พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนถูกทาลาย ขุนเขาถล่ม ซากปรักหักพังปรากฏให้เห็นทุกแห่งหน
และตอนนี้ พลันปรากฏร่างหนังกำลังเหินข้ามฟ้าออกมาจาก พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิอมตะทั้งหลาย ที่รอดูสถานการณ์
จักรพรรดิอมตะเหล่านี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม พอทุกคนเห็นร่างที่เหินข้ามฟ้ามา ทั้งหมดก็เผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจ “ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ !”
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ !”
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ !”
…
เพราะบุคคลที่มาปรากฏตัวเบื้องหน้าที่กคนไม่ใช้ใครที่ไหน เป็นฟงชิงหยางเอง
อย่างไรก็ตาม พอฟงชิงหยางปรากฏตัว ผู้เฒ่าหั่วและเมิ่งหลัวที่สนิทกับฟงชิงหยางมากที่สุดก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เพราะพวกมันรู้สึกว่าฟงชิงหยางที่พวกมันคุ้นเคย ราวกับมีบางอย่างเปลื่ยนไป
รูปร่างหน้าตายังคงเหมือนเดิม
กล่าวได้ว่ามองอย่างไรก็เป็นคนเดิม
เพีงแต่ ความรู้สึกและบรรยากาศรอบกายมันแตกต่างออกไป้
แค่ยืนอยู่เฉย ๆ ก็ชวนให้ทุกคนรู้สึกมืดมนและชั่วร้ายอย่างบอกไม่ถูก
ผู้เฒ่าหั่วและเมิ่งหลัวที่ตระหนักถึงจุดนี้ยิ่งมาก็ยิ่งขมวดคิ้วย่นยู่
ส่วนเหล่าจักรพรรดิอมตะทั้งหลาย แต่ละคนไม่ได้ใกล้ชิดกับฟงชิงหยางมากนัก ทุกครั้งที่พบเจอก็คือการมองจากไกล ๆ ทำให้พวกมันยากจะรู้สึกถึงความเปลื่ยนแปลงใด ๆ ส่วนคนที่พอจะรู้สึก ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะคิดว่าฟงชิงหยางพึ่งผ่านการสู้รบมา อาจจะอารมณ์ไม่ดีอะไรทานองนั้น
“หึ!”
ทันใดนั้นเองผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ ก็พบว่า อยู่ ๆ ฟงชิงหยางที่ลอยร่างก็พ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น
ในขณะที่ใจทุกคนสั่นไหว ด้วยไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
ร่างฟงชิงหยางพลันสั่นสะท้าน จากนั้นกลิ่นอายวิญญาณอันชั่วร้ายก็กาจายออกมาในพริบตา ทำให้ผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ หน้าเปลื่ยนสีทันที่แต่ละคนเร่งรุดกันล่าถอยออกไปเร็วไว
สำหรับจักรพรรดิอมตะที่ความรู้สึกช้า ก็ถูกกลิ่นอายพลังวิญญาณดังกล่าวซัดเข้าอย่างจัง สองตาของพวกมันที่เคยเต็มไปด้วยประกาย กลับเปลื่ยนี้เป็นหมองมัวเลื่อนลอย…
วิญญาณ ถูกทาลายเสียแล้ว!
“มีวิญญาณอื่น สิงอยู่ในร่างใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ !!”
จังหวะนี้ เมิ่งหลัว ผู้เฒ่าหั่ว รวมถึงเหล่าจักรพรรดิอมตะที่ล่าถอยออกมาได้ทัน ก็ตระหนักได้ชัดเจนว่าผิดท่าแล้ว
ทันใดนั้น เสียงหนังก็ดังเข้าหูของพวกมัน ซึ่งผู้พูดก็คือฟงชิงหยางเบื้องหน้านั่นเอง “ฟงชิงหยาง!”
พอเปิดปาก ก็เรียกชื่อตัวเอง ?
“เจ้าควรจะยอมสยบต่อข้าแต่โดยดี”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่มีปัญญาทาลายวิญญาณของเจ้าได้จริง ๆ รึ?”
“ถึงวิธีการลงมือของเจ้าจักร้ายกาจ แต่อย่างไรวิญญาณของเจ้าก็ยังเป็นเพียงจิตวิญญาณขอบเขตราชาเทพขั้นสูงเท่านั้น แต่ข้า หมี่ซวน ไม่เพียงแต่จะมีด่านพลังจอมราชันเทพขั้นกลางแล้ว แต่ข้าที่เคยเป็นเผ่าภูตลูกเล่นทางวิญญาณของข้ายังเหนือกว่าเจ้าหลายขุม!!”
“หากมิใช่เพราะข้าสนใจอยากจะรู้ความลับที่มาการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเจ้า เจ้าคิดว่าข้ายังจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดอยู่จนถึงตอนนี้อีกรึ?”
เมื่อวาจาหลายประโยคถูกพูดออกมา สีหน้าผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ ก็เปลื่ยนไปทันที่
ในที่สุดพวกมันก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ในร่างใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมัน ที่แท้กลับมีวิญญาณอีกดวง แถมวิญญาณดวงนี้ยังเป็นตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางอันทรงพลัง!
และด่านพลังของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมัน ก็ยังอยู่ในขอบเขตราชาเทพเท่านั้น
ราชาเทพขั้นสูง!
ถึงแม้ตอนนี้พวกมันจะยังเป็นจักรพรรดิอมตะที่เป็นดั่งตัวตนที่มีด่านพลังฝึกปรือสูงสุดในระนาบเทวโลก แต่พวกมันย่อมรู้ดีว่าจอมราชันเทพนั้น เป็นขอบเขตพลังที่เหนือกว่าราชาเทพ
ดุจเดียวกับขอบเขตจอมราชันอมตะ ที่อยู่เหนือกว่าราชาอมตะ!
“หมี่ซวน!”
พอฟงชิงหยางพูดออกมาอีกครั้ง เสียงของมันก็เปลื่ยนไปจากเมื่อครูและเสียงนี้ยังเป็นเสียงที่ผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ คุ้นเคย ถึงแม้ว่ายน้ำเสียงจะเปี่ยมไปด้วยโทสะเพียงฟังก็รู้สึกวิญญาณสะท้าน! ทว่าพวกมันก็ดีใจนัก!!
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ !”
พอได้ยินเสียงของฟงชิงหยางอีกครั้ง สองตาผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ ก็ลุกวาวขึ้นมาทันที่ขณะเดียวกันก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง เพราะสิ่งนี้หมายความว่าเรื่องที่เลวร้ายที่สุดยังไม่เกิดขึ้น
“หมี่ซวน”
ขณะเดียวกัน ฟงชิงหยางก็กล่าวสืบต่อว่า “ในฐานะเผ่าภูต เมื่อร่างที่เจ้าช่วงชิงมาด้วยทักษะลับของเจ้าได้ถูกทาลายไปแล้ว คราวนี้
ต่อให้เจ้าคิดชิงร่างผู้ใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่วิญญาณของเจ้าจะเข้ากันได้กับร่างใหม่อย่างสมบูรณ์อีก”
“ในฐาะนะที่เจ้าเองก็เป็นคนของเผาภูต ย่อมสมควรรู้เรื่องนี้ดีกว่าข้ากระมัง ?”
“เช่นั้นนถึงจะชิงร่างของข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
“ถึงแม้เจ้าจะเก่งเรื่องทักษะวิญญาณ และยังมีพลังมากพอจะทาลายวิญญาณข้าได้ง่าย ๆ…แต่หากเจ้าคิดจะทาลายวิญญาณข้าจริง ๆ เจ้าก็ต้องจ่ายราคาอย่างหนัก! เช่นั้นนเจ้าคิดจะจ่ายราคาถึงเพียงนั้นเพียงเพื่อทำลายวิญญาณของข้าจริง ๆ ?”
“ส่วนสิ่งที่เจ้าต้องการก็ไม่ได้มีใดมากกว่าความลับที่ข้าพบเจอในนรกอสุรา…แต่ขออภัยเรื่องนี้ข้าไม่อาจบอกเจ้าได้!”
“เช่นั้นนข้าขอแนะนำให้เจ้าออกจากร่างข้าไปเสียดีกว่า!”
“ด้วยความแข็งแกร่งของวิญญาณเจ้าในปัจจุบัน ข้าอาจฆ่าเจ้าไม่ได้ก็จริง แต่นั่นมิได้หมายความว่าวันหน้าข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้!”
ยิ่งกล่าวนาเสียงของฟงชิงหยางก็ยิ่งเย็นลงเรื่อย ๆ
ครูต่อมา ร่างฟงชิงหยางก็ปรากฏไอพลังวิญญาณผันผวนอย่างแรง พอเปิดปากกล่าวคาอีกครั้ง น้ำเสียงก็เปลื่ยนไปเป็นเย็นชา “ฟงชิงหยาง ข้าไม่รู้ว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ร่างกายเจ้าไม่เว้นวิญญาณของเจ้าเป็นเพียงราชาเทพขั้นสูงเท่านั้น เจ้ายังไร้คุณสมบัติมาต่อรองกับข้า!”
“ยอมสยบให้ข้าเสียโดยดีเถอะ!”
“เรื่องความลับในนรกอสุรา ในเมือเจ้าไม่พูด ข้าจักหาทางทำให้เจ้าพูดเอง”
“และหากเจ้ายังไม่รีบบอกข้า ข้าจะฆ่าคนพวกนี้ให้ตาย!”
ฟงชิงหยางหรือกี่ล่าวให้ชัดก็ถือ ฟงชิงหยางที่ถูกหมี่ซวนสิงร่าง บัดนี้มันกวาดตามองไปยังทุกคนเบื้องหน้าไกล ๆ สายตาของมันยังเย็นชาแฝงอามหิตนัก
สีหน้าที่กคนเปลื่ยนไปโดยพลัน
“หากเจ้ากล้าแตะต้องคนของข้าอีก เช่นั้นนข้าจักทาลายวิญญาณของข้าเสีย ไม่มีวันปล่อยให้เจ้าได้สมห่วงเด็ดขาด!”
ฟงชิงหยางกล่าวค่าเสียงเรียบ เห็นได้ชัดว่าไม่กลัวคาขู่ของหมี่ซวนแม้แต่นิดเดียว “แน่นอนว่าก่อนที่ข้าจะทาลายวิญญาณตัวเอง ข้าจะสร้างปัญหาให้วิญญาณของเจ้าจนถึงที่สุด!”
“ถึงตอนั้นน ร่างวิญญาณของเจ้าจกับาดเจ็บร้ายแรง จนยากจะรักษาให้หายในเวลาอันสั้น”
“คราวนี้หายนะพันปีที่จักมาถึงรอบหน้า เจ้าได้ตายแน่”
เสียงกล่าวฟงชิงหยางเย็นชาไม่แพ้กัน
หลังหมี่ซวนได้ยินคำพูดดังกล่าว มันก็เงียบไปครูหนึ่ง ก่อนจะกล่าวคาออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ดูเหมือนคนพวกนี้ยังมีความสำคัญในใจเจ้าไม่น้อย เจ้าถึงขั้นยินดีตกตายเพื่อพวกมัน…”
“แล้วกันไปเถอะ”
“ในเมือเจ้าห่วงพวกมันนัก เช่นั้นนข้าจักปล่อยให้พวกมันมีชีวิตอยู่”
“แต่หากเจ้าอยากให้พวกมันอยู่ดีมีสุข เจ้าต้องยอมสยบให้ข้า!”
บทสนทนาระหว่างฟงชิงหยางกับ หมี่ซวน วิญญาณที่สิงร่างฟงชิงหยาง ทำให้ผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว ไม่เว้นคนอื่น ๆ ชักสีหน้าเคร่งเครียดทันที่เพราะฟังดูแล้วเหมือน หมี่ซวน คิดจะเล่นงานพวกมันเพื่อบีบคั้นฟงชิงหยาง!
ครูต่อมา เมิ่งหลัวก็เป็นตัวแทนของทุกคนประกาศเจตนารมย์ออกมาก่อนใคร “ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ อย่าได้ยอมมันเพื่อพวกเรา!”
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ขาย่อมตายไปกับท่าน ดีกว่าให้คนชั่วสมห่วง!”
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ….”
…
เหล่าจักรพรรดิอมตะที่นาโดยเมิ่งหลัว กับผู้เฒ่าหวั่นั้นกล่าวได้ว่าล้วนี้เป็นผู้ที่จงรักภักดีกับฟงชิงหยางเป็นที่สุด ถึงขั้นยอมตายไม่ยอมให้ฟงชิงหยางถูกบีบคั้น
และในขณะที่เมิ่งหลัว ผู้เฒ่าหั่วและคนอื่น ๆ มองไปยังฟงชิงหยางหรือกี่ล่าวให้ชัดก็คือมองหมี่ซวันที่สิงร่างฟงชิงหยางอยู่ สีหน้าแววตาแต่ละคนก็บ่งบอกถึงจุดยืนชัดเจน ทาราวกับความตายคือการหวน
คืนสู่มาตุภูมิ ด้านหมี่ซวันที่ควบคุมร่างฟงชิงหยางอยู่ ก็โบกมือออกมาฉับไว ปรากฏจานค่ายกลมากมายแยกย้ายกันไปทั่วสารทิศ
จากนั้นมีันก็ทาสัญลักษณ์มือประหลาด จ่ายพลังวิญญาณออกไปกระตุ้นเปิดใช้ค่ายกล พริบตาต่อมาก็ปรากฏม่านพลังมึหมาคลี่กางเหนือฟ้า ก่อนจะแผ่ลงมาปกคลุมไปทั่วเขตพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ล้อมกักทุกคนเอาไว้
“จากนี้ไป ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ออกไปจากค่ายกลที่ข้าจัดตั้งไว้เด็ดขาด หากมีผู้ใดหาญกล้าออกนอกเขตค่ายกลของข้า ข้าจักฆ่ามันผู้นั้นทันที่”
หมี่ซวนเหลือบมอง ผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเย็นชา ทำให้ทุกคนไม่คิดสงสัยในวาจาของมัน
“มันคิดจะทำอะไรกันแน่ ?”
ได้ยินคำพูดของหมี่ซวน ผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัวและคนอื่น ๆ ก็อดแปลกใจไม่ได้ พวกมันเห็นชัดว่าตอนนี้อีกฝ่ายไม่คล้ายคิดลงมือกับพวกมันแล้ว แต่ไม่ทราบว่าไฉนถึงจัดตั้งค่ายกลขึ้นมาเพื่อจำกัดบริเวณพวกมันแทน
ขวับ
ท่ามกลางสายตาสงสัยของผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ หมี่ซวนก็ได้นั่งขัดสมาธิกลางอากาศ สองตาหลับลง ไม่ทราบว่ามันกำลังหลับตาเพื่อพักผ่อน หรือกี่ำลังจะทำอะไรกันแน่
สิ่งนี้ทำให้ผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ ไม่กล้าลงมืออย่างวู่วาม
“มันไม่ให้พวกเราจากไป แต่จำกัดไว้ให้พวกเราอยู่ที่นี่…ที่แท้มันคิดจะทำอะไรกันแน่ ?”
“ไฉนข้าถึงรู้สึกไปพิกล…ว่ามันกำลังเฝ้ารอผู้ใดอยู่”
“ค่ายกลที่มันพึ่งจัดตั้ง ไม่ได้ทรงพลังอันใด ไม่ใช้ค่ายกลกักขังด้วยซ้ำ แต่เหมือนจะทาไปเพื่อปิดกั้นการส่งข้อความโดยเฉพาะ”
“อะไร!?”
…
ไม่นานนัก เมิ่งหลัว ผู้เฒ่าหั่ว และคนอื่น ๆ ก็ตระหนักได้ว่าค่ายกลที่หมี่ซวนพึ่งจัดตั้ง เป็นแค่ค่ายกลปิดกั้นการส่งข้อความเท่านั้น
อันที่จริงแล้ว ในแหวนพื้นที่ของฟงชิงหยางก็มีค่ายกลทานองนี้เหมือนกัน ทว่าหมี่ซวนไม่ทราบ…แต่ถึงหมี่ซวนจะรู้มันก็ไม่อาจใช้ของฟงชิงหยางได้!
แหวนพื้นที่ของฟงชิงหยางนั้น แม้จะใช้เลือดของร่างนี้เพื่อผูกพันธะครอบครอง แต่ถ้ามันคิดจะนำสิ่งของออกมาจากแหวน มันก็ต้องให้วิญญาณของฟงชิงหยางร่วมมือกับมันเสียก่อน
หมี่ซวนั้นน แม้จะครอบครองร่างฟงชิงหยางเป็นการชั่วคราว แต่มันก็ไม่อาจใช้ของในแหวนฟงชิงหยางได้ด้วยตัวเอง
จานค่ายกลที่หมี่ซวนนำออกมา มาจากแหวนพื้นที่ของมันเอง
กล่าวให้ชัด เป็นแหวนพื้นที่ของร่างที่มันใช้ก่อนหน้า และมันก็สามารถใช้สำนึกเทวะของมันส่องภายในทั้งนาของออกมาจากแหวนได้โดยตรง เพราะหลังจากมันทาลายวิญญาณของร่างเก่ามันไปแล้ว ขณะที่มันอยู่ในร่างเผ่าภูตมันก็ผูกมัดแหวนโดยใช้ร่างวิญญาณของมัน จึงไม่ต้องใช้เลือดอะไร…
และก่อนหน้านี้ หลังจากมันละทิ้งร่างที่มันใช้ พอเข้าสิงร่างฟงชิงหยางได้แล้ว มันก็เก็บแหวนพื้นที่ๆ ว่ากลับมา
“มันทาเช่นนี้ที่แท้มีจุดประสงค์อันใดกันแน่ ?”
“มันกลัวพวกเราจะติดต่อขอความช่วยเหลือเช่นั้นน หรือ ? แต่พวกเราจะไปหาผู้ใดมาช่วยได้อีก ?”
“มิผิด…เห็นชัดว่าหมี่ซวนคนนี้ มันเป็นถึงจอมราชันเทพขั้นกลาง ด่านพลังของมันอยู่เหนือกว่าผู้ที่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 1 ในระนาบเทวโลกอย่างจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักเสียอีก แล้วยังจะมีผู้ใดจัดการมันได้ ?”
“มันเป็นถึงจอมราชันเทพขั้นกลาง…แล้วมันกลัวอะไรกันแน่ ? ถึงขั้นต้องตัดการสื่อสารของพวกเราเช่นนี้”
…
เนื่องจากผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ ไม่ทราบจะทำอย่างไรต่อไป แต่ละคนก็เลยหารือกันผ่านพลัง เพื่อวิเคราะห์ว่าไฉนหมี่ซวนถึงต้องปิดกั้นการส่งข้อความของพวกมัน
ในที่สุด ผู้เฒ่าหั่วก็ฉุกคิดความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา สีหน้าจึงเปลื่ยนไปทันที่“เป็นไปได้หรือไม่…ที่มันกำลังรอให้นำยน้อยกลับมา ?”
“นายน้อย ?”
เมิ่งหัลวอึ้งไปครูหนึ่ง พอกลับมารู้สึกตัว สีหน้าก็เปลื่ยนไปทันที่“เป็นไปได้สูง…เพราะมันสมควรรู้ดีว่าในใจของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ นายน้อยมีความำคัญมากกว่าพวกเรา!”
“หากนำยน้อยกลับมาโดยไม่รู้เรื่องราว มันไม่พ้นต้องลงมือจับตัวนำยน้อยไปเพื่อใช้ข่มขู่บีบคั้นใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์เป็นแน่!”
หลังจากผู้เฒ่าหั่วกับเมิ่งหลัวปรึกษากันผ่านพลัง ทั้งคู่ก็ตระหนักมโอกาสสูงที่เรื่องราวจะเป็นแบบนี้
อันที่จริง หมี่ซวนก็คิดไว้เช่นั้นนจริ ๆ
‘ตอนนี้ข่าวที่ฟงชิงหยางหวนกลับมาควบคุมพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนสมควรแพร่กระจายออกไปแล้ว…สารเลวน้อยต้วนหลิงเทียนั่นน หากมันรู้มันต้องรีบกลับมาทันที่เป็นแน่’
‘สิ่งนี้ช่วยข้าไม่ให้เสียเวลาออกไปตามหาตัวมัน!’
‘สารเลวน้อยนั่น ปีนั้นมีันไม่เพียงแต่จะฆ่าน้องชายข้าเท่านั้น แต่ยังหาญกล้าปั่นหัวข้า!’