ความเกลียดชังของหมี่ซวันที่มีต่อต้วนหลิงเทียนั้นน ยิ่งใหญ่กว่าความเกลียดชังที่มันมีต่อฟงชิงหยางหลายเท่า
ตอนั้นน หมี่เฉวียน น้องชายของหมี่ซวน คิดชิงร่างต้วนหลิงเทียน อินจจากลับถูกต้วนหลิงเทียนใช้พลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ทาลายวิญญาณจนพินาศ ทำให้หมี่ซวันที่คิดช่วงชิงเทพเบญจธาตุของต้วนหลิงเทียนั้นน ไม่เพียงแต่จะขโมยไก่ไม่สำเร็จยังต้องเสียข้าวสารไปกามือ…
ต่อมามันก็ได้ช่วงชิงร่างของผู้สืบทอดจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก โดยใช้ทักษะลับของเผาภูตที่ชั่วชีวิตจะใช้ได้แค่ครั้งเดียว ทำให้ยึดครองร่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ
น่าเสียดายที่สุดท้ายร่างนั้นก็ถูกต้วนหลิงเทียนทาลาย…
อีกทั้งมันที่แพ้พ่ายปราชัยต้วนหลิงเทียนในสมรภูมิ 9 ยมโลก ยังต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน เพราะข้อจำกัดของพลังวิญญาณที่นั่น
กล่าวได้ว่ามันประสบความสูญเสียต่อหน้าต้วนหลิงเทียนครั้งแล้วครั้งเล่า…
แม้เรื่องราวจะผ่านมาหลายปี จนมันที่วิ่งวุ่นไปทั่วโลกแห่งความตายจนสามารถกลืนกินเผ่าภูตจนหมด และสามารถยกระดับพลังฝึกปรือได้มหาศาลในเวลาอันสั้น มันก็ยังคงเคียดแค้นชิงชังต้วนหลิงเทียนเข้ากระดูกดาไม่หาย
ขณะเดียวกัน มันก็ยังเต็มไปด้วยความโลภเทพเบญจาตุทั้ง 5 ในร่างต้วนหลิงเทียน!
สารเลวน้อยที่ทำให้มันต้องเสียท่าครั้งแล้วครั้งเล่า กลับครอบครองเทพเบญจธาตุพร้อมกันถึง 5 ธาตุ!
สิ่งนี้ทำให้มันทั้งเกลียดแค้น ทั้งอิจฉาแทบบ้าตาย!
‘การกลับมาของฟงชิงหยางนับว่าใหญ่โตไม่น้อย คนของวิหารเฟิงฮ่าวที่มายึดครองไม่เพียงแต่จะตกตายหมดสิ้น กระทั่งก่อนตายยังถูกฟงชิงหยางบีบคั้นให้พาไปยังระนาบอิสระที่ตั้งวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก สุดท้ายก็ทาลายวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักจนพินาศ หวู่หงชิงถึงขั้นต้องหนีหัวซุกหัวซุนเยี่ยงสุนัขเสียบ้าน…หลังข้าวพวกนี้แพร่กระจายออกไป้สารเลวน้อยนั่นไม่พ้นต้องเร่งรุดกลับมายังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนแน่นอน
หมี่ซวันที่นั่งหลับตาขัดสมาธิกลางอากาศ ครุ่นคิดเรื่องราวไปเรื่อย
จากนั้นมีันก็ลืมตาขึ้นมาก่อนจะเรียกคนของมันมาหา
ครั้งนี้ มันไม่ได้กลับมาจากโลกแห่งความตายเพียงลาพัง แต่ยังมีข้ารับใช้ที่มันใช้การสลักวิญญาณเพื่อควบคุมมากมาย
แม้ทั้งหมดจะเป็นแค่เทพธรรมดา ๆ แต่ก็นับว่าเป็นผู้ช่วยอันยอดเยี่ยมในระนาบเทวโลก
“พวกเจ้า 2 คนออกไปข้างนอก แล้วนาเรื่องราวที่เหล่านี้ไปเผยแพร่เสีย”
หลังจากที่หมี่ซวนเรียกข้ารับใช้มา มันก็ใช้ให้ทุกคนนาเรื่องราวการกลับมาของฟงชิงหยางออกไปเผยแพร่ด้านนอกกก
“ทราบแล้ว เจ้านาย”
ข้ารับใช้ 2 คนเร่งรับคา ก่อนจะจากไปทันที่
หลังจากที่หมี่ซวนเสร็จเรื่อง มันก็เหลือบมองไปยังผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ เล็กน้อย ก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง
ด้านผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรผลีผลาม
อย่างไรก็ตามหลังผ่านไป 10 กว่าวัน ไม่ว่าจะเมิ่งหลัว ผู้เฒ่าหั่วก็บังเกิดความรู้อนใจนัก ถึงแม้ในฐานะเซียนอมตะ พวกมันไม่ต้องกินดื่มหรือนอนหลับพักผ่อนเหมือนมนุษย์แล้ว แต่พวกมันก็บังเกิดความวิตกกังวลจนกระสับกระส่าย ด้วยกลัวว่านายน้อยจะโผล่มายังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนโดยไม่รู้ตัว
แน่นอนว่าถึงพวกมันจะร้อนรนในใจแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม
แต่พวกมัน 2 คนไม่เคลื่อนไหว ไม่ใช้ว่าคนอื่นจะสงบใจอยู่ได้
2 วันต่อมา จักรพรรดิอมตะที่พลังฝีมืออ่อนด้อยคนหนึ่งทว่าเชี่ยวชาญกฏมิติมากกว่าใคร ได้อาสานาลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนที่ผู้เฒ่าหั่วเก็บไว้ เสี่ยงออกไปแจ้งเรื่องราวด้านนอกกก
เมื่อได้รับลูกแก้ววิญญาณแล้ว มันก็ใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติหายตัวไปทันที่
ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ไปผุดโผล่นอกเขตค่ายกลปิดกั้นการสื่อสารแล้ว
อย่างไรก็ตาม มันพึ่งจะปรากฏตัวได้ไม่ทันไร ไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งข้อความใด ๆ
ซัว!
พลัววิญญาณอัน เงียบงันขุมหนึ่ง พุ่งไปดั่งสายลมแหลมคม ทะลวงความว่าง เปล่าบรรลุถึงหว่างคิ้วผู้เชี่ยวชาญกฏมิติคนั้นนทันที่
เรียกว่าแทบจะพร้อม ๆ กันกับที่หมี่ซวนลืมตาขึ้นมา ผู้เชี่ยวชาญที่เคลื่อนย้ายข้ามมิติออกไปนอกเขตค่ายกลปิดกั้นการสื่อสาร ก็ล้มลงไปนอนตาอย่างสงบ!
“อย่าได้หาญกล้าท้าทายความอดทนข้าอีก!”
หมี่ซวนเหลือบมองผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ พลางเอ่ยเสียงเบา “หากยังมีผู้ใดหาญกล้าออกนอกเขตค่ายกลอีกครั้ง นอกจากคนที่ออกไปแล้ว ข้าจักสุ่มฆ่าพวกเจ้าเพิ่มอีกคน!”
คำพูดของหมี่ซวนทำให้สีหน้าผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และจักรพรรดิอมตะคนอื่น ๆ มืดครึ้มทันที่
พวกมันเห็นกันชัดเจน
ต่อให้พวกมันจะโชคดีออกนอกเขตค่ายกลได้จริง แต่น่ากลัวจะต้องตายก่อนจะมีเวลาทันได้ส่งข้อความออกไป…
“คราวนี้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ…ดูเหมือนจะถูกวิญญาณของเจ้านั่นสะกดข่มเอาไว้ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเรื่องที่มันกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์พูดกันวันก่อน ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์สมควรปลอดภัยไปอีกสักพัก”
เมิ่งหลัวส่งเสียงผ่านพลังคุยกับผู้เฒ่าหั่ว
เป็นธรรมดาที่คำพูดมองโลกในแง่ดีเช่นนี้ เป็นการปลอบใจตัวมันเอง
“มิผิด”
ผู้เฒ่าหั่วตอบผ่านพลัง “ข้าเองก็คิดเช่นั้นน หากมันยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการมันไม่กล้าทำอะไรใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แน่”
“เพียงแต่…ตอนนี้นายน้อยมิน่าจะอยู่ในจเมี่ยเทียน…ข้าหวังให้นำยน้อยรับทราบข่าวการกลับมาของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือไม่รู้เรื่องราวเลยยิ่งดี”
พอเมิ่งหลัวกล่าวออกมาอีกครั้ง ในนำ้เสียงมีนก็เต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าก็หวังไว้เช่นั้นน”
สีหน้าผู้เฒ่าหั่วฉายชัดถึงความขื่นขมอับจน ในใจยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ก่อนหน้านี้มันยังห่วงอยู่เลยว่านายน้อยของมันจะได้รับทราบข่าวการกลับมาของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์และรีบกลับมายังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนโดยเร็ว แต่ผู้ใดจะไปคิดฝัน ว่าเรื่องราวในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนจะพลิกผันในเวลาแค่วันเดียว
ถึงแม้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมันยังไม่พินาศ แต่ร่างกายก็ถูกวิญญาณของอีกฝ่ายยึดครอง แถมดูเหมือนวิญญาณจะถูกสะกดไว้อีกด้วย
ในเวลาแบบนี้ หากนำยน้อยของมันกลับมา ไม่เพียงแต่จะเกิดเรื่อง เกรงว่ากระทั่งใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ก็อาจถูกบีบคั้น จนต้องทำสิ่งที่ไม่เต็มใจ…
ทั้งหมดไม่ใช้อะไรที่พวกัมนอยากจะเห็น
อินจจา ตอนนี้ให้พวกมันกังวลเท่าไหร่ ก็ไร้ประโยชน์
ความแข็งแกร่งของพวกมันีออนด้อยจนไม่อาจก่อการใด ๆ ได้เลย กระทั่งเผลอ ๆ พวกมันยังไม่ทันได้ทำอะไร เพียงแค่เปิดเผยท่าที่กอการพวกมันก็ไม่พ้นต้องถูกฆ่าจนตายเปล่า…
ด้วยพลังของอีกฝ่าย คิดฆ่ามันก็ง่ายดายดั่งบี้มด
เผลอ ๆ อาจจะแค่หนึ่งความคิด ?
…
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ล่วงรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน
ในตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังคงอยู่ในระนาบคงหมิงซึ่งเป็นระนาบเทวโลกที่อยู่ใกล้ระนาบโลกียะที่เขามาถึงที่สุด หลังจากเดินทางไปยังเมืองใหญ่เพื่อสอบถามที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก ในที่สุดเขาก็เดินทางมาถึงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก อินจจาเขากลับถูกคนขวางไว้ไม่ให้เข้าใช้ค่ายกล
“ช่วงนี้สถานการณ์ของพวกเราค่อนข้างละเอียดอ่อน ใต้เท้าเจ้าเมืองจึงสั่งห้ามมิให้ผู้ใดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเป็นการชั่วคราว…”
นี่คือเหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนถูกขวาง
และคนที่ขวาง ผู้นำก็เป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การตอบสนองของต้วนหลิงเทียนต่อการขัดขวางครั้งนี้ ก็คือการย่นคิ้วด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็ไม่คิดกล่าวคากับอีกฝ่ายให้มากความเพียงพลิกฝ่ามือเบา ๆ พลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบก็ควบรวมผนึกกันเหนือฟ้า
พริบตาต่อมา ฝ่ามือพลังไร้สภาพหนังก็ปรากฏบนฟ้า ก่อนจะถล่มลงมากดทับจักรพรรดิอมตะที่ขัดขวาง ไม่เว้นคนของพวกมันอีกันบสิบเบื้องหลัง…
เพียงเวลาเสี้ยวพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ จักรพรรดิอมตะที่เป็นผู้นำไม่เว้นคนในหน่วย ก็ถูกฝ่ามือพลังไร้สภาพกดจนร่างของพวกมันจมดินเหลือแต่หัวที่ผุดโผล่ออกมา…
“อั๊ค-!”
“อ่อก-!”
ทุกคนที่ถูกฝ่ามือพลังไร้สภาพกดทับจนร่างจมดิน กระอักเลือดออกมาเป็นสาย ทั่วร่างสิ้นสูญพลัง ยังบาดเจ็บภายในสาหัสนัก ยิ่งผู้อ่อนแอก็ถึงกับสิ้นสติไม่รู้ชะตาว่าจะอยู่หรือตาย
อันที่จริง นี่เป็นต้วนหลิงเทียนเมตตาปราณีพวกมันมากแล้ว
มิฉะนั้นพวกมั่นคงตายตกกันหมดสิ้น
เมื่อไร้คนขวางทางแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินไปยังตาหนักที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกทันที่ส่วนคนอื่น ๆ ที่เห็นเหตุการณ์ก็ได้แต่ยืนตัวสั่นไม่กล้าเสนอหน้ำออกมาขัดขวางต้วนหลิงเทียนอีก จนเมือร่างต้วนหลิงเทียนถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบส่งตัวหายไป พวกมันก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นด้วยความกลัว
จากนั้นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศอีกคนที่ควบคุ้มค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก ก็อดสูดลมหายใจเขจ้าด้วยความหนาวเห็นบไม่ได้ “เจ้านั่นมันเป็นผู้ใดกันแน่ ? แต่ต้นจนจบข้ามิอาจสัมผัสพลังใด ๆ จากมันได้เลยราวกับมันเป็นคนธรรมดา…แต่การลงมือประหนึ่งฟ้าดินอยู่ในกามือเช่นนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือจักรพรรดิอมตะสมญานามก็คงทำไม่ได้กระมัง ?”
คนอื่น ๆ ก็หวาดกลัวไม่ต่าง
“ข้าว่าต่อให้เป็นใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ก็ไม่มีพลังอำนาจเช่นนี้…”
พอนึกถึงชายหนุ่มในชุดสีม่วงเมื่อครูจากนั้นก็คิดถึงจักรพรรดิสวรรค์ที่มันเคยพบเจอในอดีตซึ่งเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกมันรู้จัก ในใจแต่ละคนก็บังเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
วู้มม!!
ต้วนหลิงเทียนที่ประสบความสำเร็จในการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก ในที่สุดก็ได้เคลื่อนย้ายมาถึงเมืองที่อยู่ใกล้พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนที่สุดได้อย่างราบรื่น ซึ่งเมืองนี้ในอดีตเขาก็เคยผ่านมาหลายครั้งแล้ว…
‘ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านไปหลายปีการกลับมาอีกครั้งของข้ากลับมาได้แค่ร่างอวตารกฏ…’
พอมาถึงเมืองที่อยู่ใกล้พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน และคิดถึงเรื่องที่เขาใช้ร่างอวตารกฏมิติกลับมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึง ฟงชิงหยาง อาจารย์ของเขาขึ้นมา เพราะตอนที่เขาได้พบเจออาจารย์ครั้งแรก อีกฝ่ายก็เป็นร่างอวตารกฏเช่นกัน
ส่วนร่างจริงของอาจารย์ ตอนั้นนยังฝึกฝนบ่มเพาะในนรกอสุรา
‘ไม่รู้ทานอาจารย์กลับมาแล้วหรือยัง’
นึกถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเรียกลูกแก้ววิญญาณของผู้เฒ่าหั่วออกมา ซึ่งร่างจริงของเขาได้มอบให้ร่างอวตารกฏมิติเก็บไว้ก่อนที่จะใช้กระสวยทลายนภาเพื่อกลับลงมา
และไม่เพียงแต่ลูกแก้ววิญญาณของผู้เฒ่าหั่วเท่านั้น ลูกแก้ววิญญาณของครอบครัวเขาก็เอามาหมด
เดิมที่เขาก็คิดแยกรอยประทับวิญญาณของทุกคนที่ประทับไว้ในลูกแก้ววิญญาณเพื่อทำสำเนาอีกชุดสองชุด แต่พอเห็นว่ารอย
ประทับวิญญาณของลูกแก้ววิญญาณนั้นเรมิอ่อนจางลงแล้วเขาก็เลิกคิดจะทาสำเนาสืบไป เพราะต่อให้เขาทำสาเนำไปมันก็อยู่ได้ไม่นานอยู่ดี…
รอยประทับวิญญาณในลูกแก้ววิญญาณนั้น มันจะค่อย ๆ อ่อนจางลงไปตามกาลเวลา
“หืม ?”
ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะส่งข้อความถึงผู้เฒ่าหั่วเท่านั้น แต่เขายังส่งข้อความไปหาเมิ่งหลัวด้วยแต่กลับพบว่าทั้ง 2 คนไม่ตอบสนองเขาเลย ทั้ง ๆ ที่ลูกแก้ววิญญาณของทั้งคู่ก็ยังอยู่ดี
ข้อความที่ส่งไปด่งหินถมทะเล สาบสูญไปอย่างไรร่องรอย…
อย่างไรก็ตาม ในเมือลูกแก้ววิญญาณยังอยู่ดี ก็บ่งบอกว่าทั้งคู่ยังปลอดภัยดีอยู่
การที่ไม่ตอบกลับข้อความหากไม่ใช้ปิดด่านบ่มเพาะจนปิดกั้นการสื่อสารจากโลกภายนอก ก็อาจเป็นเพราะไม่ได้อยู่ในระนาบจี้เมี่ยเทียน
‘ช่างเถอะ ไปดูที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเลยแล้วกัน’
คิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอข้อความตอบกลับอีก เลือกจะเคลื่อนย้ายข้ามมิติเดินทางไปยังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ทันที่
และหลังจากเคลื่อนย้ายข้ามมิติไม่กี่ครั้ง ร่างต้วนหลิงเทียนก็มาปรากฏตัวในละแวกใกล้เคียงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเรียบร้อย
“หืม ?”
และเมื่อร่างเขาลุถึงเหนือฟ้าใกล้ ๆ กับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน เขาก็อดไม่ได้ที่จะชะงัก เพราะสายตาที่มองตัดเมฆหมอก
ลงไป กลับพบว่าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนที่เคยงดงาม บัดนี้ไม่เหลือเค้าใด ๆ อยู่เลย
‘พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ถูกทาลาย ?’
‘เป็นฝีมือพวกวิหารเฟิงฮ่าว ?’
จังหวะนี้ สีหน้าต้วนหลิงเทียนกลายเป็นอึมครึมทันที่
ถึงแม้ในอดีตอาจารย์เขา ฟงชิงหยาง กับผู้เฒ่าหั่วและเมิ่งหลัวรวมถึงคนอื่น ๆ จะอพยพออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน แต่ก็ทำให้พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนี้เป็นดั่งเมืองร้างไรผู้คนเท่านั้น…
สุดท้าย ก็ต้องจากไปเพราะสถานการณ์บีบคั้น
หากวิกฤตคลี่คลาย ก็เพียงย้อนกลับมา…
แต่บัดนี้ พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนพินาศสิ้นแล้ว
ในขณะที่สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลื่ยนี้เป็นมืดมน สองตาเขาก็หรี่ลง เพราะไม่นานเขาก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวด้านล่าง ที่แท้มีผู้คนมากมายที่อยู่ใกล้ ๆ ประตูหน้าที่พังทลายของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน
แม้จะอยู่ไกลห่าง แต่เขาก็จดจำบางคนได้
“นายน้อย ?!”
“ผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว!?”
สองตาต้วนหลิงเทียนี้เป็นประกายจ้า จากนั้นก็ไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ ร่างวูบหายข้ามมิติไปปรากฏตัวหน้าประตูใหญ่ของพระราชวังจักรรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนที่พังทลายทันที่
อย่างไรก็ตาม พอเข้ามาใกล้ประตูต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขตพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนั้นน มีค่ายกลปกคลุมเอาไว้ ซึ่งไม่ใช้ค่ายกลปิดกั้นแต่อย่างใด
จังหวะนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดสงสัยไม่ได้
ในเมือผู้เฒ่าหั่วกับเมิ่งหลัวก็อยู่แค่หลังประตูพอเห็นเขาแล้วไฉนทั้งคู่ถึงไม่ออกมา เพียงแค่กล่าวทักแต่ยังอยู่ที่เดิม ?
‘หรือจะเป็นเพราะ…ค่ายกลนี่ ?’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดหาสาเหตุ ก็ปรากฏเสียงประหลาดใจหนึ่งดังมาแต่ไกล น้ำเสียงยังฟังดูแหลมคมเป็นพิเศษ “ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจักมาถึงเร็วเพียงนี้!”