“แล้วพี่เหยียนเหนียนคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ได้ยินคำถามของตงฟางเหยียนเหนียน ต้วนหลิงเทียนก็ส่งข้อความไปถามกลับด้วยน้ำเสียงทะเล้น
“ฮ่าๆๆ…ข้าย่อมเชื่อมั่นในตัวเจ้าเป็นธรรมดา”
ตงฟางเหยียนเหนียนหัวเราะร่า “ถึงแม้เจ้ากับข้า พวกเราจะรู้จักกันได้ไม่กี่ปี…แต่เท่าที่ข้ารู้เกี่ยวกับเจ้ามา อย่างหนึ่งเลคือเจ้าไม่ใช่คนที่กลับคำพูดง่ายๆ”
“นอกจากนั้น เจ้าเองก็เข้าสู่สนามรบราชาเทพเกือบปีแล้วกว่าจะกลับออกมา…หมายความว่าเจ้าทำตามคำพูดสำเร็จแล้วกระมัง?”
เสียงกล่าวท้ายประโยคของตงฟางเหยียนเหนียน ฟังดูเสมือนยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่
“พี่เหยียนเหนียน ตอนนี้ท่านกำลังไปเมืองสันติกระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเปิดโปงอีกฝ่าย เพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ก้าวอาดๆไปยังสถานที่แลกเปลี่ยนแต้มรบ เพื่อรับแต้มรบทันที
บริเวณใจกลางเมืองสันติ จะมีอาคารหลังหนึ่งเรียกว่า ‘ตำหนักแต้มรบ’ ซึ่งเป็นสถานที่ให้ศิษย์นิกายมังกรสวรรค์และนิกายมหาเอกะใช้แลกเปลี่ยนแต้มรบโดยเฉพาะ
“เจ้าหนูนี่…กำลังหยอกล้อข้าเช่นนั้นรึ”
ตงฟางเหยียนเหนียนที่อยู่ในเมืองมังกรสวรรค์ หลังได้ยินข้อความสุดท้ายของต้วนหลิงเทียน มันก็อดส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ช่างเถอะ…เดี๋ยวไปถึงเมืองสันติก็รู้”
หลังพึมพำจบคำ ร่างตงฟางเหยียนเหนียนก็ไหววูบ คนคล้ายกลายเป็นเงาร่างเลือนรางสายหนึ่ง พุ่งตัดเมืองมังกรสวรรค์ไปทางเมืองสันติด้วยความเร็วสูง
ในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองสันติมากขึ้น
โดยเฉพาะผู้คนจากเมืองมหาเอกะ ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองสันติมากกว่าคนของนิกายมังกรสวรรค์เสียอีก
พวกมันไปเพื่อชมดูเรื่องบันเทิง
และสิ่งที่พวกมันอยากจะเห็นที่สุดก็คือความล้มเหลวของต้วนหลิงเทียนหลังแลกเปลี่ยนแต้มรบ
…
เมืองสันติ
ตำหนักแต้มรบ
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเดินมาถึงตำหนัก ระหว่างทางก็มีหลายคนที่จดจำเขาได้ เช่นนั้นก็เดินตามเขามาทันที
ในบรรดาคนที่ตามเขามา มีทั้งคนของนิกายมังกรสวรรค์และนิกายมหาเอกะ หลายคนยังชี้นิ้วบอกสหาย ทั้งมองมาที่เขาด้วยสายตาเย้ยหยัน
พวกที่มองมาด้วยสายตาเย้ยหยันทั้งชี้นิ้วก็เป็นคนของนิกายมหาเอกะทั้งสิ้น
“ข้าขอแนะนำให้ศิษย์นิกายมังกรสวรรค์อย่างพวกเจ้าอย่าได้เข้าไปตำหนักแต้มรบจะดีกว่า…หาไม่แล้วพวกเจ้าในฐานะที่เป็นคนนิกายมังกรสวรรค์จะพลอยเสียหน้าไปพร้อมต้วนหลิงเทียน!”
ศิษย์นิกายมหาเอกะบางคน หันไปมองศิษย์นิกายมังกรสวรรค์พลางกล่าวเย้ยหยัน
“ใช่แล้ว หากข้าเป็นพวกเจ้านะ ข้ารีบไปให้ห่างแถวนี้ดีกว่า ไม่กล้าเข้าไปให้เสียหน้าหรอก”
ศิษย์นิกายมหาเอกะอีกคน ก็คลี่ยิ้มแดกดัน “ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนนั่นมันจะเข้าสู่สนามรบราชาเทพ มันกล้าลั่นวาจาต่อหน้าอาวุโสหวงอวิ๋นรวมถึงศิษย์พี่ศิษย์น้องนิกายมหาเอกะของข้ามากมาย ยังเป็นการขู่พวกเราว่าหากฆ่าคนไม่ครบร้อยจะไม่กลับออกมาจากสนามรบราชาเทพ”
“แต่ตอนนี้มันที่เข้าไปในสนามรบราชาเทพไม่ทันถึงปีก็กลับออกมาแล้ว พวกเจ้าคงไม่อุตริคิดว่ามันฆ่าคนของพวกเราได้ครบร้อยจริงๆกระมัง?”
“พวกเจ้าเองก็คงรู้กันแล้ว ว่าในปัจจุบันคนของนิกายมหาเอกะเราก็ตกตายไปไม่ถึง 150 คนด้วยซ้ำ!”
“มีคนตายไม่ถึง 150 คน…ถ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันฆ่าคนของพวกเราได้ถึง 100 คนจริงๆ เช่นนั้นมิได้หมายความว่าศิษย์คนอื่นๆของนิกายมังกรสวรรค์พวกเจ้า ล้วนเป็นสัดใส่ข้าวใช้การมิได้หรือไร?”
“แต่เป็นธรรมดา ที่ข้าจะไม่คิดว่าศิษย์คนอื่นๆของนิกายมังกรสวรรค์พวกเจ้า จะเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้จริงๆ”
…
ต่างจากเสียงโห่ร้อง หยันหยามทั้งแดกดันของศิษย์นิกายมหาเอกะ ด้านศิษย์นิกายมังกรสวรรค์เอาแต่นิ่งเงียบหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ละคนแม้จะไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ได้ก้าวเข้าไปในตำหนักแต้มรบแล้ว
และต้วนหลิงเทียนพึ่งจะเข้าสู่ตำหนักแต้มรบได้ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงทำความเคารพดังขึ้นจากด้านนอก “คารวะอาวุโสหวงอวิ๋น”
“อาวุโสหวงอวิ๋นท่านสบาย”
“อาวุโสหวงอวิ๋น ท่านก็มาแล้วหรือ!”
…
พร้อมๆกันกับที่เสียงทำความเคารพดังขึ้นระงม ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างหน้าตาธรรมดาหากแต่สองตาฉายแววแหลมคมปานมีดดาบ ก็ก้าวเข้ามาในตำหนักแต้มรบอย่างไม่รีบไม่ร้อน
หลังจากมันเข้ามาแล้ว มันก็จ้ำเท้าก้าวอาดๆไปไม่กี่ก้าว ก่อนจะหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ขวางทางเขาเอาไว้!
ต้วนหลิงเทียนที่โดนขวางก็หยุดลง จากนั้นก็มองถามอาวุโสของนิกายมหาเอกกะ หวงอวิ๋น ด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เจ้าคิดหาเรื่องในเมืองสันติ?”
“ตอนนี้ข้ากำลังจะไปแลกเปลี่ยนป้ายประจำตัวของศิษย์นิกายมหาเอกะเจ้าที่ข้าฆ่าตาย…มาขวางไว้เช่นนี้หรืออยากมีเรื่องกับข้า?”
กล่าวถึงจุดนี้ แววตาต้วนหลิงเทียนก็เผยความดุร้ายออกมาทันที
“เฮอะ!”
หวงอวิ๋นที่สัมผัสได้ถึงสายตาเฉยชามากมายที่เพ่งเล็งมาที่มัน ก็ทำให้มันรู้สึกกดดันนัก จึงรีบเปิดทางให้ต้วนหลิงเทียนไม่กล้าขัดขวางผู้อื่นเขาต่อ แต่ในขณะที่หลีกทางมันก็อดสบถออกมาเสียงเย็นไม่ได้
หลังจากนั้นมันก็เลือกจะเดินตามหลังต้วนหลิงเทียนไปไม่ห่าง กล่าวถามด้วยรอยยิ้มประชดประชัน “ต้วนหลิงเทียนเจข้ายังจำเรื่องที่พูดไว้กับข้าเมื่อ 10 เดือนที่แล้วในตำหนักโอสถได้หรือไม่?”
“วันนั้นเจ้าพูดอะไรนะ…อืม เหมือนจะเป็นหากเจ้าฆ่าคนของนิกายมหาเอกะได้ไม่ครบ 100 คนเจ้าจะไม่กลับออกมาจากสนามรบราชาเทพกระมัง?”
“วันนี้เจ้าออกจากสนามรบราชาเทพแล้ว แต่ไม่ทราบว่าได้ทำตามคำพูดที่ลั่นไว้เสร็จแล้วหรือยัง”
“หากเจ้ายังทำตามที่พูดไว้ไม่เสร็จ กล่าวได้ว่าวาจาของเจ้าก็ล้วนไม่ต่างใดจากผายลม! นับว่าศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายมังกรสวรรค์เช่นเจ้าชมชอบกล่าววาจาผายลม เป็นตัวสับปรับเชื่อถือมิได้!”
“นี่ไม่เพียงทำให้เจ้าต้องอับอายขายหน้า ยังทำให้ขายขี้หน้าไปถึงนิกายมังกรสวรรค์ของเจ้า!”
“หรือเดี๋ยวนี้นิกายมังกรสวรรค์นิยมสั่งสอนให้ศิษย์เป็นตัวสับปรับแล้ว?”
…
หวงอวิ๋นกล่าวคำแดกดันเคล้าเสียงหัวเราะไปตลอดทาง ราวกับตัดสินไปแล้วว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีทางทำตามคำพูดที่ลั่นไว้วันนั้นได้แน่นอน
ถึงแม้ภายในตำหนักแต้มรบจะมีคนของนิกายมังกรสวรรค์อยู่หลายคน แต่พวกมันก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดจา เพียงมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงสัย
ลึกลงไปในใจ พวกมันก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าต้วนหลิงเทียนจะมีปัญญาฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะในสนามรบราชาเทพได้ครบร้อยคนทั้งๆที่ยังผ่านไปไม่ถึงปี
ต้องทราบด้วยว่าหลังจากต้วนหลิงเทียน ‘ลั่นวาจาอหังการ’ วันนั้น ทางนิกายมหาเอกะก็สั่งให้เหล่าศิษย์จัดกลุ่มที่มีกำลังรบมากพอจะฆ่าต้วนหลิงเทียนได้
ภายหลังนิกายมหาเอกะยังสั่งให้จัดกลุ่มใหญ่เป็นกองร้อยด้วยซ้ำ
ท่ามกลางสายตาทุกคน ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินอยู่ก็ได้หยุดลง
จากนั้นเขาก็หันหน้าเล็กน้อย เหลือบมองหวงอวิ๋นด้วยหางตา ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวราวหิมะสองแถว “เจ้าว่า…หากผู้อาวุโสและญาติของเหล่าศิษย์นิกายมหาเอกะทั้ง 100 คนที่ตายด้วยมือข้า รู้ว่าสาเหตุการตายของศิษย์และญาติของพวกมัน มีต้นเหตุมาจากความอวดดีของหวงอวิ๋นเจ้า พวกมันจะรู้สึกอย่างไร?”
พอกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวอาดๆไปยังโต๊ะบริการหนึ่งภายในตำหนักแต้มรบทันที
ด้านหวงอวิ๋นก็ถึงกับนิ่งไป ไม่ก้าวตามต้วนหลิงเทียนอีก
รอยยิ้มแดกดันเสียดสีได้สลายหายไปจากใบหน้า ถูกความไม่เชื่อเข้ามาแทนที่ หังนิ่งคิดไปพักหนึ่งก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างแรง “ไม่! ไม่มีทาง! เรื่องพรรค์นั้นมันเป็นไปมิได้แน่นอน!!”
ในเวลาเดียวกัน
“ศิษย์ขอคารวะอาวุโสตงฟางเหยียนเหนียน”
“อาวุโสตงฟาง!”
…
พร้อมๆกันกับที่มีเสียงทักทายด้วยความเคารพดังขึ้นด้านหน้าตำหนักแต้มรบ อาวุโสมังกรขาวแห่งนิกายมังกรสวรรค์ตงฟางเหยียนเหนียนก็ก้าวอาดๆเข้ามาภายในตำหนักแต้มรบ จากนั้นก็มองกล่าวกับหวงอวิ๋นด้วยสีหน้าล้อเลียน “อั้ยหยา ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าอาวุโสต๊อกต๋อยที่ฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะทั้ง 100 คนโดยอ้อมเช่นเจ้า…ทางนิกายมหาเอกะจะจัดการเจ้าอย่างไร?”
กล่าวจบคำ ตงฟางเหยียนเหนียนก็ก้าวอาดๆไปหาต้วนหลิงเทียนทันที
ในเวลาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะบริการแล้ว ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดมือเรียกป้ายรบออกมาจากแหวนพื้นที่มากมาย ท่ามกลางสายตาของทุกคน
“อืม…100 ป้ายพอดีมิขาดมิเกิน”
ด้านอาวุโสที่นั่งประจำโต๊ะบริการ หลังจากตรวจสอบป้ายประจำตัวของศิษย์นิกายมหาเอกะที่ต้วนหลิงเทียนนำออกมาแล้ว มันก็กล่าวว่า “มีป้ายศิษย์นิกายมหาเอกะขอบเขตราชาเทพขั้นสูง 21 ป้าย ป้ายศิษย์นิกายมหาเอกะขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง 34 ป้าย ส่วนที่เหลืออีก 45 ป้ายเป็นป้ายของศิษย์นิกายมหาเอกะขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ”
“เช่นนั้นป้ายประจำตัวทั้งหมด สามารถแลกเปลี่ยนเป็นแต้มรบได้ 740 แต้ม”
พอชายชรากล่าวจบคำ สรรพเสียงในตำหนักแต้มรบก็เงียบหายปานคนตาย
“เสี่ยวเทียน เจ้าร้ายกาจมาก!”
ตงฟางเหยียนเหนียนที่เดินมาถึงด้านข้างต้วนหลิงเทียน ก็ตบไหล่ต้วนหลิงเทียนอย่างแรง จากนั้นก็ยกนิ้วให้ต้วนหลิงเทียนด้วยความชื่นชม
ขณะเดียวกันภายในตำหนักที่เงียบไปครู่หนึ่ง พอเสียงกล่าวชมของตงฟางเหยียนเหนียนดังขึ้น ก็เสมือนการจุดชนวนความวุ่นวายอย่างไรอย่างนั้น
“โอ้แม่เจ้า! ต้วนหลิงเทียน…ทำได้จริงๆ!!”
“ข้าฝันไปรึเปล่า…คนเพียงคนเดียวทั้งยังเข้าไปในสนามรบราชาเทพได้ไม่ถึง 1 ปีที แต่พี่ท่านเล่นฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะไปแล้วร้อยคนเรอะ!?”
“จริงหรือนี่!? ข้าได้ยินมาว่า จำนวนศิษย์นิกายมหาเอกะขอบเขตราชาเทพที่ตายตกก็มีแค่เกือบๆ 150 คนเท่านั้น! แต่ในบรรดา 150 คนที่ตาย เป็นต้วนหลิงเทียนฆ่าไปถึง 100 คนเชียวหรือ? ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนมันสูงถึงขนาดนั้นเชียว!?”
“ทั้งๆที่นิกายมหาเอกะสั่งให้ศิษย์ของพวกมันจัดกลุ่มเพื่อปราบต้วนหลิงเทียนเป็นพิเศษแล้วนะ…แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มที่พวกมันตระเตรียมไว้จักไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับต้วนหลิงเทียนเลย!”
“จะร้ายกาจเกินไปแล้ว! ร้ายกาจจนน่ากลัว!!”
“มารดาเราช่วย…นี่ใช่สิ่งที่ผู้คนกระทำได้จริงๆหรือ!?”
…
เหล่าศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ที่อยู่ภายในตำหนักแต้มรบ ตอนนี้ตกตะลึงอึ้งไปกันใหญ่
เหล่าศิษย์นิกายมหาเอกะจากเดิมที่หยิ่งผยองลำพอง บัดนี้เสมือนปากถูกเย็บปิดตาย ไม่มีคำใดโผล่พ้นลำคอ สีหน้าแต่ละคนยังบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ หลายคนยังดูไม่ได้ปานเคี้ยวข้าวแล้วเจอแมลงสาบครึ่งตัวในชาม
แน่นอนว่าผู้ที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์กว่าใคร แถมยังเริ่มซีดลงคล้ายเลือดระเหยหายก็คืออาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะ หวงอวิ๋น!
เรียกว่าตอนนี้ ไม่อาจหาสีเลือดบนใบหน้าหวงอวิ๋นได้พบ จึงซีดปานขี้เถ้าอย่างไรอย่างนั้น
มันจินตนาการออกได้ไม่ยาก ว่าหากผู้อาวุโสรวมถึงเหล่าญาติสนิทมิตรสหายของศิษย์นิกายมหาเอกะที่ตกตายคามือต้วนหลิงเทียนทั้ง 100 คน ทราบว่าทั้งหมดถูกมันฆ่าตายโดยอ้อม แล้วมันจะมีจุดจบอย่างไร
เกรงว่าวินาทีแรกที่มันออกไปปรากฏตัวที่นิกายมหาเอกะ มันต้องถูกฆ่าแน่!
ความโกรธของสาธารณะชนนั้นยากระงับแค่ไหน มันย่อมรู้ดีเป็นธรรมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น ในนิกายมหาเอกะมันก็เป็นแค่อาวุโสฝ่ายในต๊อกต๋อยคนหนึ่งไร้ซึ่งภูมิหลังอะไร จึงมีตัวตนที่มันไม่อาจล่วงเกินได้มากมาย
“ฮ่าๆๆๆ…พวกเจ้านิกายมหาเอกะเป็นอันใดกันไปแล้วเล่า มิใช่เมื่อครู่ยังหยิ่งผยองกันนักหรือ? ทำไม ตอนนี้โดนอันใดอุดปากกันหมดเล่า ไม่พูดอะไรหน่อยหรือ?”
“เฮ่ย เจ้าหัวหยองผู้นั้นน่ะ มิใช่เมื่อครู่ยังดูถูกต้วนหลิงเทียนอยู่รึไร ไฉนเงียบไปเล่า ผีโง่งมเข้าสิงรึ?”
“อั้ยหยา อาวุโสหวงอวิ๋นอ่า…แม้ท่านจะเป็นอาวุโสของนิกายมหาเอกะ แต่กลับร้ายกาจกว่าศิษย์ขอบเขตราชาเทพในนิกายมังกรสวรรค์ของพวกเราส่วนใหญ่เสียอีก ท่านแค่พูดไม่กี่คำก็เป็นเหตุทำให้ศิษย์นิกายมหาเอกะตกตายถึงร้อยคนแล้ว…ร้ายกาจ ร้ายกาจ! ข้าต้องรีบเอาความร้ายกาจของท่านไปป่าวประกาศให้ผู้คนรู้เรื่องนี้แล้ว!!”
“เหอะๆ…ข้าล่ะอยากจะเห็นสีหน้าของเหล่าเจ้าทุกข์ของผู้ตายในนิกายมหาเอกะท่านจริงๆ ว่าจะเป็นอย่างไรหลังได้รับทราบเรื่องนี้”
…
เหล่าศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ที่ก่อนหน้าถูกเหล่าศิษย์นิกายมหาเอกะล้อเลียนมานาน บัดนี้เสมือนได้ทีขี่แพะไล่อย่างไรอย่างนั้น พวกมันกล่าวคำเย้ยหยันใส่คนของนิกายมหาเอกะกันอย่างสนุกปาก ความรู้สึกเสมือนได้เปลี่ยนจาก ‘ข้าทาสไปเป็นเจ้าบ้าน’ อย่างไรอย่างนั้น
คราวนี้จึงถึงวาระที่คนของนิกายมหาเอกะได้แต่ก้มหน้า ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้
ไม่นานนักคนของนิกายมหาเอกะหลายคนก็แยกย้ายกันจากไปด้วยท่าทีผิดหวัง
หวงอวิ๋นก็พยายามตีเนียนปะปนออกไปกับฝูงชนเช่นกัน
ทว่าในขณะที่หวงอวิ๋นกำลังจะก้าวออกจากตำหนักแต้มรบนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็โพล่งออกมาเสียงดังฟังชัด “อาวุโสหวงอวิ๋น เดินดีๆล่ะ!”
คำนี้ฟังแล้วเหมือนห่วงใย แต่ด้านผู้ฟังอย่างหวงอวิ๋นแทบกระอักเลือดตายอยู่ตรงนั้น
จากนั้นหวงอวิ๋นที่ตาแดงก่ำ ก็กัดฟันกล่าวประกาศออกมาเสียงดังลั่น “ข้าอาวุโศฝ่ายในของนิกายมหาเอกะหวงอวิ๋น จักเข้าสู่สนามรบจอมราชันเทพทันที และข้าจักสู้กับจอมราชันเทพของนิกายมังกรสวรรค์จนตัวตาย!”
“ข้าจักสู้จนสิ้นเลือดหยดสุดท้ายเพื่อนิกายมหาเอกะ!”
หวงอวิ๋นรู้ดีว่าตอนนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้ว
มันรู้ดีว่าหากมันออกจากระนาบศึกจักพรรดิตอนนี้ ไม่เพียงแต่มันจะโดนคาดโทษจากนิกาย แต่ยังจะโดนเหล่าผู้อาวุโสและญาติสนิทมิตรสหายของผู้ที่ตกตายในสนามรบราชาเทพเอาตายแน่! อีกทั้งเรื่องราวยังอาจลุกลามไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลังมัน!!
มีแต่เข้าไปสู้กับจอมราชันเทพของนิกายมังกรสวรรค์ในสนามรบจอมราชันเทพจนตัวตาย เป็นการอุทิศตนเพื่อนิกายมหาเอกะเท่านั้น ถึงจะทำให้ครอบครัวและญาติของมันที่อยู่เบื้องหลังรอดพ้นหายนะ