ตอนที่ 4 ม่านหมอกแห่งความงุนงงคลี่คลาย (1)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 4 ม่านหมอกแห่งความงุนงงคลี่คลาย (1)

หลี่ฮ่าวนึกขึ้นมาได้!

พูดถึงกระบี่แล้ว ตระกูลหลี่มีด้ามหนึ่งหรือชิ้นหนึ่งนะ?

ที่ไม่ค่อยจะแน่ใจเป็นเพราะกระบี่ที่เขานึกถึงนั้น ไม่ค่อยจะเหมือนกระบี่เท่าไหร่นัก

แต่หลี่ฮ่าวก็รู้ดีแก่ใจว่านี่แหละคือกระบี่

อาจจะฟังดูย้อนแย้ง

แต่นี่คือเรื่องจริง

ตอนเด็กๆ บิดาของหลี่ฮ่าวเคยให้เขาห้อยจี้หยกชิ้นนี้ หนำซ้ำยังกำชับเขาอย่างจริงจังด้วยว่า “นี่คือกระบี่ดาราพรายเป็นของเก่าแก่เพียงสิ่งเดียวที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของตระกูลหลี่เรา แล้วลูกก็ต้องส่งต่อให้ลูกของลูก อย่ามองว่ามันเป็นเพียงแค่จี้หยก มันคือกระบี่”

ยามกล่าวนั้นท่าทีคนเป็นพ่อเขาดูจริงจังอย่างยิ่ง แต่เมื่อเห็นผู้เป็นบุตรชายทำหน้างุนงง เขาจึงกล่าวต่อด้วยท่าทีเอือมระอา “นี่คือสิ่งที่ปู่ของลูกบอกพ่อ เป็นคำสั่งเสียที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพชน พวกเขาบอกกันว่าของสิ่งนี้คือกระบี่ ลูกเรียกตามพวกเขาเป็นใช้ได้”

ดังนั้นหลี่ฮ่าวถึงได้คิดออกในทันทีว่าตระกูลหลี่มีกระบี่เล่มหนึ่งที่มีนามว่ากระบี่ดาราพราย

ที่จริงแล้วตอนนี้เป็นจี้หยกทรงกระบี่ชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่ห้อยอยู่บนคอเขา

หลี่ฮ่าวในตอนนี้ออกจะสับสนอยู่เล็กน้อย

ถ้าหากกระบี่ตระกูลหลี่ที่ถูกพูดถึงในบทเพลงพื้นบ้านก็คือกระบี่หยกชิ้นนี้ เช่นนั้นแล้วตระกูลหลี่ก็มีกระบี่อยู่จริง ๆ

ตระกูลจางมีมีดไหม?

ของคนอื่นหลี่ฮ่าวไม่รู้แน่ชัดนัก เพราะบุพการีสองคนของจางหย่วนก็ลาโลกไปนานแล้ว หลี่ฮ่าวรู้จักพวกเขามาหลายปี จึงนับได้ว่ารู้จักจางหย่วนเป็นอย่างดี

“มีดตระกูลจาง”

หลี่ฮ่าวย้อนคิดอย่างละเอียดตระกูลจางมีมีดไหมนะ?

เมื่อย้อนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา ดวงตาหลี่ฮ่าววูบไหวน้อยๆ ตระกูลจางอาจจะมีมีด

ซึ่งต่างไปจากจี้หยกของตนเอง อย่างไรเสียหยกก็เป็นของที่มีมูลค่าซ้ำเป็นหยกเก่า จะมากจะน้อยก็ยังพอมีราคา ตระกูลหลี่ถึงยังได้ให้ความสำคัญกับมัน

ส่วนมีดของตระกูลจางนั้น ทันใดนั้นเองหลี่ฮ่าวก็นึกถึงตอนเด็กๆ ยามที่เขาเล่นกับจางหย่วน จางหย่วนมักจะขโมยเอาของชิ้นหนึ่งออกมาเล่นกันเขา แต่ก็จะโดนบิดาจับได้อย่างรวดเร็วแถมยังด่าเขาเสียยกใหญ่

เหมือนว่าของชิ้นที่ว่านั้นจะเป็นก้อนหินที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายมีด

ความทรงจำของเขาเลอะเลือนไปมาก แต่ก็ยังพอจำได้ลางๆ ว่าตอนนั้นพ่อของจางหย่วนดุด่าพวกเขาเสียยกใหญ่ บอกว่าของชิ้นนี้เป็นมรดกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ ถึงแม้จะไม่มีราคาค่างวดอะไร เป็นแค่ก้อนหินผุๆ พังๆ ที่ส่งต่อกันมา แต่นั่นคือมรดกที่เหล่าบรรพบุรุษให้สืบทอดกันมา ห้ามเอามาเล่น

แน่นอนว่าในความเป็นจริงแล้วหลี่ฮ่าวเห็นอยู่กับตา พ่อของจางหย่วนก็วางก้อนหินไว้ข้างตัวตามอำเภอใจ หลี่ฮ่าวจึงเกิดความสงสัยว่าตอนนั้นคุณพ่อแซ่จางผู้นี้แค่อยากด่าลูกชายตนเองจึงหาข้ออ้างก็เท่านั้น

“หรือจะบอกว่านั่นก็คือมีดตระกูลจางในบทเพลงพื้นบ้าน”

ถ้าหากเป็นไปตามนี้จริงๆ ก็ดูเข้าเค้าเข้าลางแล้ว

ต่อมาหลี่ฮ่าวก็ไม่เคยได้เห็นหินก้อนนั้นอีก ซึ่งที่จริงแล้วพออายุมากขึ้นหลี่ฮ่าวและจางหย่วนก็ไม่รนหาที่อีก จะเล่นก้อนหินสักก้อนก็ไปหยิบเอาตามข้างทางก็ได้เยอะแยะถมเถไป

ในวินาทีนี้เองหลี่ฮ่าวก็จะสามารถยืนยันได้คร่าวๆ ว่าเรื่องในบทเพลงนี้อาจจะเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น

แล้วเขาจึงลูบทรวงอกตนเอง จี้หยกเย็นยะเยียบไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

บางทีความเย็นชืดนี้ทำให้หลี่ฮ่าวได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาหันมองเฉินน่าด้วยแววตาคาดหวังและตื่นเต้นก่อนจะพูดรัวเร็ว “พี่น่าผมขอไปพบคุณย่าพี่ได้ไหมครับ?”

เขาเองก็อยากรู้ว่าบทเพลงนี้มาจากไหน ใครเป็นคนเริ่มเอามาเผยแพร่ เล่ากันมากี่ปีแล้ว กลอนบทนี้สมบูรณ์หรือไม่?

ทำไมคดีไฟคลอกนี้ถึงได้ไปเกี่ยวข้องกับบทเพลงพื้นบ้านได้นะ?

แล้วเงาโลหิตคืออะไรทำไมถึงต้องไล่ฆ่าคนทั้งแปดตระกูลที่ปรากฎอยู่ในบทเพลง?

อีกทั้งถ้าฆ่าแล้ว จะฆ่าเพียงเจ้าตัว หรือว่าแค่เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับทั้งแปดตระกูลก็จะสังหารให้หมด ถ้าหากเป็นเช่นนั้น…

“หืม?”

จู่ๆ หลี่ฮ่าวก็ฉุกใจนึกถึงอะไรบางอย่าง โดยที่เฉินน่ายังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ

เขารีบพลิกแฟ้มคดีดูอย่างรวดเร็วถึงแม้ว่าเขาจะดูคดีพวกนี้มานับรอบไม่ถ้วน แต่ในตอนนี้ก็ยังต้องเปิดรื้อๆ ดูอยู่ดีเขาพึมพำกับตัวเอง “พ่อแม่ของหงเจียวตายไปหมดแล้ว ตอนตายก็อายุไม่มาก ดังนั้นหลังจากหงเจียวตายไปแล้ว ทางฝั่งบ้านตระกูลหงก็ไม่เหลือใครอีก”

“ส่วนฝั่งโจวชิ่ง ภรรยาเขาน่ะยังมีชีวิตอยู่ แต่โจวชิ่งไม่ลูกสักคน พวกเขาเป็นสามีภรรยากันมาหลายปีแต่ก็ไม่ได้มีทายาทแต่อย่างใด”

“ส่วนจางหย่วนยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

ตระกูลจางเองก็มีจางหย่วนเป็นทายาทเพียงคนเดียว มารดาของเขาตายไปนานแล้ว ดังนั้นจางหย่วนจึงเป็นทายาทเพียงคนเดียวของบ้านตระกูลจาง

“ตอนที่หวังฮ่าวหมิงตายไปก็ไม่ได้แต่งงาน แต่หวังฮ่าวหมิงก็ไม่ใช่ลูกชายคนเดียว เขายังมีน้องชายอยู่อีกคนหนึ่ง”

“ส่วนหลิวอวิ๋นเชิงเป็นคนแก่เป็นโสดมาทั้งชีวิต”

“หลิวซื่อฮ่าวมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง พอเขาตายลูกสาวกับภรรยาของเขาก็ออกจากเมืองหยินไปด้วยกัน ส่วนไปไหนนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด”

หลี่ฮ่าวพลิกอ่านดูเร็ว ๆ คนพวกนี้มีบ้างที่แต่งงานแล้ว มีบ้างที่มีลูกแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะตัวคนเดียว ดังนั้นก่อนนี้หลี่ฮ่าวจึงไม่เขอข้อผิดปกติใดๆ ในคดีนี้

แต่ตอนนี้จู่ ๆ หลี่ฮ่าวก็นึกถึงตนเอง

“แม่ฉันเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อนเป็นเพราะอุบัติเหตุแน่ๆ เพราะรถสูญเสียการควบคุมเลยทำให้รถค่ำ แต่ตอนนี้จะยังใช่อุบัติเหตุไหมนะ?”

พ่อแม่ของหลี่ฮ่าวตายไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน

โดยอุบัติเหตุ!

ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดีไฟคลอก ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่หลี่ฮ่าวจึงไม่ได้โยงอุบัติเหตุของพ่อแม่ตนเองกับคดีที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เพราะที่ผ่านๆ มาล้วนแต่เป็นคดีไฟคลอก

ขณะนี้อารมณ์มากมายสับสนปนเปไปหมดในใจหลี่ฮ่าว

ตระกูลจาง ตระกูลหง ตระกูลโจวและตระกูลหลิวต่างก็ถือว่าไม่มีสายเลือดสืบทอดต่อแล้ว และไม่มีทายาทสายตรงอยู่อีกแล้ว

หวังฮ่าวหมิงมีน้องชายคนหนึ่ง จางซื่อหาวมีลูกสาวคนหนึ่ง ส่วนตนเองหากว่าเป็นตระกูลหลี่ซึ่งเป็นตระกูลแห่งกระบี่ที่ว่าแล้ว อย่างนั้นคนตระกูลหลี่ในบทเพลงก็เหมือนจะเป็นตนเองจริงๆ

“นี่ไม่ใช่การฆ่าคนแค่คนเดียวแล้วแต่เป็นการฆ่าล้างตระกูล!”

ในใจเกิดหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิม แต่ในขณะที่หวาดกลัวนั้น เขาก็โกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิมด้วย!

‘พ่อแม่ของเราไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุเหรอเนี่ย?’

แน่นอนว่าไม่สามารถจะยืนยันเรื่องพวกนี้ได้แน่ชัดทั้งหมด อย่างไรเสียตอนนี้ตระกูลหวังและตระกูลจ้าวยังมีทายาทอยู่

“หลี่ฮ่าว!”

เสียงตะโกนของเฉินน่าทำให้หลี่ฮ่าวได้สติ

“นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เฉินน่าเห็นหลี่ฮ่าวถามแล้ว พอตนเองตอบ เขาก็ไม่สนใจตนเองเหมือนใจลอยไป

“ไม่เป็นไร!”

…………………………………………………………………