“แย่แล้ว!!”
ในขณะที่จอมราชันเทพขั้นกลางทั้ง 2 ของนิกายมหาเอกะหันมองมาทางเขา ต้วนหลิงเทียนก็โพล่งออกมาเสียงหลง สีหน้ายังเปลื่ยนี้เป็นลนลาน จากนั้นก็หายตัวไปด้วยความลึกซึ้งเคลื่อนมิติทันที่
ปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร
อย่างไรก็ตาม หลังเขาปรากฏตัวในที่ไกลห่างไม่ทันไร ก็พบว่าร่าง 2 ร่างได้วูบมาปรากฏล้อมเขาทั้งหน้าและหลังด้วยความเร็วสูง
เป็นจอมราชันเทพขั้นกลางทั้ง 2 ของนิกายมหาเอกะที่สู้กันเมือครู
“จอมราชันเทพขั้นต่ำรึ?”
หวังเหลืยงอาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะ มองไปยังจอมราชันเทพขั้นต่ำของนิกายมังกรสวรรค์เบื้องหน้า ด้วยสายตาเฉยเมยแฝงความเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย “ข้าไม่ได้พบเจอจอมราชันเทพของนิกายมังกรสวรรค์มานาน มิคิดเลยว่าจะได้พบเจอที่นี่…แต่สุดท้ายกลับเป็นเพียงจอมราชันเทพขั้นต่ำเสียอย่างนั้น”
ขณะกล่าว ในแววตาของห่วงเหลืยงก็ฉายชัดถึงการหยันหยามดูหมิ่น
เพราะการเข่นฆ่าจอมราชันเทพขั้นต่ำสำหรับมัน ไม่นับเป็นเรื่องท้าทายอะไรเลย กระทั่งแตมีรบที่ได้ยังน้อยนิดนัก
แต่สำหรับมันแล้ว ถึงยุงจะตัวเล็กแต่ก็ยังมีเนื้อ แม้จะได้น้อยู่แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
ครูต่อมา ในแววตาของห่วงเหลืยงก็เริ่มฉายให้เห็นถึงเจตนาฆ่าฟัน
ส่วนอีกด้าน ฟางอี้หมิง อาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะอีกคน เพียงมองต้วนหลิงเทียนด้วยท่าที่ไร้แยแส แววตาเฉยเมยไร้ซึ่งความยินดียินร้ายใด ๆ
จะอย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกลับเห็นถึงจิตสังหารที่ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของแววตาอีกฝ่ายชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าจอมราชันเทพขั้นกลางทั้ง 2 ของนิกายมหาเอกะ จะคนไหนก็คิดฆ่าเขาทั้งนั้น!
“ตะ…ใต้เท้าทั้ง 2”
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนที่สีหน้าแลดูซีดลงถนัดตา กล่าวคาด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ เต็มไปด้วยความกลัวว่า “ข้าบังเอิญผ่านมาเห็นพวก
ท่านประมือกัน จึงพอจะบอกได้ว่าพวกท่านสมควรมเรื่องราวความแค้นกันมาก่อน…”
“การสังหารจอมราชันเทพขั้นต่ำตัวกระจ้อยเช่นข้า คงไม่อาจทำให้พวกท่านได้รับแต้มรบมากมายอันใด”
“เช่นั้นนให้ข้าช่วยเหลือพวกท่านคนใดคนหนึ่งเข่นฆ่าอีกฝ่าย จากนั้นก็ปล่อยข้าไปดีหรือไม่ ?”
ขณะต้วนหลิงเทียนกล่าว เขาก็มองสลับไปมาระหว่างฟางอี้หมิงกับห่วงเหลืยง
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หวังเหลืยงก็ตาเป็นประกายทันที่ด้านฟางอี้หมิงแววตาที่เคยเฉยเมยของมันก็เผยประกายขึ้นมาอย่างยากจะมองเห็น
ในขณะที่หวังเหลืยงกำลังยินดี และคิดจะพูดอะไรนั้น
ซุ่มมม!!
เสียงแหวกฝ่าอากาศฉับไวดงระเบิดขึ้น เป็นฟางอี้หมิงที่ฉวยโอกาสตอนห่วงเหลืยงฟุ้งซ่าน ปะทุพลังเกรี้ยวกราดซัดกระบวนท่าเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่
“ช่วยข้าฆ่ามัน แล้วข้าจักไว้ชีวิตเจ้า!”
ขณะฟางอี้หมิงเปิดฉากจู่โจมเข้าใส่หวังเหลืยงที่เผลอเรอมันก็ไม่ลืมกล่าวคากับต้วนหลิงเทียน “หากเจ้าไม่พยายามลงมือให้ดีที่สุดีหรือคิดจะหลบหนี ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!”
เสียงกล่าวท้ายประโยคของฟางอี้หมิง ยังเย็นชาเสียจนไม่มีใครสงสัยในถ้อยคำของมันแน่
พอต้วนหลิงเทียนได้ยินดังนั้น ก็ไม่คิดละเลย เรียกกระบี่เทพขั้นสูงออกมาทันที่จากนั้นก็ระเบิดพลังดุดัน ตวัดกระบี่สร้างพายุมิติเข่นฆ่าไปทางห่วงเหลืยงปานเกลียวคลื่น
แน่นอนว่าพลังที่เขาใช้ออกตอนนี้ มันีออนด้อยกว่ากระบวนท่าสังหารของฟางอี้หมิงมาก
แต่ประเด็นก็คือเดิมทีพลังของห่วงเหลืยงกับฟางอี้หมิงก็พอ ๆ กัน ไม่ใช้เรื่องง่ายที่จะมีเปรียบฟางอี้หมิงอยู่แล้ว มาตอนนี้พอมีต้วนหลิงเทียนลงมือเสริมมาอีกคน ทำให้หวังเหลืยงตกที่นั่งลำบาก และรู้สึกกดดันขึ้นมาทันที่
ปงงง!!
พลังสายเลือดปะทุขึ้นทั่วร่างห่วงเหลืยงในบัดดล จากนั้นอาวุธเทพขั้นสูงในมือก็ฟาดัฟนออกมาวุ่นวาย ใช้ออกด้วยกระบวนท่าแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนจะพยายามล่าถอยออกไปชั่วคราว เพื่อไม่ให้ถูกฟางอี้หมิงกับต้วนหลิงเทียนกลุ่มรุม ขณะเดียวกันมันก็ไม่ลืมมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเกลียดชัง “ไอ้หนูจากินกายมังกรสวรรค์ หากเจ้ายินดีช่วยข้าฆ่ามัน ข้าไม่เพียงแต่จะไว้ชีวิตเจ้าเท่านั้น แต่ข้ายังมอบผลึกเทพกองใหญ่ให้เจ้าอีกด้วย!”
ในขณะเดียวกันั้นนเอง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาจำกัดด้านข้างที่มองมาที่เขาเข็มง
ครูต่อมาต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็มองไปยังห่วงเหลืยงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ข้าเลือกที่จะเชื่อใต้เท้าที่ใช้รูปลักษณ์คนหนุ่มและหล่อเหลาเหมือนข้ามากกว่า เพราะใต้เท้าหนุ่มผู้นี้ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจมากกว่าท่าน”
กล่าวจบคา ต้วนหลิงเทียนก็ซัดกระบวนท่าเข้าใส่หวังเหลืยงอีกรอบ
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าสายตาเย็นชาที่มองมาเมื่อครูได้ถอนออกไปแล้ว และฟางอี้หมิงก็ได้ลงมือเข้าใส่หวังเหลืยงอีกครา และหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนลงมือเปืนครั้งที่ 3 ฟางอี้หมิงก็ช่วงชิงจังหวะรุกไล่จนเรมิมีเปรียบห่วงเหลืยง
แต่เดิมห่วงเหลืยงกับฟางอี้หมิงก็มีพลังพอ ๆ กัน
ทว่าตอนนี้พอมามีต้วนหลิงเทียนอีกคน แม้ต้วนหลิงเทียนจะเปิดเผยพลังที่เทียบได้กับจอมราชันเทพขั้นต่ำทั่วไปออกมา แต่ด้วยความร่วมมือของฟางอี้หมิง ก็สามารถรุกไล่กดดันห่วงเหลืยงได้มากขึ้นทุกขณะ
ด้านห่วงเหลืยงยิ่งมาก็ยิ่งลำบากแล้ว
ดูท่าแล้ว อีกไม่นานมันต้องแพ้พ่ายตายตกแน่!
ในระหว่างที่ตกเป็นรองมากขึ้นเรื่อย ๆ หวังเหลืยงก็ส่งเสียงผ่านพลังมาให้คาสัญญากับต้วนหลิงเทียนไม่หยุด หมายทำให้ต้วนหลิงเทียนไขว้เขวลังเล แต่พอถูกต้วนหลิงเทียนเมิน หวังเหลืยงก็มีโมโหจนแทบกระอักเลือด!
เจ้าหนูจากินกายมังกรสวรรค์ผู้นี้ เลืองกจะเชื่อใจฟางอี้หมิงมากกว่ามันจริง ๆ ?
เพียงเพราะฟางอี้หมิงใช้รูปลักษณ์ชายหนุ่มเหมือนกัน เลยทำให้สบายใจที่จะร่วมมือด้วยมากกว่า ?
ตอนนี้หวังเหลืยงเริ่มบังเกิดความเสียใจขึ้นมาแล้ว
ที่มันเลือกจะใช้รูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนแบบนี้ เพียงเพราะมันต้องการแสดงวุฒิภาวะรวมถึงความหนักแน่นสุขุม อินจจาจังหวะนี้เพราะวุฒิภาวะกับความหนักแน่นสุขุมั่นนกำลังจะเป็นสาเหตุการตายของมัน หรือ ?
ในที่สุดเมื่อพบว่าไม่อาจโน้มน้าวใจต้วนหลิงเทียนได้ หวังเหลืยงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ จากนั้นก็มุ่งเป้าไปที่ฟางอี้หมิงแทน “ฟางอี้หมิง เจ้ากล้าดอย่างไรถึงได้ร่วมมือกับคนนิกายมังกรสวรรค์เข่นฆ่าคนในนิกายเดียวกัน หากข้านำความเรื่องนี้ไปแจ้งให้นิกายทราบนิกายย่อมไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!!”
หวังเหลืยงคารามลั่น ถ้อยคำยังไม่ขาดการข่มขู่
อย่างไรก็ตาม ด้านฟางอี้หมิงไม่เพียงเมินเฉย แต่ยังเร่งเร้าการโจมตีให้รุนแรงทั้งถี่ขึ้นไปอีกขั้น
“ฟางอี้หมิง พวกเราฆ่าไอ้หนูนั่นก้อนเถอะ ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็บาดเจ็บแล้ว แม้จะไม่มีมัน แต่ข้าก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้อีก…นี่เจ้าคงไม่คิดจะปล่อยมันไปจริง ๆ หรือกี่นะ ?”
หวังเหลืยงยังพยายามโนมัน้าวต่อไป “หากเจ้ายังดันทุรังเช่นนี้ ต่อให้ข้าต้องจ่ายราคามากหน่อย…ถึงตอนั้นนต่อให้เจ้าคิดฆ่าข้า ก็เกรงว่าจะไม่ง่ายดายนัก!”
…
น่าเสียดาย ไม่ว่าหวังเหลืยงจะพูดอย่างไร ฟางอี้หมิงก็เพิกเฉยมันถ่ายเดียว
กับอีแค่จอมราชันเทพขั้นต่ำ
ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากการลงมือของอีกฝ่ายทั้งพลังเทพที่ใช้ขับเคลื่อนกฏ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพึ่งจะทะลวงถึงจอมราชันเทพขั้นต่ำได้ไม่นาน ยังไม่ได้ปรับตัวเข้ากับด่านพลังดี แม้แต่พลังเทพที่ใช้ออกก็ยังไม่ถึงขั้นจ่ายออกถอนรั้งได้อย่างอิสระ
สำหรับฟางอี้หมิงแล้ว การสังหารจอมราชันเทพขั้นต่ำเช่นนี้ มันช่างง่ายดายไม่ต่างอะไรจากตัดหญ้าฆ่าไก่
“ฟางอี้หมิง ถึงแม้ว่าการตายของอาจารย์เจ้าข้าจะมีส่วนรับผิดชอบ แต่นั่นก็ไม่ใช้ข่าที่ต้องรับผิดชอบทั้งหมด สุดท้ายส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะความโลภของมันเอง!”
“ฟางอี้หมิง เจ้าฆ่าข้าไม่ได้!”
“ฟางอี้หมิง หากเจ้ากล้าฆ่าข้า ทางนิกายไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”
…
เมื่อตกอยู่ในห้วงคับขันแห่งความเป็นตาย หวังเหลืยงก็พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดทุกทาง
น่าเสียดายที่แต่ต้นจนจบ ต้วนหลิงเทียนและฟางอี้หมิงไม่ได้ให้โอกาสใด ๆ แก่มันเลย ยังไม่มีไขว้เขวหรือลังเลแม้แต่น้อย
ฟั่ฟฟ!!
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันตวัดกระบี่ออกไปฉับไว พายุมิติโดยรอบพลันรวมรั้งก่อเกิดรังสีกระบี่สังหารสายหนึ่ง พุ่งเข่นฆ่าเข้าใส่หวังเหลืยงด้วยความเร็วสูง ทำให้หวังเหลืยงจาต้องเร่งหลีกหลบเป็นการด่วน
หากเป็นสถานการณ์ปกติ อาศัยรังสีกระบี่สายนี้ หวังเหลืยงสามารถทาลายทิ้งได้โดยง่าย
กระทั่งในปัจจุบัน ต่อให้มันคิดจะทาลาย ก็สิ้นเปลืองพลังเทพไม่มาก
แต่ปัญหาก็คือ
หากมันเลือกจะจ่ายพลังเทพเพื่อทำลายรังสีกระบี่ดังกล่าว จะมากจะน้อยก็ต้องสิ้นสูญพลัง เช่นั้นนก็คงไม่อาจต้านรับการโจมตีของฟางอี้หมิงได้
ปงงงง!!
เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว แรงกระแทกอันน่าพรั่นพรึงจากพลังบนฟ้า กวาดกระแทกธารน้าแข็งเบื้องล่าง ทำให้แผ่นน้าแข็งมึหมาที่ธารน้าแข็งเบื้องล่างแต่เดิม ได้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะจมหายลงสู่ด้านล่าง
ตอนนี้หากมองสังเกตโดยรอบ จะพบว่าธารน้าแข็งแต่เดิม ได้ฟื้นคืนสู่รูปลักษณ์ทะเลสาบดังเดิม
อย่างไรก็ตาม ผิวทะเลสาบยังคงเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือกปกคลุม ทำให้ไม่นานนักผิวน้ำก็เริ่มจับตัวเป็นชั้นน้าแข็งบาง ๆ และยิ่งนานเข้าชั้นน้าแข็งก็ยิ่งหน้ำขึ้นเรื่อย ๆ
เห็นได้ชัดว่าอุณหภูมิแถวนี้มันต่ำมาก
“อั๊ค-!!”
ลิ่มเลือดกระอักออกจากปากหวังเหลืยงเป็นสายปานลูกศร หวังเหลืยงที่แทบรับมือการจู่โจมของฟางอี้หมิงไม่ไหว คนได้ปลิดปลิวถอยไปด้านหลังไม่เป็นท่าสีหน้าของมันซัดเซียวสภาพแลดูยักแย่ยักยันนัก
“ฟาง…อี้หมิง เจ้า…จ้าต้องตาย!!”
ในขณะที่ฟางอี้หมิงเร่งลงมือจู่โจมซ้ำ จนคนพุ่งทะยานออกไปปานสายรู้ง หวังเหลืยงก็คารามออกมาเสียงต่า ปานสัตว์ร้ายบาดเจ็บ
แต่วินาทีตอมา มันก็ทำได้แต่เฝ้ามองอย่างจนปัญญา เพราะอาวุธเทพขั้นสูงของฟางอี้หมิงจู่โจมมาได้รวดเร็วเกินไป มันที่บาดเจ็บแล้วย่อมไม่อาจเร่งเร้าพลังต้านทานได้ทัน ได้แต่มองพลังอันน่าสะพรั่งกลัวที่เจียนจะเข่นฆ่าสังหารมันอย่างไม่เต็มใจ
ทว่าทันใดนั้นเอง
ในห้วงเวลาพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ
ปงงง!!
ด้านล่างธารน้าแข็งที่หวังเหลืยงถูกซัดปลิวมาจนใกล้จะถึงแผ่นน้าแข็งอยู่รอมร่ออยู่ดี ๆ แผ่นน้าแข็งใต้เท้ามันก็แตกระเบิดเป็นชิ้น ๆ พร้อมกันั้นนก็มีแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้ามาด้วยความเร็วอัศจรรย์ เสือกทะลวงร่างห่วงเหลืยงจน ทะลุ ก่อนอานุภาพพลังจากแสงกระบี่จะป่นร่างมันจนแหลกเป็นหมอกโลหิต…
ต่อมา พลันปรากฏร่างหนึ่งขึ้นใกล้ ๆ หมอกโลหิตกลุ่มนั้น
เป็นชายหนุ่มในชุดสีม่วง
ต้วนหลิงเทียนั่นนเอง!
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าต้วนหลิงเทียนได้เคลื่อนย้ายข้ามมิติไปซ่อนตัวอยู่ในน้าใต้แผ่นน้าแข็ง และในชวงเวลาที่สำคัญที่สุด กลับชิงลงมือตัดหน้าฟางอี้หมิงก้าวหนึ่ง เข่นฆ่าหวังเหลืยงได้สำเร็จ!
“ใครใช้ให้เจ้าฆ่ามัน!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังฉวยโอกาสตามสถานการณ์ ยึดป้ายประจำตัวของห่วงเหลืยงหลังจากที่ฆ่ามันแล้วมาเก็บไว้ และส่งแหวนพื้นที่ของห่วงเหลืยงไปหยุดลงเบื้องหน้าฟางอี้หมิง ด้านฟางอี้หมิงก็มองจ้องมาทางต้วนหลิงเทียนตาเข็มง เอ่ยถามออกมาเสียงหนัก
มันไม่ได้ใส่ใจสิ่งของ ๆ หวังเหลืยงแม้แต่น้อย ต้วนหลิงเทียนจะเอาไปก็ดีไม่เอาก็ช่าง
เพราะในสายตาของมัน ศิษย์นิกายมังกรสวรรค์เบื้องหน้ากไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายจาเอาแหวนพื้นที่ของห่วงเหลืยงไปด้วยไม่โยนมาให้มันเช่นนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในมือมันอยู่ดี
ตอนนี้สิ่งที่ฟางอี้หมิงใส่ใจก็คือหวังเหลืยงไม่ได้ตกตายด้วยน้ามือของมัน!
“ใต้เท้า”
เผชิญหน้ากับการการตาหนิของฟางอี้หมิง สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังไม่แปรเปลื่ยน คลี่ยิ้มบาง ๆ กล่าวว่า “หากท่านฆ่ามัน เช่นั้นนป้ายประจำตัวของมันก็จะทาลายตัวเองและหายไปอย่างเสียเปล่า”
“และถึงตอนั้นน ข้าเชื่อว่าต้องมีคนระแคะระคาย กระทั่งสงสัยว่าอาจเป็นท่านที่ฆ่ามันแน่”
“ในสนามรบจอมราชันเทพ สุดท้ายแล้วการฆ่ากันตาย หากเป็นคนละฝ่ายป้ายประจำตัวก็จะยังอยู่ดี แต่ในเมือท่านี้เป็นคนของนิกายมหาเอกะ หากเป็นคนจบชีวิตมัน เช่นั้นนป้ายประจำตัวของมันก็คงทาลายตัวเองและเสียไปอย่างสูญเปล่า ไรผู้ใดเอาไปแลกแต้มรบแล้ว”
“แต่เมื่อข้าเป็นคนฆ่ามัน เรื่องราวกจะต่างออกไป้”
“อย่างน้อย ๆ ก็จะไม่มีใครสงสัยว่ามันตกตายภายใต้น้ามือคนในนิกายเดียวกัน”
“ด้วยวิธีนี้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครสงสัยท่าน”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ฟางอี้หมิงก็คลี่ยิ้มเย็นชา กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เช่นั้นนข้าต้องขอบคุณเจ้า ?”
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวต่อว่า “ใต้เท้า เพื่อแลกกับการที่ท่านจะไม่ฆ่าข้า ข้าก็ได้ร่วมมือกับท่านจัดการมันแต่โดยดี…และตอนนี้ข้าก็ฆ่ามันได้แล้ว ทำให้ท่านก็ไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย และข้าก็ไม่อยากให้ท่านต้องรู้สึกติดค้างใด ๆ ต่อข้า เช่นั้นนมอบแหวนพื้นที่ของมันให้ข้าด้วยได้หรือไม่ ?”
“ย่อมได้”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ฟางอี้หมิงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ค่อยพยักหน้าตอบคาด้วยรอยยิ้มใจดี
“เช่นั้นนก็ขอบคุณใต้เท้ามาก”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ จากนั้นก็ใช้พลังดูดรั้งแหวนพื้นที่กลับมาจากเบื้องหน้าฟางอี้หมิงอย่างไม่เกรงใจ
ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หันหลังกลับ เตรียมพร้อมจากไป
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาหันหลัง ฟางอี้หมิงที่ยิ้มแย้มเหมือนคนใจดีเมื่อคู่รักลงมือในฉับพลัน กระบี่เทพในมือมันตวัดจี้ไปทางต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็อุบัติสายน้าแหลมคมดั่งแหลนสายหนึ่ง แทงทะลวงเข้าใส่แผ่นหลังต้วนหลิงเทียน
พริบตาต่อมา
ซัว!
ถึงแม้มองแล้วจะเหมือนแหลนน้าอันน่ากลัวทะลวงแผ่นหลังจน ทะลุออกอกของต้วนหลิงเทียน ทว่าสิ่งที่แหลนน้าทะลวงแทงนั้น ที่แท้เป็นเพียงภาพติดตาเท่านั้น
“น่าสนใจดีนี่”
ฟางอี้หมิงกล่าวเย้ยหยันคาหนึ่ง จากนั้นก็ย่าเท้าลงอากาศเบื้องหน้า ก่อนคนจะวูบหายไปด้วยความเร็วอัศจรรย์ ปรากฏตัวอีกครั้งก็ดักหน้าต้วนหลิงเทียนที่พึ่งปรากฏตัวออกมาจากการเคลื่อนย้ายข้ามมิติเสียแล้ว สองตายังมองจ้องต้วนหลิงเทียนเข็มง