ตอนที่ 2-2 เงาโลหิต (2)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 2 เงาโลหิต (2)

หวังเจี๋ยรีบพลิกอ่านเอกสารในมือ ดูพักหนึ่งแล้วถึงมองหลี่ฮ่าวพร้อมเอ่ยเสียงขรึมว่า “ไหนลองพูดความคิดของคุณมา”

“ในระยะเวลาสิบปีเกิดเหตุการณ์ขึ้นทั้งหมดหกคดี ไม่สิ หากพูดจริงๆ ก็เก้าปี ตั้งแต่ปีนี้มาจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานคดีแบบนี้เลยครับ”

หลี่ฮ่าวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หัวหน้าครับ เพราะเป็นเรื่องของเพื่อนร่วมชั้นผม ผมถึงให้ความสำคัญมาก ตอนนี้เดือนกรกฎาคมแล้ว! ระยะเวลาของคดีนี้ย่นระยะลงเรื่อยๆ หากไม่ใช่อุบัติเหตุก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกิดคดีเช่นนี้ขึ้นในช่วงนี้อีก”

หวังเจี๋ยพลิกเอกสารไปมาอยู่หลายครั้ง เขาเองก็เป็นฝ่ายตรวจการณ์มาก่อน ตอนหลังพออายุมากขึ้นหน่อยถึงย้ายมาทำงานในห้องเก็บแฟ้มคดี

ถ้าหลี่ฮ่าวไม่จัดระเบียบและไม่แยกคดีพวกนี้ไว้ด้วยกัน เกรงว่าคงไม่มีใครสนใจจริงๆ

อีกอย่างพอเอาทั้งหกคดีนี้มารวมกัน ไม่ว่าใครก็จับสังเกตถึงความผิดปกติบางอย่างได้ทั้งนั้น

หวังเจี๋ยถอนหายใจเสียงเบา “ลำพังแค่คดีที่มีตอนนี้คงฟันธงไม่ได้ว่านี่เป็นแผนการที่คนร้ายวางแผนไว้ แต่…บังเอิญมากเกินไป คาดว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว!”

หวังเจี๋ยเองก็เป็นคนไหวพริบดีเลยเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “เรื่องนี้ผมจะประสานฝ่ายอื่นให้โดยเฉพาะหน่วยปฏิบัติการ ห้องเก็บแฟ้มคดีไม่ได้เข้าร่วมการไขคดีโดยตรง แต่เกิดเหตุคดีคนถูกไฟคลอกตายติดต่อกันเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องจับตาดูเป็นพิเศษแล้ว หากระยะนี้ยังเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก…”

พอพูดถึงตรงนี้ สีหน้าหวังเจี๋ยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “เช่นนั้นก็บ่งบอกว่าข้อสันนิษฐานของคุณถูกต้อง อาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาทั่วไปแล้วล่ะ!”

เขามองหลี่ฮ่าว ฉับพลันสีหน้าจริงจังก็ผ่อนคลายลงแล้วคลี่ยิ้ม “แน่นอน ไม่ต้องกังวลไปหรอก! ต่อให้จะเป็นคดีฆาตกรรมจริงๆ ก็มีคดีที่โหดเหี้ยมมากกว่านี้เช่นกัน แต่หลี่ฮ่าว…คุณทำได้ไม่เลวเลยนะ”

ท่าทีจริงจังของหวังเจี๋ยรักษาไว้ได้ไม่นานนัก

อย่าเรียกว่าไม่แน่ใจเลย ต่อให้เป็นคดีฆาตกรรมจริงๆก็ไม่เป็นไรเลยเพราะเขาเจอมาเยอะ ฟังมาเยอะแล้ว ในระยะเวลาสิบปีตายไปแค่หก ความจริงยังนับอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ

เขากลับยิ่งชื่นชมต่อการปฏิบัติงานและความรับผิดชอบคดีของหลี่ฮ่าวมากกว่าเสียอีก แน่นอนว่าเขาพอจะเข้าใจเหตุผลคร่าวๆ ถึงสาเหตุที่หลี่ฮ่าวลาออกจากกู่ย่วนแล้ว

เพื่อนร่วมชั้นเหรอ?

เพื่อนสนิทมากกว่ามั้ง!

มิเช่นนั้นหลี่ฮ่าวคงไม่จำเป็นต้องลาออกหรอก

……

หลี่ฮ่าวที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

คดีฆาตกรรม?

หากเป็นคดีฆาตกรรมจริงๆ แล้วเขาจะชิงลาออกเพื่อหนีออกจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วนเพื่ออะไร

ทุกอย่างที่เขาเห็นกับตา ถ้าเป็นเพียงการฆาตกรรมธรรมดาก็คงดีสิ

แล้วเงาโลหิตสีแดงนั่นมันอะไรกัน?

ถูกไฟคลอกตายเองอย่างนั้นเหรอ?

เปล่าเลย ถูกเงาโลหิตแผดเผาจนตายต่างหาก แต่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่เห็นจางหย่วนตายกับตาเหมือนกันกับเขากลับมองไม่เห็นเงาโลหิตนั่นสักคน!

พวกเขาโกหกเหรอ?

ไม่เลยเพราะไม่จำเป็นเลยสักนิด

หลี่ฮ่าวรู้ว่ามีเพียงตนเท่านั้นที่มองเห็น ส่วนคนอื่นไม่มีใครสังเกตเห็นเงาโลหิตนั่นเลย หรือจะพูดได้ว่าพวกเขามองไม่เห็นนั่นเอง

อีกอย่างระยะนี้เขารู้สึกได้ กระทั่งเมื่อคืนเหมือนเขาจะเห็นเงาโลหิตนั่นลางๆ อีกครั้งด้วย

บางที…อาจจะไม่ได้มีแค่ตัวเดียว!

‘ในเมื่อไม่มีใครสนใจก็ช่างมันเถอะ ขอแค่กองตรวจการณ์สังเกตเห็นยืนยันว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ หากกองตรวจการณ์ไร้หนทางจะจัดการได้ก็คงรายงานไปทางฝั่งผู้พิทักษ์รัตติกาลแน่นอน’

ถ้าไม่มีใครสนใจ คดีพวกนี้ก็คงปิดคดีโดยระบุว่าเป็นอุบัติเหตุไป ส่วนเอกสารก็คงนอนกินฝุ่นอยู่ในห้องเก็บแฟ้มคดี

หากได้รับความสนใจ กองตรวจการณ์ก็จะเป็นฝ่ายรับผิดชอบ

‘ผู้พิทักษ์รัตติกาล!’

หลี่ฮ่าวทวนชื่อนี้อีกครั้งในใจ หวังเจี๋ยที่อยู่ตรงหน้ายันตัวลุกขึ้นเอ่ย “อย่างนั้นผมไปปรึกษากับหน่วยปฏิบัติการก่อน หลังจากนี้อาจจะต้องให้คุณช่วยประสานต่อให้ข้อมูลพวกเขาสักหน่อย ในเมื่อคดีนี้คุณเป็นคนรวบรวม…”

หลี่ฮ่าวรีบพยักหน้าแล้วลอบผ่อนลมหายใจ

ดีมาก เพราะสุดท้ายก็ได้ยินในสิ่งที่ตนเองต้องการ

ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อได้มีส่วนร่วม ไม่ได้เข้าร่วมโดยตรงแต่เข้าร่วมในฐานะที่บังเอิญพบเห็นความผิดปกติก็ได้ เช่นนี้หากผู้พิทักษ์รัตติกาลเข้ามาแทรกแซงก็มีความเป็นไปได้มากที่หลี่ฮ่าวจะต้องเป็นฝ่ายประสานงานกับผู้พิทักษ์รัตติกาล

แน่นอนว่าการประสานงานใช่ว่าจะเข้าร่วมด้วยได้ ต่อให้จะเข้าร่วมได้จริงๆ หลี่ฮ่าวก็ไม่กล้าเข้าร่วมด้วยหรอก!

หนึ่งปีมานี้เขาเห็นคดีมามากมายแล้ว

บางคดีมีคำให้การปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างเช่นเรื่องมองเห็นเงาโลหิต เหมือนว่าจะไม่ใช่เขาคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็น หลี่ฮ่าวเคยอ่านเอกสารข้อมูลบางส่วน เมืองหยินมีการบันทึกในทำนองนี้มาก่อน

จากนั้นคนเหล่านั้นถ้าไม่ตายก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่มีใครรอดสักคน!

หลี่ฮ่าวไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเพราะออกจะอันตรายเกินไป แม้กระทั่งเขาเองก็ไม่กล้าบอกใครว่าตนเองมองเห็นเงาโลหิตนั่นได้ เกรงว่าแม้แต่ผู้พิทักษ์รัตติกาลก็เชื่อถืออะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ

‘ไม่ว่าอย่างไร…ก็ต้องผ่านกระบวนการปกติพวกนี้ไปสัมผัสพลังลึกลับนี้เอง!’

หลี่ฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินออกมาจากห้องทำงาน

ไม่เพียงแต่เพื่อสืบหาความจริง แต่สิ่งสำคัญก็คือเพื่อรับผิดชอบต่อชีวิตน้อยๆ ของตัวเองด้วย

คนที่มองเห็นเงาโลหิตล้วนตายกันหมด ส่วนมีใครมองเห็นอีกไหมหลี่ฮ่าวไม่รู้ แต่เขารู้ว่าคนที่เผยความลับออกมาล้วนตายกันหมด นี่นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติไม่น้อย

‘เราจะทิ้งชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไปง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้ ที่ออกจากกู่ย่วนมาอยู่ในกองตรวจการณ์ไม่ใช่เพื่อหลบหนี’

พอเดินออกมาจากประตูห้องทำงาน หลี่ฮ่าวก็ถอนหายใจน้อยๆ แล้วส่งยิ้มสดใสออกมา

ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือผู้พิทักษ์รัตติกาลออกหน้าจัดการเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ แต่หากตนพลอยได้รับผลดีไปด้วยก็จะดีที่สุด ในฐานะพนักงานฝ่ายเอกสารหากได้ร่วมงานกับผู้พิทักษ์รัตติกาล เช่นนั้นแล้วหลี่ฮ่าวก็หวังว่าจะได้เข้าไปทำงานฝ่ายเอกสารกับผู้พิทักษ์รัตติกาลเช่นกัน

สำหรับหน่วยปฏิบัติการ หลี่ฮ่าวคิดว่าตนคงไม่มีทางทำได้ อีกอย่างมันอันตรายเกินไป วันก่อนตอนเขาไปกินข้าวกับอาจารย์ หลี่ฮ่าวได้ยินมาว่าผู้พิทักษ์รัตติกาล…บาดเจ็บล้มตายกันไปไม่น้อย!

‘ดูกันไปทีละก้าวแล้วกัน!’

ครั้นหลี่ฮ่าวเห็นหวังเจี๋ยรีบร้อนออกไปก็ผุดรอยยิ้มออกมา นับว่าได้เริ่มก้าวแรกแล้ว

‘เงาโลหิต…’

เขาแอบพูดในใจ ตกลงเจ้านั่นคืออะไรกันแน่?

อีกอย่างเขายังมองเห็นมันได้ด้วย มันเป็นเพราะอะไรกันแน่?

…………………………………………………