ตอนที่ 4 ม่านหมอกแห่งความงุนงงคลี่คลาย (2)
หลี่ฮ่าวรีบส่ายศีรษะ เฉินน่ามองเขาแล้วโพล่งออกมา “นาย นายคิดว่าคนพวกนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลต่างๆ ที่กล่าวถึงในบทเพลงพื้นบ้านเหรอ? แต่เป็นแต่บทเพลงที่ร้องกันแพร่หลายในหมู่ชาวบ้าง มีบางส่วนที่แก้มาจากตำนานปรัมปราต่างๆ แต่มีบางส่วนที่ร้องไปส่งๆ ในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง ฉันคิดว่าอาจจะบังเอิญพอดี แถมยังขาดไปอีกสองตระกูลไม่ใช่เหรอ?”
เจ้าหล่อนพูดไปพลางอยากจะยิ้ม แต่ยังไม่ทันได้ยิ้ม จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาแล้วรีบมองหลี่ฮ่าว
ขาดไปสองตระกูลหนึ่งคือตระกูลเจิ้ง อีกตระกูลคือหลี่!
หลี่ฮ่าว?
เรื่องนี้เกี่ยวกับหลี่ฮ่าวหรือเนี่ย?
อย่างไรเสียหล่อนก็เป็นคนในกองตรวจการณ์ ตรรกะและความสามารถในการคิดวิเคราะห์พื้นฐานทั่วไปก็พอมีอยู่บ้าง จึงคิดถึงหลี่ฮ่าวอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าคนพวกนี้ที่หลี่ฮ่าวเอาแต่ไล่ตามสืบมีความเกี่ยวข้องกับเขาหรอกนะ?
“หลี่ฮ่าว นายแซ่หลี่ถูกต้องไหม?”
“…”
หลี่ฮ่าวหัวเราะเสียงขมขื่นบอกว่าไม่ใช่ได้เหรอ?
เฉินน่าขมวดคิ้วทันที “นายพูดกับฉันมาตามตรงเถอะว่าการตายของคนทั้งหกคนนี้มีเรื่องผิดปกติใช่ไหม?”
หล่อนอ่านแฟ้มคดีแต่ไม่ได้ดูโดยละเอียด แต่เหมือนว่าจะเป็นการตายโดยอุบัติเหตุทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่ได้อยู่ในปีนี้จะเกี่ยวข้องกันเหรอ?
“พี่น่าครับ เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย ผมขอไปพบคุณย่าพี่ได้ไหมครับ?”
หลี่ฮ่าวไม่อยากพูดอะไรมากที่นี่
เฉินน่าเห็นเช่นนั้นก็ไม่ถามต่อ หล่อนเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจแล้วกล่าวว่า “เมื่อกี้ฉันบอกแล้ว แต่นายคงไม่ได้ยิน คุณย่าฉันน่ะเสียไปหลายปีแล้ว”
“ขอโทษด้วยครับ!”
“ไม่เป็นไร ตอนที่คุณย่าเสียท่านก็อายุเก้าสิบกว่าแล้ว ถือว่าเป็นงานศพมงคล”
เฉินน่าไม่มีท่าทีผิดปกติ เจ้าหล่อนพูดเร็วๆ “แต่บทเพลงนี้ ตอนฉันยังเด็กที่บ้านคุณย่ามีคนร้องเพลงนี้กันได้เยอะเลย แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าคนเฒ่าคนแก่ที่บ้านยังอยู่กันไหม ก็นะ ไม่ได้กลับบ้านไปนานแล้ว”
เฉินน่าเห็นหลี่ฮ่าวคิดตามจึงกล่าวต่อว่า “หรือไม่เอาแบบนี้ ถ้านายสนใจจริงๆ พวกเราหาเวลาไปที่บ้านเกิดฉันสักรอบ เพื่อไปตรวจสอบดูในพื้นที่จริง ถ้าหากว่าไปเจอคนแก่ที่พอจะร้องเพลงได้ อาจจะได้เรื่องอะไรมาบ้าง”
หลี่ฮ่าวครุ่นคิดแล้วพยักหน้า
“พรุ่งนี้เป็นวันหยุด พี่น่าสะดวกไหม?”
“ได้สิ!”
เมื่อทั้งสองคนตกลงกันแล้ว หลี่ฮ่าวก็ไม่คิดเรื่องนี้อีก เขากล่าวต่ออย่างรวดเร็ว “พี่น่า เส้นสายที่พี่มีในกองตรวจการณ์กว้างขวางกว่าผมมาก พอจะช่วยผมได้ไหมครับ?”
“ไหนลองว่ามาสิ”
ตอนนี้หลี่ฮ่าวไม่ปิดบังอะไรหล่อนอีกแล้ว เขาส่งแฟ้มคดีให้เฉินน่าดู แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “พี่พอจะช่วยผมตรวจสอบร่องรอยของคนพวกนี้ได้ไหม? คนแรกน้องชายของหวังฮ่าวหมิง เขาไม่อยู่ที่เมืองหยิน แต่เขาเป็นญาติเพียงคนเดียวของหวังฮ่าวหมิงที่อยู่ที่นี่ พอหวังฮ่าวหมิงตายไปเขาก็ไม่กลับเมืองหยินมานานแล้ว”
“คนที่สองก็คือลูกสาวของจ้าวซื่อหาว! หลังจากที่เขาตาย ลูกสาวและภรรยาของเขาก็ย้ายออกจากเมืองหยิน แล้วก็ไม่มีข่าวคราวอะไรอีก”
พื้นที่ในการรับผิดชอบของกองตรวจการณ์เมืองหยิน ก็มีแค่เมืองหยินเท่านั้น เขาไม่มีสิทธิ์เหนือพื้นที่อื่นๆ และมากไปกว่านั้นไม่มีคุณสมบัติในการสอบถามคดีนอกพื้นที่ด้วย
ที่ต้องขอให้เฉินน่าช่วยนั้นเพราะเฉินน่ารู้จักคนในกองตรวจการณ์มากกว่าเขา
ส่วนที่กองตรวจการณ์ หลี่ฮ่าวไม่สนิทสนมกับกองตรวจการณ์นอกเมืองหยิน แต่ก็น่าจะพอมีเพื่อนร่วมงาน เพื่อนนักศึกษา และเพื่อนๆ ทำงานในกองตรวจการณ์พื้นที่อื่น หากลองไปหยั่งเชิงถามอาจจะได้ข่าวคราวอะไรมาบ้าง
แววตาเฉินน่าเป็นประกายสว่างวาบ
ให้หาข่าวของญาติผู้เสียชีวิต?
หลี่ฮ่าวมีเจตนาอะไร?
“พี่น่า พี่จะพอหาได้ไหม?”
เฉินน่าครุ่นคิดแล้วผงกศีรษะ “ถ้าพอมีพื้นที่คร่าวๆ ก็จะหาง่าย ที่กลัวน่ะก็เพราะว่าไม่มีเบาะแสอะไรเลยน่ะสิ นายต้องรู้นะว่านอกเมืองหยินนั้นพื้นที่กว้างใหญ่ พวกเราไม่มีสิทธิ์จัดการข้ามเขต และไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบด้วย ถ้าจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็น่าจะต้องมีข้อมูลที่แน่นอนถึงจะขอคนไปตามสืบได้ง่ายๆ หน่อย”
“เข้าใจแล้ว ผมพอมีข้อมูลของพวกเขาอยู่บ้าง เดี๋ยวกลับไปผมจะจดให้ ถึงจะไม่รู้ตำแหน่งแน่ชัด แต่ผมพอจะรู้ว่าพวกเขาอยู่เมืองไหน”
หลี่ฮ่าวตามสืบเรื่องนี้อยู่นานแล้ว เขาถึงได้พอจะรู้เรื่องของญาติผู้ตายอยู่บ้าง แต่เพราะอีกฝ่ายอยู่นอกพื้นที่ หลี่ฮ่าวจึงไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้ก็เท่านั้น
“งั้นก็ง่ายแล้วยกให้ฉันจัดการก็แล้วกัน!”
เฉินน่าตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว
หลี่ฮ่าวพร่ำขอบคุณอีกฝ่าย
ทั้งสองคนคุยกันอยู่นาน แต่จู่ ๆ เฉินน่าก็กดเสียงต่ำแล้วกล่าวว่า “หลี่ฮ่าว มีบางเรื่องที่นายควรจะต้องระวังสักหน่อย! ฉันว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ธรรมดา”
หล่อนไม่ได้โง่ แค่มองจากภาพโดยรวมก็พอจะเดาได้ลางๆ
ในเวลานี้เอง เฉินน่ากำลังครุ่นคิดว่าถ้าหากหลี่ฮ่าวเป็นแซ่หลี่ที่หมายถึง ‘กระบี่ตระกูลหลี่’ ในบทเพลงเช่นนั้นแล้วเขากำลังตกอยู่ในอันตรายหรือไม่นะ?
กองตรวจการณ์ไม่กลัวอันตราย แต่ที่กลัวคือไม่รู้ว่าอันตรายมาจากไหน
คดีพวกนั้นเป็นอุบัติเหตุทั้งสิ้น
หลี่ฮ่าวผงกศีรษะน้อยๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร
แต่ตอนนี้หลี่ฮ่าวเองก็มีธุระที่ต้องทำ ต้องไปตรวจสอบอีกมาก
เขาต้องการจะตรวจสอบคดีเมื่อสิบปีก่อนว่ามีคนตระกูลเจิ้งตายหรือไม่?
หากเรื่องราวราบรื่นเขาอาจจะไปบ้านจางหย่วนสักครั้งด้วยตนเอง หลังจากที่จางหย่วนตายแล้วบ้านก็ถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ เขาอยากไปดูว่ามีดตระกูลจางยังอยู่หรือไม่?
ไม่ใช่แค่มีดตระกูลจางเท่านั้น ยังมีค้อนตระกูลหง หอกตระกูลโจว อาวุธทั้งหลายทั้งแหล่ในบทเพลงว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แล้วยังอยู่หรือไม่?
ที่เงาโลหิตเล็งเอาไว้คือคนจากทั้งแปดตระกูลหรือว่าอาวุธของทั้งแปดตระกูลที่พูดถึงในบทเพลงกันแน่?
ส่วนพวกหมัดและเท้าไม่ต้องพูดถึงมากมาย คนก็ตายไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลืออีก
แต่ของอย่างพวกอาวุธหากว่าแต่ละตระกูลส่งต่อให้กัน เหมือนเป็นมรดกประจำตระกูลเฉกเช่นตระกูลหลี่แล้ว บางทีอาจเจอเบาะแสอะไรบ้าง
จะต้องยืนยันเป้าหมายของเงาโลหิตให้ได้ เพื่อจะได้เข้าใจฝ่ายตรงข้ามให้มากขึ้น ถึงจะสามารถรับมือกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ดีขึ้น
หลี่ฮ่าวไม่ได้ตรงไปที่บ้านตระกูลจาง แต่ก็ไม่ได้กลับบ้าน เขายังมีอะไรต้องทำก่อน
ณ กองตรวจการณ์
ป้าจ้าวที่เป็นคนดูแลแฟ้มคดี ย้ายข้อมูลกองหนึ่งออกมาจากโกดังที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง ตบๆ ไล่ฝุ่นจนฝุ่นลอยคลุ้งขึ้นมา
แล้วส่งเอกสารที่เริ่มเหลืองให้หลี่ฮ่าวแล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เสี่ยวฮ่าว เธอจะเอาของพวกนี้ไปทำอะไร? รายชื่อคนตายที่มีแซ่เจิ้งในปี 1715 ถึง 1719 อยู่นี่หมดแล้ว น่าจะรวมๆ หลายร้อยคนเลยทีเดียว แต่พวกเขาก็ตายไปนานแล้วนะ”
รอยยิ้มใสซื่อกระจายบนใบหน้าหลี่ฮ่าว “พี่จ้าว ที่ห้องเก็บแฟ้มคดี มีคดีน่าสงสัยที่อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีพวกนี้ พูดรายละเอียดแน่ชัดมากไม่ได้ รบกวนพี่จ้าวแล้วครับ เดี๋ยวถ้าผมเจอเบาะแสแล้ว ผมจะเลี้ยงข้าวพี่นะครับ”
“เรื่องกินข้าวน่ะไม่เป็นไรหรอก เสี่ยวฮ่าวเอ่ย เธอก็อายุยี่สิบกว่าแล้ว จะว่าไปอายุก็ไม่น้อยแล้ว ปีนี้ลูกสาวฉันอายุ 22 โตกว่าเธอสองปี”
หลี่ฮ่าวเอือมระอาน้อยๆ แต่ใบหน้ายังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม “พี่จ้าวไว้ค่อยคุยเถอะนะครับ ผมยังเด็กอยู่เลย”
จากนั้นก็พูดพลางหอบเอกสารคดีจากไปด้วยท่าทีขัดเขิน
…………………………………………………………………………