บางที่เรื่องราวมันช่างบังเอิญอย่างน่าอัศจรรย์
ต้วนหลิงเทียนได้ขึ้นไปอยู่บนระนาบเทพมานานปีแล้ว ไม่ใช้ว่าเขาไม่เคยคิดถึงครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหายในระนาบเทวโลกรวมถึงระนาโลกียะมาก่อน เพียงแต่เขาไม่เคยหวังว่าจะได้ย้อนกลับลงไป ก่อนที่ระนาบสมรภูมิของระนาบเทพจะปิดตัว
เพราะเขารู้ดีว่านั่นี้เป็นไปไม่ได้
ที่ตอนแรกเขาสามารถ ‘ลักลอบ’ ขึ้นมาจากสมรภูมิ 9 ยมโลกจนมาถึงระนาบสมรภูมิ จากนั้นก็เดินทางผ่านระนาบสมรภูมิจนในท่สุดก็มาถึงดินแดนดาราพิศวงได้นั้น ทั้งหมดเป็นเพราะระดับพลังของเขายังอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิอมตะ
หลังจากที่เขาบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ต่อให้เทพเบญจธาตุทั้ง 5 จะสามารถร่วมมือกันฉีกเปิดมิติได้อีกครั้ง แต่ตัวเขาก็ไม่อาจ

ย้อนกลับไปยังสมรภูมิ 9 ยมโลกได้เลย เพราะที่นั่นมีแต่ตัวตนที่ระดับต่ำกว่าขอบเขตเทพอย่างจักรพรรดิอมตะเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้
กระสวยทลายนภาที่เขาซื้อมาใช้ หากไม่ได้ตงฟางเหยียนเหนียนกล่าวบอกว่ามันมีให้แลกเปลื่ยน เขาก็คงไม่ทันเห็นและไม่รู้ว่าภายในเมืองสันติของระนาบศึกจักรพรรดิมันมีให้แลกเปลื่ยนด้วย
ต้วนหลิงเทียนได้คิดความเป็นไปได้ไว้มากมาย แต่ไม่เคยคิดเคยฝันเลย ว่าทันทีที่เขาย้อนกลับมา เขาจะได้พบกับฟงชิงหยาง อาจารย์เขาที่ถูกหมี่ซวนยึดร่าง
กล่าวให้ชัดคือการยึดร่างเป็นการชั่วคราว
จิตวิญญาณของฟงชิงหยางยังคงอยู่ในร่างกาย เพียงแค่จิตวิญญาณของหมี่ซวนมันทรงพลังกว่าก็เลยมอำนาจเหนือกว่า
และตอนนี้เวลาก็ผ่านไป 1 เดือนแล้ว ตั้งแต่ที่ร่างของฟงชิงหยางถูกหมี่ซวนครอบครอง

“หืม ?”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนมาปรากฏตวัด้านนอกกกพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ เขาก็ได้ยินเสียงแหลมคมหนึ่ง พอมองไปก็พบว่ามาจากปากอาจารย์เขา
อย่างไรก็ตามเสียงนี้ช่างฟังแปลกหูนัก
ที่สำคัญ มันแปลกที่อีกฝ่ายเรียกหาเขาด้วยชื่อเต็ม ๆ
“อาจารย์”
ต้วนหลิงเทียนลอยร่างกลางหาว มองฟงชิงหยางไกล ๆ หว่างคิ้วยู่ย่นี้เป็นปม

ไม่ว่าจะแววตาหรือบุคลิกความรู้สึกของอีกฝ่าย ทำให้เขารู้สึกว่าชายเบื้องหน้าไม่ใช้อาจารย์คนเดิมของเขาในอดีต…อย่างไรก็ตามรูปร่างหน้าตาแบบนี้ เห็นชัดว่าเป็นอาจารย์ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
‘นี่มันอะไรกันแน่ ?’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะงุนงง เขาไม่ทันนึกถึงเรื่องชิงร่างอะไรทานองนั้นเลย
“นายน้อย นั่นมิใช่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”
ทันใดนั้นเอง ผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และคนอื่น ๆ หลังพบการมาถึงของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็เร่งรุดเหนีร่างไปหาต้วนหลิงเทียนทันทียังไปหยุดลอยร่างด้านหน้าต้วนหลิงเทียนทาราวกับจะสร้างกาแพงมนุษย์ เพื่อปกป้องต้วนหลิงเทียนจากฟงชิงหยาง

พวกมันรู้ดีว่าหากไม่รีบบอกให้นำยน้อยของพวกมันรีบหนี้ไปตอนนี้ ต่อไปคงไม่เหลือโอกาสหลบหนีอีกแล้ว
พลังของศัตรูกล้าแข็งเกินไป
อาศัยเพียงพลิกฝ่ามือก็เข่นฆ่าพวกมันทั้งหมดได้ง่าย ๆ
จอมราชันเทพผู้ยิ่งใหญ่!
นั่นคือตัวตนที่เหนือกว่าขุมพลังระดับราชาเทพ!
ในระนาบเทวโลกแห่งนี้ เหล่าเทพที่ว่าเก่งกาจนักหนายังไม่อาจเทียบราชาเทพได้แม้แต่เสี้ยว!
“นายน้อย เมื่อเดือนก่อนร่างใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ถูกจิตวิญญาณของตัวตนระดับจอมราชันเทพเข้าสิง…บัดนี้ผู้ที่กำลัง

ควบคุมร่างใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์อยู่ มิใช่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์อีกต่อไป เป็นจิตวิญญาณของผู้อื่น!”
หลังได้รับการแจ้งเตือนของผู้เฒ่าหั่ว ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็รับทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น
พริบตาเดียว ความตื่นเต้นยินดีในใจที่เกิดขึ้นหลังได้เห็นหน้าอาจารย์ก็แปรเปลื่ยนี้เป็นโทสะ สองตาเริ่มฉายแววแหลมคมปานมีดดาบ
“หากเจ้าคิดใช้นายน้อยข่มขู่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
เมิ่งหลัวมองไปยัง ‘ฟงชิงหยาง’ พลางประกาศค่าเสียงหนัก
ถึงแม้ว่ามันจะรู้ตวัดีว่าพลังตัวเองช่างกระจ้อยร่อยต่อหน้าอีกฝ่าย ทั้งอีกฝ่ายอาศัยเพียงหนึ่งห้วงคิดก็เข่นฆ่ามันได้ง่าย ๆ แต่เมิ่งหลัวก็ไม่

มีกลัวแม้แต่น้อย ยืนหยัดปกป้องต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้านหลังอย่างกล้าหาญ
ผู้เฒ่าหั่ว รวมถึงคนอื่น ๆ เองก็มองจ้องไปที่‘ฟงชิงหยาง’ ด้วยสายตาแน่วแน่ไม่ท้อถอย
“เจ้าคือ…หมี่ซวน ?”
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่‘ฟงชิงหยาง’ กำลังกวาดตามองไปทางเมิ่งหลัวกับคนอื่น ๆ และเผยเจตนาฆ่าฟันให้เห็นในแววตา และกำลังจะลงมือเข่นฆ่ามดปลวกที่ขวางทาง ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยคาขึ้นมาขัดจังหวะความคิดลงมือของอีกฝ่าย
ในตอนนี้พอนึกถึงน้ำเสียงแหลมอันคุ้นเคยของอีกฝ่าย กอปรกับความสามารถในการยึดร่างอาจารย์เขา ฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“โฮ่ ข้าไม่คิดเลยว่าสารเลวน้อยที่อ่อนแอเยี่ยงมดจะจดจำข้าได้”

หมี่ซวันที่ควบคุมร่างฟงชิงหยางอยู่ แสยะยิ้มน่ากลัว “สารเลวน้อย วันนี้ในเมือเจ้ามาแล้วกอย่าได้คิดไปไหนอีก…รอให้อาจารย์ของเจ้าพูดในสิ่งที่ข้าอยากรู้หมดเมื่อใด ข้าจักให้เจ้าไปสบาย ส่งเจ้าไปปลอบประโลมวิญญาณหมี่เฉียนน้องชายของข้าที่เจ้าฆ่า!”
“แน่นอนว่าถ้าหากฟงชิงหยางมันไม่ยอมบอกข้าแต่โดยดี ข้าจักให้เจ้าตกตายเพราะการกลั่นวิญญาณ!”
“หากว่าเจ้าไม่รู้ข้าบอกไว้ตรงนี้เลย ว่าการโดนกลั่นวิญญาณนั้น…มันเจ็บปวดและทรมานยิ่งกว่าถูกแล่เนื้อเถือหนังนับพันเท่า!”
“อ้อแล้วอย่าได้คิดว่าการฆ่าตัวตายจะหนีความทรมานได้พ้นเล่า เพราะต่อให้เจ้าฆ่าตัวตาย ข้าก็จักใช้วิถีลับขอเผ่าภูตเพื่อกักขังวิญญาณของเจ้าเอาไว้ ก่อนที่วิญญาณของเจ้าจักทาลายตัวเองหลังตายตก”
ถึงแม้หมี่ซวนจะประหลาดใจอยู่บ้างที่ต้วนหลิงเทียนจดจำมันได้ แต่มันก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเรื่องนี้ก็ไม่ยากที่จะคาดเดา

“ฆ่าตัวตาย ?”
ได้ยินคำพูดของหมี่ซวนต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปครูหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มเย้ยหยันพลางกล่าวประชด “หมี่ซวน หากเจ้าอยากให้ข้าฆ่าตัวตาย ข้าเกรงว่าเจ้ายังไม่มีปัญญาสามารถดังกล่าว”
“อย่างไรก็ตาม ลองเจ้าสามารถสะกดข่มจิตวิญญาณของอาจารย์ข้าได้ ดูเหมือนหลายปีที่ผ่านเจ้าจะก้าวหน้าไม่น้อย…ดูท่าเจ้าคงทะลวงถึงราชาเทพขั้นสูงแล้วกระมัง”
ในอดีต ต้วนหลิงเทียนรู้ว่าหมี่ซวนี้เป็นราชาเทพขั้นกลาง
ส่วนอาจารย์เขาฟงชิงหยางนั้น เป็นเพียงราชาเทพขั้นต่ำ
ต่อมาอาจารย์เขาก็ได้หลบไปซ่อนตัวอยู่ในนรกอสุรา เพราะวางแผนไว้ว่าจะรอให้ด่านพลังทะลวงถึงราชาเทพขั้นกลางก่อนค่อยออกมา ถึงตอนั้นนก็ไม่ต้องกลัวหมี่ซวนแล้ว

เขาคิดว่า อาจารย์เขาต้องทะลวงด่านพลังได้แล้วก่อนออกมาแน่นอน
ทว่าอาจารย์ของเขาคงไม่คิดไม่ฝัน ว่าหลังจากทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นกลางแล้ว หมี่ซวนกลับสามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำได้ด้วย ทำให้มีพลังสะกดข่มอาจารย์เขาอีกครั้ง

ทั้งหมดล้วนี้เป็นการค้าดเดาส่วนตัวของต้วนหลิงเทียน
สุดท้ายเขาก็พึ่งจะจากระนาบเทวโลกไปได้ไม่ถึง 100 ปี ทิ้งเรื่องราวความแค้นคว้ามบาดหมางกับหมี่ซวนไว้ให้อาจารย์รับมือ
ในเวลาไม่ถึง 100 ปี ที่เขาประสบกับความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่ เพราะเขาพบเจอการผจญัภยอันดี

ส่วนอาจารย์ของเขา ถึงแม้ว่าจะมีมรดกของผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่จะอย่างไรก็ต้องฝึกฝนบ่มเพาะไปทีละขั้น…ส่วนด้านหมี่ซวนั้นน ไม่น่าจะดีไปกว่าอาจารย์เขาแน่นอน
“ขอบเขตราชาเทพขั้นสูง ?”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หมี่ซวนก็อึ้งไปครูหนึ่ง จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดว่าหากข้ายังอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นสูง ข้าจะสะกดข่มวิญญาณของอาจารย์เจ้าที่บรรลุถึงราชาเทพขั้นสูงได้รึ?”
“เจ้านับวาดูถูกอาจารย์ของเจ้าแล้ว”
“แน่นอนว่ายังประเมินข้าหมี่ซวนผู้นี้ต่าไปอีกด้วย!”
ไม่ยากที่หมี่ซวนจะคาดเดาได้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังคิดอะไรเอ่ยู่ จึงอดเย้ยเยาะคำพูดของต้วนหลิงเทียนไม่ได้

ได้ยินวาจาเย้ยหยันดังกล่าวของหมี่ซวน ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที่
อาจารย์เขา ทะลวงถึงราชาเทพขั้นสูงแล้ว ?
ขณะเดียวกัน ด้านเมิ่งหลัวที่ลอยร่างอยู่ด้านหน้าต้วนหลิงเทียนก็ได้หันกลับมากล่าวคากับต้วนหลิงเทียนเสียงหนัก “นายน้อยเจ้านั่นมันเป็นจอมราชันเทพ…ยังเป็นจอมราชันเทพขั้นกลาง!”
“จอมราชันเทพขั้นกลาง ?”
ต้องกล่าวเลยว่าคำพูดของเมิ่งหลัวทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม พอลอง ๆ คิดดูแล้ว ในเมือตอนนี้อาจารย์ของเขาสามารถบรรลุถึงราชาเทพขั้นสูงได้ แต่กลับยังแพ้หมี่ซวนอยู่ เช่นั้นนเห็นได้ชัดว่าหมี่ซวนไม่น่าจะใช้จอมราชันเทพขั้นต่ำทั่วไป

ย้อนกลับไปในอดีต หมี่ซวนได้ใช้ทักษะลับชั่วชีวิตของเผาภูตเพื่อช่วงชิงร่างถังซานเป้า นายน้อยของวิหารเฟิงฮ่าวไปแล้ว หลังจากที่เขาทำลายร่างกายอีกฝ่าย ต่อให้หมี่ซวนจะไปยึดครองร่างใครอีกครั้ง ก็ไม่มีทางชิงร่างผู้อื่นได้อย่างสมบูรณ์อีกต่อไป
จะกลายเป็นตัวตนที่อ่อนด้อยกว่าผู้อื่นในระดับเดียวกันตลอด
ส่วนอาจารย์ของเขา นั้นได้รับมรดกของผู้แข็งแกร่งที่สุด ต่อให้เป็นแค่ราชาเทพขั้นสูง ก็มีพลังไล่ ๆ จอมราชันเทพแล้วแน่นอน
หากร่างวิญญาณของหมี่ซวนี้เป็นแค่จอมราชันเทพขั้นต่ำ เกรงว่าไม่น่าจะสะกดข่มอาจารย์เขาได้
ได้ยินคำพูดเมิ่งหลัว หมี่ซวนก็เชิดหน้ำขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ เหลือบตามองลงต้วนหลิงเทียน “สารเลวน้อย เจ้าจะพูดถึงระดับพื้ลังฝึกปรือข้าไปเพื่ออันใด…เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าข้าจะเป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำหรือขั้นกลาง น้าหน้าอย่างเจ้าก็ไม่มีปัญญาสู้ข้าอยู่ดี”

“เจ้าที่แอบไปหหลบซ่อนตัวัด่งเต่าหัวหดอยู่หลายปีดีดัก…เกรงว่าตอนนี้ยังไม่อาจบรรลุถึงขอบเขตเทพได้เลยกระมัง ?”
หลังกล่าวจบ หมี่ซวนก็กล่าวเพิ่มด้วยน้ำเสียงหยันหยาม “ขอบเขตเทพไหนเลยจะทะลวงกันได้ง่าย ๆ อย่างเจ้าคิด!”
“บรรลุถึงขอบเขตเทพ ?”
คำพูดดังกล่าวของหมี่ซวนทำให้ต้วนหลิงเทียนอดหัวเราะออกมาเป็นบ้าเป็นหลังไม่ได้ จากนั้นก็ไม่คิดพูดอะไรให้มากความเลือกจะวูบร่างข้ามมิติ ไปผุดโผล่เบื้องหน้าหมี่ซวนทันที่
ขณะเดียวกันกับที่เขาใช้พลัง กลิ่นอายพลังเทพก็เริ่มกาจายออกไป้
ครืนนน!!

และกลิ่นอายพลังที่กาจายไปในบรรยากาศนั้น หนุนเสริมให้ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างกลางหาวเบื้องหน้าหมี่ซวนมีสภาวะดั่งเทพเซียนลงมาจากฟ้าเบื้องบน!
“นี่มัน…”
พอเมิ่งหลัว ผู้เฒ่าหั่ว และคนอื่น ๆ กลับมารู้สึกตัว และคิดจะพุ่งร่างไปปกป้องต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง พวกมันกลับถูกกลิ่นอายพลังที่กาจายออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนกดดันให้ล่าถอยกันใหญ่
เพราะกลิ่นอายพลังดังกล่าว ทำให้พวกมันหวาดกลัวจนใจสั่น
“กลิ่นอายพลังนี่มันอันใดกัน…ไฉนข้าถึงรู้สึกว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์อีกุเลา”
เมิ่งหลัวกับผู้เฒ่าหั่วหันมามองหน้าสบตากัน จากนั้นก็เห็นแววตาเหลือเชื่อไม่เข้าใจของอีกฝ่าย

ก่อนหน้านี้ ตอนใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์หวนกลับมายังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน พวกมันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงที่แผ่ออกมาทั่วร่างขณะลงมือได้ชัดเจน
แต่กลิ่นอายพลังในตอนนี้กลับเหนือกว่าในตอนั้นนเสียอีก
“หรือว่า…”
ทันใดนั้น ในใจของพวกมันก็ปรากฏความคิดหนึ่ง
นายน้อยของพวกมัน หรือจะเป็นสีครามที่มาจากสีน้ำเงินแต่เข้มกว้าสีน้ำเงิน หรือไม่ ?
“เป็นไปได้อย่างไร!?”

ในขณะที่เมิ่งหลัวกับผู้เฒ่าหั่วกำลังตกใจ หมี่ซวนก็ชักสีหน้าหวาดผวา ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “เจ้า…ในเวลาไม่ถึงร้อยปี เจ้าทำได้อย่างไร…จอมราชันเทพ!”
จอมราชันเทพ!
ในฐานะที่เป็นจอมราชันเทพขั้นกลาง หมี่ซวนย่อมคุ้นชินกับกลิ่นอายพลังระดับจอมราชันเทพดี แม้ว่าร่างกายของมันจะเป็นร่างวิญญาณก็ตาม
และบัดนี้ สารเลวน้อยเสื้อม่วงเบื้องหน้าได้แผ่กลิ่นอายพลังจอมราชันเทพออกมาชัดเจน…กล่าวให้ชัดคือกลิ่นอายพลังขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ
หากอีกฝ่ายเป็นแค่ร่างวิญญาณที่มีระดับพลังจอมราชันเทพขั้นต่ำ มันย่อมไม่มีกลัว
แต่ปัญหาคืออีกฝ่ายไม่ได้มีแต่ร่างวิญญาณ

กับศัตรูที่มีร่างเนื้อเช่นนี้ แม้มันจะใช้การโจมตีทางวิญญาณ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็มีร่างกายรองรับ จะโมตีหรือป้องกันก็ได้เปรียบมันทุกทาง
ถึงแม้มันเองก็ยึดร่างคนอื่นมาใช้ได้ แต่เนื่องจากวิญญาณกับร่างไม่อาจผสานเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์ ยามต่อสู้กับผู้อื่น ร่างกายดังกล่าวย่อมไม่อาจตอบสนองความคิดของมันได้ และไม่อาจใช้พลังทั้งหมดของมันได้ด้วยซ้ำ
จอมราชันเทพขั้นต่ำทั่วไปที่มีกายเนื้อ ในแง่พลังต่อสู้แล้วนับว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ามันเลย
หากว่าตอนนี้มันอยู่ในโลกแห่งความตายซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ให้ร่างวิญญาณมากกว่า มันมั่นใจว่าสามารถฆ่าจอมราชันเทพขั้นต่ำที่มีร่างกายได้แน่…แต่ในโลกภายนอกเช่นนี้ มันไม่มี่นใจ
“เป็นไปไม่ได้!”

“เรื่องพรรคนี้มันเป็นไปมิได้เลย!”
“เจ้าต้องใช้ของประหลาดเพื่อจำลองกลิ่นอายพลังขอบเขตจอมราชันเทพเป็นแน่!”
ผ่านไปครูหนึ่ง หมี่ซวันที่ฟื้นสติ ก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สองตาของมันก็เปลื่ยนี้เป็นเย็นชานัก ขณะเดียวกันก็เปล่งประกายราวกับจะบอกว่า ‘ข้ารู้ทันเจ้าแล้ว อย่าได้เสแสร้งอันใดอีก’