ตอนที่ 3 กระบี่ตระกูลหลี่ (1)
หลังออกจากห้องทำงานหัวหน้ากลับมายังที่นั่งของตัวเอง หลี่ฮ่าวก็มองปฏิทินแวบหนึ่ง วันที่ 12 เดือนกรกฎาคม ปี 1730
“เกือบหนึ่งปีแล้ว!” เขาพึมพำเสียงเบา
เฉินน่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “เกือบหนึ่งปีแล้วอะไรเหรอ?”
หลี่ฮ่าวยิ้มแล้วอธิบายว่า “ผมหมายถึงผมเข้ามาทำงานในกองตรวจการณ์ได้เกือบหนึ่งปีแล้ว”
“อ้อ นายความจำดีจัง”
เฉินน่าไม่ได้สนใจอะไรอีก ใครจะไปจำเรื่องนี้ได้ในเมื่อมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
จากนั้นหลี่ฮ่าวเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เขาจำได้!
เขาจำได้ขึ้นใจเชียวล่ะ!
วันที่ 1 เดือนสิงหาคม ปี 1729 เขาเข้ามาทำงานในกองตรวจการณ์
อีกอย่างไม่กี่วันก่อนหน้านั้นคือ วันที่ 23 เดือนกรกฎาคม ถัดมาหลังจากวันเกิดเหตุหลี่ฮ่าวก็เลือกลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วไม่นานจากนั้นหลี่ฮ่าวก็เข้ามาทำงานในกองตรวจการณ์
วันที่ 22 เดือนกรกฎาคม ปี 1729 ในมหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยินเกิดคดีมีคนถูกไฟคลอกตาย
จางหย่วนนักศึกษาชั้นปีสองของกู่ย่วน มีไฟลุกท่วมตัวที่นอกห้องนอนและถูกไฟไหม้ตายทั้งเป็น
เพื่อไม่ให้กระทบต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยิน หลังจากกองตรวจการณ์ตรวจสอบแล้วแถลงว่าเกิดจากอุบัติเหตุ ข่าวเรื่องนี้ก็ถูกปิดเงียบ น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามหาวิทยาลัยกู่ย่วนมีนักศึกษาตายหนึ่งคน
แน่นอนว่าไม่ได้เป็นข่าวใหญ่โตอะไร เพราะพ่อแม่ของจางหย่วนตายกันไปหมดแล้ว ในครอบครัวไม่เหลือญาติสักคนและไม่มีผู้เกี่ยวข้องกับเหยื่อร้องทุกข์อะไร ดังนั้นเรื่องนี้เลยเงียบไป
หลังจากเรื่องนี้หลี่ฮ่าวก็ลาออกจากกู่ย่วน อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาเดาว่าอาจเกี่ยวข้องกับจางหย่วนเพราะความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ฮ่าวและจางหย่วนดีไม่หยอก
‘จางหย่วน!’ เขาเอ่ยในใจ ห่างจากวันตายของเสี่ยวหย่วนก็เกือบหนึ่งปีแล้ว
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นผุดขึ้นมาในสมองเขา
เหมือนเงาโลหิตสีแดงครอบงำวิญญาณของเสี่ยวหย่วนเอาไว้ แล้วเปลวไฟสีแดงเลือดแผดเผาวิญญาณของเสี่ยวหย่วน เขาทั้งทุกข์ทรมานดิ้นพล่านจนสติหลุด คนอื่นอาจมองไม่เห็นทว่าหลี่ฮ่าวกลับมองเห็นอย่างชัดเจน
เขาอยากเข้าไปขัดขวางแต่ชั่ววินาทีนั้นเสี่ยวหย่วนอ้าปากพะงาบๆ ภายใต้ความทุกข์ทรมานจับใจและในเสี้ยววินาทีที่ไร้หนทางจะเปล่งเสียงออกมาได้ แต่ปากของเขาก็ขยับไม่หยุด
บางทีคนอื่นอาจรู้สึกว่าเขากรีดร้องคร่ำครวญ แต่มีเพียงหลี่ฮ่าวเท่านั้นที่รู้ว่าไม่ใช่
หนีไป!
ใช่แล้ว เขาบอกให้ตนหนีไป
หลี่ฮ่าวสนิทสนมกับจางหย่วนเป็นอย่างดี!
เขาบอกให้ตนอย่าเข้ามาใกล้ บอกให้ตนหนีไป
จางหย่วนไม่ได้ตายในห้องนอน ตอนเกิดเหตุเขาใส่แค่กางเกงในตัวหนึ่งด้วยซ้ำ ดูแล้วอาจน่าขันแต่หลี่ฮ่าวกับไม่รู้สึกว่ามันตลกเลยสักนิด
ตอนที่จางหย่วนตายน่าจะเป็นเวลาเตรียมเข้านอนแล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์ทุกข์ทรมานเช่นนั้น เขาหาทางหนีออกมาจากห้องนอนแล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งก็คือห้องนอนของหลี่ฮ่าว!
เขาไม่อาจจะเปล่งเสียงออกมา เหมือนว่าพละกำลังที่มากที่สุดที่ทำได้ก็แค่เขวี้ยงอิฐก้อนหนึ่งให้แตกละเอียดเท่านั้น ในช่วงเวลาดึกสงัดถึงจะมีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น มีคนไม่น้อยออกมามุงดูซึ่งรวมถึงหลี่ฮ่าวด้วย
จางหย่วนกำลังร้องขอความช่วยเหลือเหรอ?
คนนอกรู้สึกเช่นนั้น แต่หลี่ฮ่าวรู้สึกว่า…ไม่ใช่
เขากำลังเตือนตนเอง ที่จางหย่วนพยายามออกมาจากห้องนอนแล้วเขวี้ยงของให้เกิดเสียงดังก็เพื่อเรียกให้หลี่ฮ่าวออกมา สุดท้ายก็พูดคำว่า ‘หนีไป’ โดยไม่มีเสียง เขาไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากหลี่ฮ่าวแต่กลับบอกให้เขาหนีไป
‘สิบสี่ปี’
หลี่ฮ่าวพึมพำในใจ
เขารู้จักกับจางหย่วนมาแล้วสิบสี่ปี แต่ในความคิดของคนอื่นพวกเขาเป็นเพื่อนกันเพียงสองปีเท่านั้น พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจนโตสิบสี่ปี หรือจะเรียกว่าเพื่อนตายดีล่ะ?
เพียงแต่พวกเขาสองคนต่างเป็นคนเงียบๆ มิตรภาพระหว่างผู้ชายไม่จำเป็นต้องโพนทะนาไปทั่วหรอก
เหมือนกับตัวของจางหย่วนเอง ที่ในชั่ววินาทีของความเป็นความตาย เขายังมีปณิธานอันแรงกล้าพยายามดิ้นรนหนีออกมาเพื่อบอกให้หลี่ฮ่าวหนีไป!
สุดท้ายคดีไฟคลอกจางหย่วนก็ถูกปิดเงียบหายไปโดยไม่มีวี่แววอะไรเลย
ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ของหลี่ฮ่าวย่อมมีไม่กี่คนที่คิดจะไปสืบเบื้องลึกอะไรต่อ
‘เสี่ยวหย่วนบอกให้หนีไป ตกลงแล้วเขาเห็นอะไรหรือได้ยินอะไรมากันแน่ หรือแค่นึกหวาดกลัวเฉยๆ เท่านั้น หรือว่า…เสี่ยวหย่วนรู้ว่าเป้าหมายต่อไปของเงาโลหิตจะเป็นตัวเรานะ?’
นี่เป็นคำถามที่หลี่ฮ่าวขบคิดมาตลอดหนึ่งปีนี้
เขามิอาจจินตนาการได้ว่าจางหย่วนได้รับความทุกข์ทรมานมากแค่ไหน แต่ในวินาทีนั้นกลับยังมีแก่ใจมาเตือนตน หลี่ฮ่าวคิดว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ธรรมดาแล้ว บางที…เป้าหมายต่อไปของเงาโลหิตก็คือตัวเขาเอง!
‘หกคน หากรวมตัวเราเอง บางทีอาจเป็นเจ็ดคน พวกเรามีจุดไหนที่เหมือนกันนะ?
ระยะเวลาสิบปี เวลาก็เริ่มสั้นลงเรื่อยๆ ถ้ารวมเราไปอีกคนหนึ่งก็เป็นเจ็ดคน นอกจากตัวเราเองกับจางหย่วนแล้ว คนอื่นก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันเลย ตกลงเป้าหมายเป็นแบบสุ่มหรือพุ่งเป้าชัดเจนกันแน่นะ?’
หลี่ฮ่าวนวดขมับเบาๆ แล้วพลิกอ่านเอกสารตรงหน้า นี่เป็นเอกสารทั้งหมดของพวกเขาหกคน หรือก็คือเบาะแสบางส่วนที่เขาพยายามรวบรวมทุกช่องทางตลอดหนึ่งปีมานี้
ระยะเวลาห่างจากเหยื่อผู้ตายคนแรกสิบปี ก่อนหน้านี้อาจจะมีหรือไม่มีก็เป็นได้เพราะหลี่ฮ่าวเองก็ไม่รู้เช่นกัน
ความจริงระยะเวลาสิบปีมีหลายอย่างที่ตามสืบยากมากแล้ว
‘เพศ? อายุ? อาชีพ? สถานะ? มีคนรู้จักคนเดียวกัน?’
หลี่ฮ่าวพลิกเอกสารตรงหน้าไปมาหลายครั้ง เขาไม่เคยเจอจุดที่คล้ายคลึงกันของเหยื่อได้เลย พวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง
‘ทำไมเงาโลหิตถึงอยากฆ่าพวกเขา เพราะพวกเขาคุกคามเงาโลหิตหรือมีจุดประสงค์อื่นกันแน่?’
ข้อกังขานับไม่ถ้วนอัดแน่นอยู่ในหัวหลี่ฮ่าวเต็มไปหมด
และแน่นอนสาเหตุที่เขาไล่ตามสืบมาตลอดก็เพราะ…อยากเอาคืน!
จางหย่วนตายไปแล้วไม่มีใครสนใจแต่หลี่ฮ่าวสนใจ!
ฝั่งผู้พิทักษ์รัตติกาลมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนเต็มไปหมด หากไม่ใช่เพราะตนจนปัญญาหาเบาะแสที่มีประโยชน์ได้และไม่มีวิธีการดีๆ รับมือกับเงาโลหิตที่ทุกคนมองไม่เห็น หลี่ฮ่าวคงไม่คาดหวังให้ผู้พิทักษ์รัตติกาลฆ่าเงาโลหิตหรอก เขาหวังว่าตนจะเป็นคนไปฆ่าพวกมันเองมากกว่า!
“หลี่ฮ่าว อ่านข้อมูลของคนพวกนั้นอีกแล้วเหรอ?”
เฉินน่าที่นั่งฝั่งตรงข้ามเห็นหลี่ฮ่าวเปิดเอกสารที่ดูคุ้นตาอีกเลยอดถามไม่ได้
ตลอดหนึ่งปีมานี้หล่อนเห็นหลี่ฮ่าวอ่านเอกสารนี้มาหลายครั้งแล้ว อีกอย่างเอกสารก็หนาขึ้นเรื่อยๆ หลี่ฮ่าวเปิดอ่านจนกระดาษแทบเป็นขุยหมดแล้ว
แต่ทุกครั้งที่หล่อนอยากอ่าน หลี่ฮ่าวก็จะปิดมันลงทันที
แต่หล่อนเคยเห็นผ่านๆ ว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของคนไม่กี่คน
หลี่ฮ่าวเงยหน้าฉีกยิ้มไร้เดียงสากล่าว “พี่น่า ผมก็แค่อ่านไปอย่างนั้นๆ แหละครับ”
“ชิ!”
เฉินน่าเมินใส่ อ่านไปอย่างนั้นๆ เหรอ นายสามารถอ่านไปอย่างนั้นๆ ได้เกือบปีเลยหรือไง?
บางครั้งเจ้าเด็กนี่ก็ไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย
………………………………………………………………….