พลังสายเลือดนั้นี้เป็นเอกลักษณ์ของชนพื้นเมืองในระนาบเทพ
กวงเทียนเจิ้งก็มีเช่นกัน
นอกจากนั้นพลังสายเลือดของกวงเทียนเจิ้ง ยังแตกต่างจากพลังสายเลือดของคนส่วนใหญ่
พลังสายเลือดของคนส่วนใหญ่จะมีลักษณะการใช้งานเพียงรูปแบบเดียว หากทว่าพลังสายเลือดของกวงเทียนเจิ้งนั้นกลับไม่เหมือนกัน เพราะมันมี 2 รูปแบบ
รูปแบกแรก ก็คือการเพิ่ระดับบพลังในร่างของตัวเองในชั่วระยะเวลาหนึ่ง และไม่ได้ส่งผลเสียอะไรกับร่างกาย

อย่างไรก็ตาม รูปแบบที่ 2 นั้นเสมือนรีดเค้นพลังออกจากชีพจรสวรรค์ครึ่งหนึ่งทั้งหมด เพื่อให้ระเบิดพลังที่เหนือกว่าขีดจำกัดออกมาใช้ได้ครึ่งวัน อย่างไรก็ตามหากใช้รูปแบบการระเบิดพลังเกินขีดจำกัดเช่นั้นน จะทำให้ชีพจรพลังในร่างบาดเจ็บสาหัส รวมถึงระดับพื้ลังฝึกปรือในร่างจะลดลงครึ่งหน่งหากหมดเวลา
กล่าวได้ว่ารูปแบบที่ 2 นี้เป็นไพ่ตายใบสุดท้ายขณะจนตรอกของกวงเทียนเจิ้งแล้วจริง ๆ มันใช้ชีวิตมาหลายหมื่นปีก็เคยใช้พลังสายเลือดรูปแบบที่ 2 นี่แค่สองครั้งเท่านั้น ซึ่งทุกครั้งที่ใช้ก็อยู่ในห้วงวิกฤตเป็นตายเท่ากันทั้งสิ้น
และยังดีที่ 2 ครั้งนั้นทำให้มันสามารถฆ่าศัตรูได้ ทำให้ถึงมันจะบาดเจ็บสาหัสหลังครบกำหนดเวลา แต่มันก็เก็บกู้ชีวิตมาได้ เพียงแค่เสียเวลาฟื้นฟูชีพจรพลังหลายปีเท่านั้น
‘ไม่มีทางอื่นแล้ว’
‘ได้แต่ต้องฆ่ามันให้ตายเท่านั้น’

ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนรอดพ้นการลอบสังหารครั้งแรกของมันได้ กวงเทียนเจิ้งก็ตระหนักได้ทันที่ว่าต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติหลบการปะทุพลังสังหารของมันได้ทันท่วงที่
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติ พลังเทพขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำของต้วนหลิงเทียนก็เผยให้รู้โทนโท่
วินาทีนั้น กวงเทียนเจิ้งตระหนักได้ทันที่ว่ามันกับเซวียหมิงจื่อได้แพ้เดิมพันแล้ว และสิ่งที่พวกมันคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้กลับเกิดขึ้นจริง ๆ ต้วนหลิงเทียนกลับสามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพได้อย่างเหนือความคาดหมาย!
และการปะทะกันอีกครั้ง ยังทำให้มันล่วงรู้ถึงเรื่องอันน่าตื่นตกใจ
ต้วนหลิงเทียนคนนี้ ไม่เพียงแต่จะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำแล้วเท่านั้น อีกฝ่ายยังควบรวมปรับด่านพลังให้เสถียรมั่นคงได้แล้วอีกด้วย หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้านรับกระบวนท่ามันได้อย่างใจเย็นแบบนั้น

และตอนนี้….เวลาของมันก็เหลือแค่หนึ่งลมหายใจสุดท้ายแล้ว…
กวงเทียนเจิ้งย่อมรู้ดีว่านี่คือโอกาสสุดท้ายของมัน หากการระเบิดพลังสังหารครานี้ยังไม่อาจฆ่าต้วนหลิงเทียนได้อีก ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช้คู่ต่อสู้ของมัน แต่มันไม่พ้นต้องถูกอาวุโสมังกรขาวจับกุมแน่นอน
พอถึงตอนั้นนก็เลิกหวังเรื่องจะฆ่าต้วนหลิงเทียนไปได้เลย
เช่นั้นนมันจึงเลือกจะใช้พลังสายเลือดรูปแบบที่ 2 ออกมาทันที่ชีพจรพลังครึ่งหนึ่งในร่างคล้ากลับกลายเป็นกิ่งไม้แห้ง ๆ อย่างไรก็ตามีพลังงานที่รีดเค้นออกมาได้ กลับทำให้มันปะทุพลังได้เหนือกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน
เป็นธรรมดาว่าพลังดังกล่าวไม่ใช้ว่าจะอยู่ได้นาน

ที่สำคัญมันยังเลือกจะทุบหม้อจมเรือใช้พลังทุกหยาดหยดในร่างที่มีรวมรั้งลงสู่กระบวนท่าสังหาร ไม่เหลือไว้ป้องกันตัวแม้แต่เสี้ยวเศษ!
“ต้วนหลิงเทียน ไปลงนรกเสีย!!”
กวงเทียนเจิ้งที่ใช้พลังสายเลือดเร่งเร้าพลังจนเกินขีดจำกัด คารามออกมาเสียงดังสนั่น พลังที่รวมรั้งจากทั่วร่างถ่ายทอดลงสู่ดาบเทพขั้นสูงในมือจนตวัดาบเปล่งแสงพลังเจิดจ้ายามเสือกดาบจ้วงทะลวงออกไปเบื้องหน้า ความว่าง เปล่าคล้ายถูกทะลวงเจาะ เวิ้งฟ้าสะเทือนสนั่นในบัดดล!
จากนั้นดาบที่เสือกแทงออกไปพลันระเบิดพลังสังหารอามหิตก่อเกิดรังสีดำบสังหาร 4 สายขนาดใหญ่โตมึหมาปานจะปิดฟ้าบังตะวัน แยกย้ายกันทะลวงเข้าใส่ศีรษะต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!
ความเร็วของรังสีดำบทั้ง 4 สายที่แยกย้ายกันเข่นฆ่าสังหารเข้ามา มันช่างรวดเร็วถึงขั้นต้วนหลิงเทียนไม่อาจใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติได้ทันเวลา

“หยุดมือ!!”
“กวงเทียนเจิ้ง เจ้าอยากตาย หรือ!?”

ขณะที่กวงเทียนเจิ้งคารามลั่นพลางออกกระบวนท่าสังหาร เสียงเปี่ยมโทสะก็สนั่นก้องฟ้ามาแต่ไกล เป็นเสียงของเหล่าอาวุโสมังกรขาวที่กำลังเร่งรุดมาทางนี้ด้วยความเร็วสูงล้า และในน้ำเสียงไมได้มีแต่โทสะเท่านั้น ยังเจือไว้ด้วยความวิตกกังวลจับใจ
หากมีคนถูกฆ่าตายในพื้นที่ลาดตระเวันที่พวกมันรับผิดชอบ แม้พวกมันจะสังหารู้ผลงมือได้ภายหลัง พวกมันก็ไม่อาจรอดพ้นความผิดอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในช่วงศึกจักรพรรดิแบบนี้

ไม่แน่บทลงโทษที่พวกมันจะได้รับ ก็คือเข้าสู่สนามรบจอมราชันเทพ และต้องฆ่าอาวุโสของนิกายมหาเอกะที่มีพลังทัดเทียมกับพวกมัน! หากฆ่าไม่ได้ไม่ต้องออกมา!!
สิ่งนี้สำหรับพวกมันแล้ว ก็คืออันตรายใหญ่หลวง
“โอ้ เจ้ายังมีลูกเล่นแบบนี้ด้วย…”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วพลางอุททานด้วยความแปลกใจ จากนั้นก่อนที่เขาจะสามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติได้อีกครั้ง ก็ปรากฏร่าง ‘ต้วนหลิงเทียน’ คนหนึ่งแยกตัวออกมาจากร่างเขา
‘ต้วนหลิงเทียน’ ที่ว่าพอปรากฏตัวออกมาก็ทะยานขึ้นฟ้า ทั่วร่างเปล่งแสงสีเทาสว่างจ้า ก่อนจะระเบิดพลังออกมาปานจุดระเบิด
ครูต่อมาก็ปรากฏพายุพลังมิติอันน่าพรั่นพรึงกวาดถล่มไปเบื้องหน้า

ในเวลาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนเองก็เร่งนากระบี่เทพขั้นสูงออกมา จากนั้นกระบี่ก็ถูกตัวัดฟนออกไปรอบกายระรัว สร้างรอยแยกมิติป้องกันดังตาข่าย นอกจากนั้นยังนาอุปกรณ์เทพประเภทป้องกันอันเป็นสินสงครามที่เคยได้มาออกมาใช้อย่างไม่คิดเสียดาย
ปงงงง!!
เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นหล้า เป็นพายุพลังมิติที่เกิดจากร่างแยกอวตารกฏของต้วนหลิงเทียน ได้ปะทะเข้ากับรังสีสังหาร 4 สายของกวงเทียนเจิ้งอย่างจัง อย่างไรก็ตามแม้จะสิ้นสูญพลังสภาวะไปบางส่วน แต่รังสีดำบทั้ง 4 สายของกวงเทียนเจิ้งก็สามารถบุกฝ่าพายุมิติมาได้!
ตูมมมม!!
เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง เป็นรังสีดำบสังหารทั้ง 4 สายของกวงเทียนเจิ้งที่บุกฝ่าพายุมิติเข้ามา ได้ปะทะเข้ากับ่มานอุปกรณ์เทพประเภทป้องกันขั้นกลางของต้วนหลิงเทียน และอุปกรณ์เทพป้องกันขั้นกลางที่ว่าก็ถูกทาลายจนแตกเป็นเสี่ยง

หลังจากนั้น
ปงงงง!!
เปรี๊ยงงงง!!

ปราการป้องกันชั้นสุดท้ายของต้วนหลิงเทียน ข่ายกระบี่มิติได้ปะทะเข้ากับรังสีดำบสังหารทั้ง 4 สายของกวงเทียนเจิ้งที่ยังไม่สิ้นพลังสภาวะอย่างดุเดือด แม้ข่ายกระบี่มิติจะสามารถต้านทานได้พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็พังทลายลงอยู่ดี เพียงแค่รังสีดำบสังหารทั้ง 4 สายของกวงเทียนเจิ้ง มันเจียนสิ้นพลังสภาวะแล้ว
สุดท้ายรังสีดำบสังหารทั้ง 4 สายของกวงเทียนเจิ้งก็ซัดกระแทกใส่ต้วนหลิงเทียนดัง ‘ปง’ จนต้วนหลิงเทียนกระเด็นไปไม่เป็นท่า

“อั๊ค-!”
ต้วนหลิงเทียนกระอักเลือดออกมาคาหนึ่ง แม้จะขืนร่างรั้งลงกลางหาวได้แล้ว แต่เขาก็รู้สึกวิงเวียนปานโลกหมุน มือที่ถือกระบี่ยังด้านชา
‘ประมาทมันเกินไป…’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบทอดถอนในใจ เพราะเขาเองก็คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ากวงเทียนเจิ้งจะระเบิดพลังออกมาได้เหนือความคาดหมายแบบนี้ กระบวนท่าสุดท้ายนั่นของมัน ให้กวาดตามองทั่วนิกายมังกรสวรรค์ น่ากลัวจะไม่มีอาวุโสฝ่ายในคนที่ 2 สามารถลงมือได้รุนแรงหนักหน่วงเช่นนี้
“เป็นไปไม่ได้!!”

ในเวลาเดียวกัน ด้านกวงเทียนเจิ้งที่ลงมือทุ่มสุดตัว พอพบว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย สีหนามินก็ซีดลงทันที่จากนั้นมีันก็กระอักเลือดออกมาไม่หยุดเพราะตอนนี้ชีพจรพลังในร่างของมันครั้งหนึ่งได้แตกเป็นเสี่ยง มันบาดเจ็บภายในสาหัสนัก
ไม่อาจไล่ฆ่าต้วนหลิงเทียนได้อีกต่อไป
แน่นอนว่าถึงตอนนี้มันจะยังเหลือพลังให้ไล่ฆ่าต้วนหลิงเทียนต่อแต่มันก็ไม่มีโอกาสั้นนอีกแล้ว
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ร่าง 3 ร่างพลันปรากฏตัวขึ้นปิดล้อมกวงเทียนเจิ้ง แต่ละคนยังมองจ้องกวงเทียนเจิ้งตาเข็มง
และทั้ง 3 คนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือป้ายอาวุโสมังกรขาวที่ห้อยแขวนไว้บริเวณเอว เห็นได้ชัดว่าพวกมันก็คืออาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์

ตอนแรกพวกมันก็มองไปยังกวงเทียนเจิ้งที่บาดเจ็บสาหัสก่อน จากนั้นก็มองย้อนกลับไปยังร่างต้วนหลิงเทียนที่ได้รับบาดเจ็บเหมือนกันไกล ๆ หนึ่งในนนยังเบิกตากว้าง
พวกมันที่เร่งรุดมาเพียงจากวงเทียนเจิ้งได้แค่คนเดียวเท่านั้น แต่ยังไม่ทันดูว่ากวงเทียนเจิ้งลงมือใส่ใคร
พอหันไปมองต้วนหลิงเทียน ก็มีหนึ่งในนนจดจำต้วนหลิงเทียนได้!
“นั่นมันต้วนหลิงเทียน!”
อาวุโสมังกรขาวที่จดจำต้วนหลิงเทียนได้ ก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปแจ้งอาวุโสมังกรขาวอีก 2 คนทันที่
หลังจากทั้ง 2 ได้ยินว่าชายหนุ่มชุดม่วงก็คือต้วนหลิงเทียน พวกมันก็เผยความสับสนไม่น้อย “ต้วนหลิงเทียน หรือ ?”

เท่าที่พวกมันจาได้ ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเป็นราชาเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายมังกรสวรรค์ แต่ราชาเทพสุดท้ายก็ยังเป็นแค่ราชาเทพ
แต่เมื่อครูกระบวนท่าสุดท้ายของกวงเทียนเจิ้ง ต่อให้เป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำในนิกายมังกรสวรรค์ ก็อาจรับมือไม่ไหว
เว้นเสียแต่จอมราชันเทพขั้นต่ำที่ว่าจะเป็นตัวตนที่มีพลังต่อกรข้าระดับบ! หาไม่แล้วหากเป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำทั่วไป คงไม่มีทางรอดพ้นความตายจากการลงมือของกวงเทียนเจิ้งเมื่อครู!!
ทว่าตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนกลับรอดมาได้!
แม้พวกมันจะเห็นกันชัดตาว่าต้วนหลิงเทียนก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่รอดมาได้ก็คือรอดมาได้
ฟุ่บ!

สายลมแรงหอบหนึ่งพัดมา จากนั้นร่างชายชราผมขาวในชุดคลุมสีฟ้าก็ปรากฏกาย และทันทีที่ชายชราผู้นี้ปรากฏกาย อาวุโสมังกรขาวทั้ง 3 คนก็เร่งประสานมือคารวะทันที่“อาวุโสหวง”
ชายชราผู้นี้ ที่เอวของมันห้อยแขวนป้ายประจำตัวของผู้อาวุโสมังกรดาเอาไว้
และมันก็คือผู้อาวุโสมังกรดา ที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนแนวเทือกเขามังกรท่อง ส่วนแนวเทือกเขาใกล้เคียงนั้นี้เป็นอาวุโสมังกรขาวทั้ง 3 เป็นคนรับผิดชอบ
“ควบคุมตัวไว้ทั้ง 2 คน จากนั้นก็พาไปหอคุมกฏ!”
หลังชายชราผมขาวปรากฏตัวขึ้น มันก็เหลือบมองกวงเทียนเจิ้งด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นก็สลับไปมองต้วนหลิงเทียน ก่อนจะหันไปกล่าวสั่งอาวุโสมังกรขาวทั้ง 3

“ทราบ”
อาวุโสมังกรขาวทั้ง 3 รับคาอย่างพร้อมเพรียง จากนั้น 2 คนก็ไปควบคุมตัวกวงเทียนเจิ้ง และคนที่เหลือก็เหินร่างไปหาต้วนหลิงเทียน
อาวุโสมังกรขาวที่เหินร่างไปหาต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก็คืออาวุโสมังกรขาวที่รู้จักต้วนหลิงเทียนมาก่อน “ต้วนหลิงเทียน วันที่เจ้าหลอมโอสถเทพคลี่คลายชีพจรขั้นสุดยอด ข้าเองก็อยู่ด้วย”
อาวุโสมังกรขาวคนนี้ ขณะกล่าวกับต้วนหลิงเทียนน้ำเสียงของมันช่างสุภาพฟังแล้วรื่นหูนัก
ตัวมันเองก็เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพเช่นกัน
ในวันที่ต้วนหลิงเทียนหลอมยากลางแจ้ง มันก็ไปดูชมด้วย

อย่างไรก็ตามเนื่องจากที่นั่นก็มีผู้อาวุโสมังกรดาไปดูด้วยเหมือนกัน ทำให้ถึงแม้มันจะเป็นผู้อาวุโสมังกรขาว แต่ก็มีคนไม่มากนักที่สังเกตเห็น หรือให้ความสนใจ
“ไม่ทราบผู้อาวุโสชื่ออะไรหรือ”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มถาม หลังตบโอสถรักษาเข้าปาก
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองไปยังอาวุโสมังกรดาไกลตา ในใจปรากฏความคิดนับพันวิ่งพล่าน…อาวุโสมังกรขาว 3 คนนี้หากมาถึงช้าก็ไม่นับเป็นอะไร แต่เจ้าเฒ่าผมขาวันน่เป็นอาวุโสมังกรดาแท้ ๆ แต่ไฉนมาถึงหลังอาวุโสมังกรขาวทั้ง 3 คนได้ ?
หากบอกว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ต้วนหลิงเทียนไม่เชื่อเด็ดขาด
เขาเลือกจะเชื่อว่านี่เป็นการจัดเตรียมของกวงเทียนเจิ้งมากกว่า

กล่าวอีกอย่างได้ว่า เป็นการจัดเตรียมของคนที่อยู่เบื้องหลังกวงเทียนเจิ้ง
และผู้ที่อยู่เบื้องหลังกวงเทียนเจิ้ง แต่มอำนาจจัดการอาวุโสมังกรดาได้ ไม่ต้องบอก็กรู้…
มีแค่เซวียหมิงจื่อคนเดียวเท่านั้น!
แต่เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่าต่อให้เขามั่นใจแค่ไหนว่าเป็นฝีมือของเซวียหมิงจื่อแต่เขาก็ไม่มีหลักฐาน เช่นั้นนก็ไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย เผลอ ๆ อาจจะถูกอีกฝ่ายฟ้องร้องว่าโดนเขาใส่ร้ายเอาได้
‘คราวนี้เกรงว่าคงจัดการได้แค่กวงเทียนเจิ้งคนเดียว…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ

แต่เขาก็คิดไว้แล้วเช่นกัน
หากเขาสามารถจัดการกวงเทียนเจิ้งพร้อมเซวียหมิงจื่อได้พร้อม ๆ กัน นั่นกออกจะเป็นเรื่องเกินจริงอยู่บ้าง อย่างไรเสียกวงเทียนเจิ้งก็เป็นแค่อาวุโสฝ่ายใน สามารถจัดการมันได้ก็ดีแล้ว ส่วนเซวียหมิงจื่อนั่นจะอย่างไรก็เป็นถึงชนชั้นรองประมุข ย่อมไม่ใช้ตะเกียงประหยัดน้ำมีนแน่นอน
ในนิกายมังกรสวรรค์ ตำแหน่งรองประมุขยังเหนือกว่าอาวุโสมังกรดาเสียอีก ไม่ต้องพูดถึงอาวุโสมังกรขาวเลย
“ข้าเรียกว่าเยว่หลัว”
อาวุโสมังกรขาวคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ว่าแต่ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้าไปล่วงเกินกวงเทียนเจิ้งอีท่าไหนักนแน่ ไฉนมันถึงได้เสี่ยงชีวิตฆ่าเจ้าในนิกายเช่นนี้…ต้องทราบว่าการลงมือของมันเป็นเรื่องที่ไม่อาจหวนกลับ”

“เพราะไม่ว่ามันจะลงมือสำเร็จหรือไม่ สุดท้ายมันก็ต้องตาย!”
เห็นได้ชัดว่าเยว่หลัวสับสนและไม่เข้าใจ
“อาวุโสกวงเทียนเจิ้ง มันสงสัยว่าข้าเป็นฆาตกรสังหารศิษย์ของมัน ตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะเข้านิกายมังกรสวรรค์ด้วยซ้ำ”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบด้วยการส่งเสียงผ่านพลัง “ข้ารู้ว่ามันเกลียดแค้นข้า แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ามันจะกล้าลงมือกับข้าในนิกาย ถึงแม้มันเองก็รู้ดีว่าต้องแลกด้วยชีวิต”
“อาวุโสกวงเทียนเจิ้ง”
ระหว่างทาง ต้วนหลิงเทียนที่ถูกอาวุโสมังกรขาวทั้ง 3 ควบคุมตัวไปหอคุมกฏ ก็หันไปมองกวงเทียนเจิ้งพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ว่า “มันคุ้มค่าหรือไม่ ที่เจ้าจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อคนที่ตายไปแล้ว…”