลุงเลือกจะให้ซีเหมินหลงเซี่ยงไปจากนิกายมหาเอกะเรา อาจไม่ใช่มองแค่วันหนึ่งซีเหมินหลงเซี่ยงจะหยุดอยู่แค่ขอบเขตจักรพรรดิเทพเท่านั้น…อาจารย์ลุงสมควรวาดหวังให้มันบรรลุถึงขอบเขตอริยะเทพ!”
พอประมุขนิกายมหาเอกะกล่าวจบคำ ลั่วฉีจ้านก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างอดไม่ได้
อริยะเทพ!?
นั่นจะเป็นไปได้หรือ!?
…
ภายในเขตนิกายมหาเอกะ
ณ ยอดเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยทะเลเมฆหมอกปกคลุมตลอดปี สถานที่ๆไม่อนุญาตให้ศิษย์นิกายมหาเอกะคนใดล่วงล้ำ ปรากฏหน่วยลาดตระเวนเหินตรวจตราโดยรอบอย่างแข็งขัน
ฟุ่บ!
ชายชราที่มีรูปลักษณ์ประดุจเทพเซียนในตำนาน ได้เหินร่างลัดฟ้าก่อนจะเข้าสู่ยอดเขาอันเต็มไปด้วยม่านหมอกอย่างเงียบงัน
อันที่จริงม่านหมอกที่ปกคลุมไปทั่วเขาลูกนี้ ที่แท้ก็เป็นผลพวงจากค่ายกลป้องกันปกปิดประการหนึ่ง อย่างไรก็ตามชายชราที่มีใบหน้าอ่อนวัยดั่งทารก สามารถผ่านเข้าออกได้อย่างง่ายดายประหนึ่งเดินเข้าสวนหลังบ้าน ไร้อุปสรรคใดๆ
และมุมหนึ่งของยอดเขาอันเงียบสงบ ปรากฏหุบเขาอันมีทัศนียภาพงดงาม และมีบ้านลานหลังหนึ่งปลูกสร้างเอาไว้ ตัวบ้านแลดูเก่าแก่มีร่องรอยการผ่านพ้นวันเวลามาเนิ่นนาน เพียงแต่ไม่ได้ทรุดโทรมเสียหายแต่อย่างใด
ชายชราที่ลุถึงน่านฟ้าเหนือหุบเขา มองลงไปก็เห็นลานบ้านชัดเจน
ภายในลานบ้าน ปรากฏร่างดรุณีน้อยแลแล้ววัยประมาณ 16-17 ปีในชุดสีเหลืองห่านกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนในลานอย่างซึมเซา ใบหน้าที่ซีดเล็กน้อยของนายฉายชัดถึงรอยยิ้มสดใส ยามเห็นสัตว์ตัวน้อย 2 ตัววิ่งไล่หยอกล้อกันในลาน
แม้นางจะนั่งอยู่บนโต๊ะ แต่กลับให้ความรู้สึกอ่อนแอ ราวกับขอเพียงมีสายลมผัดมาแผ่วๆก็อาจพัดร่างบางให้ปลิดปลิวได้ง่ายดาย
วูบ
ชายชราที่ลอยร่างกลางหาว ค่อยๆโรยตัวลงมาอย่างช้าๆ สองตาที่มองจ้องไปยังดรุณีน้อยฉายชัดถึงความอ่อนโยน
พอชายชราหยุดลงบนพื้นดินแล้ว ดรุณีน้อยก็คล้ายสัมผัสได้ว่ามีคนมา พอหันไปก็พบเห็นชายชราคุ้นตา สองตากลมสวยเผยให้เห็นสีสันแห่งความสุขทันที “ท่านอาจารย์”
พอกล่าวจบคำ นางที่คล้ายจะลุกขึ้นทำความเคารพ ก็ชะงักไปคล้ายถูกอะไรบางอย่างฉุดรั้ง
ซัวว!
ชายชราพลิกฝ่ามือเบาๆ ดรุณีน้อยที่กำลังจะลุกก็ถูกพลังไร้สภาพอ่อนโยนขุมหนึ่งกดทับให้กลับไปนั่งทันที “หวินเอ๋อ อาจารย์มิใช่ว่าเคยบอกเจ้าไปแล้วหรือ? ว่าตอนนี้ร่างกายเจ้าอ่อนแอ ไม่จำเป็นต้องลุกมาคารวะให้มากพิธีอันใดยามพบข้า”
กล่าวจบคำ ชายชราก็ค่อยๆก้าวไปนั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนฝั่งตรงข้าม พลางยิ้มถามว่า “ที่นี่คงน่าเบื่อมากกระมัง”
“ไม่เลยท่านอาจารย์”
ดรุณีน้อยส่ายหัวไปมาเบาๆ “ท่านอาจารย์ หวินเอ๋อ เกิดมาพร้อมชีพจรตีบตัน มิอาจฝึกฝนบ่มเพาะได้ สามารถมีชีวิตได้อยู่จนถึงตอนนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ข้ามีแต่ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ที่ให้ข้าอยู่ที่นี่ ไหนเลยจะเบื่อได้เล่า”
ชายชราถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน “บางที อาจมีโอสถเทพบางชนิดที่สามารถช่วยกรุยชีพจรพลังที่ตีบตันของเจ้าได้ ทำให้เจ้าสามารถเริ่มต้นฝึกฝนบ่มเพาะได้เหมือนผู้อื่น…อนิจจาอาจารย์เกรงว่าด้วยความสามารถของอาจารย์คงมิอาจหาโอสถเทพระดับนั้นให้เจ้าได้”
“ทว่าพี่ชายของเจ้านั้น ย่อมมีหวัง!”
ชายชรากล่าว
ดรุณีน้อยส่ายหัวไปมา “ท่านอาจารย์แต่ไหนแต่ไรหวินเอ๋อมิเคยวาดฝันสวยหรูเช่นนั้น เรื่องกรุยชีพจรที่ตีบตันจนสามารถเริ่มฝึกฝนบ่มเพาะได้ เป็นดั่งความฝันที่ไกลเกินกว่าจะเป็นจริง หากเป็นไปได้หวินเอ๋ออยากให้พี่ใหญ่ผ่อนคลาย และมีเวลาใช้ชีวิตให้มีความสุขบ้าง อย่าได้ดิ้นรนทำเพื่อหวินเอ๋ออีกเลย…”
“หวินเอ๋อรู้…ว่าที่พี่ใหญ่บุกบั่นจนเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะหวินเอ๋อ”
กล่าวถึงประโยคท้าย แววตาของดรุณีน้อยก็ฉายชัดถึงความเศร้าซึม “หากมิใช่เพราะหวินเอ๋อกลัวว่าการตายของหวินเอ๋อจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางการฝึกฝนของพี่ใหญ่ หวินเอ๋อคงเลือกตายไปนานแล้ว”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของดรุณีน้อย ใบหน้าอ่อนวัยปานทารกของชายชราก็ฉายชัดถึงความเคร่งขรึมโดยพลัน “หวิ๋นเอ๋อ! ต่อไปเจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้อีก!!”
พอเห็นว่าดรุณีน้อยเผยสีหน้าหวาดกลัว หัวใจชายชราก็อ่อนยวบ ใบหน้าเริ่มหวนกลับมาอ่อนโยน “หวินเอ๋อ ที่ข้ามาหาเจ้าคราวนี้เพื่อคิดอาศัยเจ้าเรียกพี่ชายเจ้าให้กลับออกมา…เช่นนั้นเจ้าก็หลับพักผ่อนสักพักเถอะ”
พอกล่าวจบคำ ไม่ทันให้ดรุณีน้อยตอบสนองใดๆ ชายชราก็ใช้พลังไร้สภาพอ่อนโยนขุมหนึ่งทำให้นางสิ้นสติ จากนั้นก็ใช้พลังหอบหิ้วนางไปวางไว้บนเตีงเพื่อให้นอนหลับสบาย
จากนั้นชายชราพลันยกมือขึ้นเบาๆ ปรากฏแสงพลังสายหนึ่งพุ่งผ่านอากาศ ชำแรกลงไปยังกลางอกของดรุณีน้อยบนเตียงโดยไม่ทำให้เกิดบาดแผล
ทันใดนั้นร่างบางบนเตียงก็สะท้านไปเบาๆ
ครู่ต่อมาชายชราก็ถอนรั้งพลังคืนกลับ ก่อนร่างจะไหววูบออกไปด้านนอกหุบเขา และมองจ้องไปยังทิศทางที่ตั้งช่องทางเข้าออกระนาบศึกจักรพรรดิจุดหนึ่งของนิกายมหาเอกะ
ร่างชราลอยค้างกลางหาวสองมือไพร่หลัง ราวกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง
ในเวลาเดียวกัน
ภายในสนามรบราชาเทพ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อปานหยกเสลาทว่าแลดูเย็นชาไม่แยแสคนหนึ่ง ก็ได้ชะงักร่างกลางหาวทันที
วินาทีต่อมามือหนึ่งของมันก็กอบกุมไปที่หน้าอก จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง “หวินเอ๋อ!”
กล่าวจบคำพลังทั่วร่างของมันก็ปะทุลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟ คนกลับกลาเป็นภาพติดตา วูบร่างย้อนกลับไปด้านหลังด้วยความเร็วปานภูตภพราย
“นั่น…ศิษย์พี่ซีเหมินหลงเซี่ยงมิใช่รึ!? ศิษย์พี่ไฉนมาอยู่ในสนามรบราชาเทพได้? ไม่สิ! นี่ศิษย์ยังอยู่ในนิกายมหาเอกะของพวกเราหรือเนี่ย!?”
“มิผิด เป็นศิษย์พี่ซีเหมินหลงเซี่ยงจริงๆ! แต่ไฉนสีหน้าถึงแลดูไม่ค่อยจะสู้ดีนักเล่า”
…
ห่างออกไปไม่ไกลจากทางเข้าออกสนามรบราชาเทพ ศิษย์นิกายมหาเอกะกลุ่มหนึ่งที่เข้าสู่สนามรบราชาเทพตั้งแต่เปิด และไม่ได้รู้เรื่องการคงอยู่ของซีเหมินหลงเซี่ยง พอเห็นร่างชายหนุ่มคุ้นตาเร่งร้อนเหินผ่านไป ก็อดหยุดร่างและหันไปชมดูไม่ได้ ขณะเดียวกันสีหน้าแววตาก็ฉายชัดถึงความสงสัย
ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนถึงได้ทำให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับ 1 ใต้ขอบเขตจอมราชันเทพของนิกายมหาเอกะพวกมัน แลดูร้อนรนถึงเพียงนั้น!