ตอนที่ 14 รู้สึกว่าตัวเราเก่งกาจเหลือเกิน (2)
หลิวหลงมองเขา หลี่ฮ่าวลำบากใจอย่างยิ่ง “ไม่มีแล้วครับ”
หลิวหลงกล่าวเสียงเย็น “แบบนี้ก็กลายเป็นศิษย์รักของหยวนซั่วแล้วเหรอ?”
หลี่ฮ่าวกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย “นั่นอาจารย์ยกยอผมเองต่างหาก”
“หลี่ฮ่าว อยู่ที่นี่ ถ้านายไม่ได้มีค่ามากพอ ยามเจออันตรายพวกเราจะไม่ทอดทิ้งคุณ แต่ก็จะไม่เสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยคุณเช่นกัน! แต่ถ้าคุณมีค่ามากพอ ต่อให้พวกเราต้องเสียสละก็จะใช้ชีวิตเราเข้าแลกให้นายอยู่รอด เพื่อให้ความศรัทธาของเราดำรงอยู่ต่อไป!”
หลี่ฮ่าวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสริม “ผมยังชำนาญในการวิเคราะห์อักษรโบราณด้วย รวมถึงการสำรวจอารยธรรมโบราณ การวิเคราะห์อักษรโบราณเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก อีกอย่างผมความจำดี ซึ่งนี่ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของผม”
คนพวกนั้นสบตากันด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย
วิเคราะห์อักษรโบราณ!
มีประโยชน์ไหม?
มีสิ!
มีประโยชน์อย่างมากเลยล่ะ!
เหตุที่ตอนนี้หยวนซั่วมีตำแหน่งสูงส่งก็เพราะเขาเป็นคณบดีของคณะการสำรวจอารยธรรมโบราณ สถานะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่มันสำคัญที่หยวนซั่วเป็นนักสำรวจอารยธรรมโบราณ และมีความเข้าใจการศึกษาค้นคว้าเรื่องอารยธรรมอย่างมาก
ดังนั้นต่อให้เป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลก็ยังชื่นชมบูชาเขาอย่างยิ่ง
แต่ว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่กล้าให้หยวนซั่วกลายเป็นพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เพราะทันทีที่หยวนซั่วกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติขึ้นมาเมื่อไร ความวุ่นวายมากมายก็จะเกิดขึ้นทันที
สิ่งของบางอย่างไม่มีประโยชน์กับคนทั่วไป แต่มีประโยชน์อย่างมากกับพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติด้วยกัน
ที่ผ่านมมาผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่มีความรู้และสติปัญญามากพอจะแยกแยะสิ่งของที่มีประโยชน์กับตนได้
แต่หยวนซั่วทำได้!
หยวนซั่วที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่กล้าลักลอบเก็บไว้หรือยักยอกเอาไว้เองแน่นอน
แต่ทันทีที่หยวนซั่วกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอาจเป็นไปได้มากที่จะไม่อยู่ในการควบคุมอีก แถมทันทีที่พบสมบัติบางอย่าง เขาก็อาจจะยักยอกเก็บเอาไว้เอง อีกทั้งอาจจะยักยอกสมบัติเอาไว้โดยที่ไม่มีใครรู้ก็ได้
ในวินาทีนี้แววตาหลิวหลงก็สว่างวาบ!
“คุณได้รับการสืบทอดความรู้มาจากหยวนซั่วมากแค่ไหนกัน?”
หลี่ฮ่าวถ่อมตัว “หัวหน้าประเมินผมสูงเกินไปแล้ว ความรู้ของอาจารย์ผมลึกล้ำดุจมหาสมุทร ผมมันก็แค่น้ำหยดหนึ่งเท่านั้นเอง”
“พูดภาษาคนมา!”
“…”
หลี่ฮ่าวอิดหนาระอาใจทำได้แค่กล่าวว่า “ผมติดตามอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยกู่ย่วนได้แค่สองปี หลักๆ แล้วเวลาก็หมดไปกับการเรียนหนังสือไม่ได้ลงมือปฏิบัติจริง สิ่งที่อาจารย์ถนัดมีมากเกินไป ตอนนี้ผมทำได้แค่วิเคราะห์อักษรโบราณบางอย่าง ส่วนความสามารถอื่นๆ นั้นห่างไกลกับอาจารย์มากนัก สิ่งที่อาจารย์ผมถนัดก็มีพวกแก้กับดัก เก็บรักษาวัตถุโบราณ การดูฮวงจุ้ยและกลอนต่างๆ…”
เมื่อพูดถึงหยวนซั่วแล้ว หลี่ฮ่าวเองก็กระดากใจไม่น้อย เพราะรู้สึกว่าตนห่างชั้นอยู่หลายขุม เขากล่าวพลางทอดถอนใจ “หลังจากที่ผมออกจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วนก็มัวแต่ยุ่งๆ เรื่องอื่นเลยไม่มีเวลาไปเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีก ผมยังห่างจากจากอาจารย์หลายขุมจริงๆ ครับ!”
หลิวหลงกล่าวเสียงต่ำ “ดีมากแล้วล่ะ! ในเมื่อเข้าตาหยวนซั่วได้ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและพรสวรรค์ของคุณแล้ว!”
การวิเคราะห์อักษรโบราณ…
เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่ออีกแล้วกล่าวต่ออย่างรวดเร็ว “อย่างนั้นก็ดี หลี่ฮ่าว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณก็คือฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลกับ…ตัวล่อแล้วกัน!”
“……”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
ตัวล่อถือเป็นงานเสริมได้ด้วยเหรอ?
ทว่าอู๋เชากลับยิ้มเจ้าเล่ห์ ทุกครั้งที่เขายิ้มนั้นมักจะดูเหมือนมีเจตนาร้ายบางอย่างแฝงอยู่คล้ายปีศาจ
“เด็กน้อย ดูท่าทางฉันคงเป็นอิสระสักที! ก่อนหน้านี้หลังจากตัวล่อของทีมล่าปีศาจคนเก่าตายไป ก็เป็นฉันทำหน้าที่นี้มาโดยตลอด ฉันยังกลัวว่าฉันคงตายในสักวัน แต่ตอนนี้ดูแล้ว..คงมีคนมารับช่วงต่อแล้วล่ะ!”
เขาก็คือคนทำหน้าที่ก่อนหน้านี้!
หลี่ฮ่าวเองก็พูดไม่ออก
แน่นอนว่าก่อนมาหลิวหลงเองก็พูดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าเขาก็คือตัวล่อ
เพียงแต่ตอนนี้ยืนยันอย่างเป็นทางการก็เท่านั้น
วินาทีต่อมาหลิวหลงก็มองหลี่ฮ่าวพลางขมวดคิ้วน้อยๆ “แน่นอนว่าที่ผมให้คุณมาเป็นตัวล่อ ไม่ได้หมายถึงให้คุณไปตาย! แต่ดูจากทรงคุณแล้วศักยภาพก็ไม่ได้มีมากเท่าไร ต่อให้เคยฝึกเคล็ดวิชาลิงมาบ้าง แต่เวลาที่ฝึกสั้นเกินไปคงไม่ได้ผลอะไรมากมาย”
พูดจบก็สาวเท้าเดินไปที่อุปกรณ์ออกกำลังกาย “มา ผมขอทดสอบสมรรถภาพร่างกายคุณหน่อย! พวกเราจะได้คำนวณถูกว่าต่อไปควรจะฝึกฝนคุณเช่นไร ถือโอกาสดูไปด้วยว่าคุณพอจะเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้ไหม”
ทดสอบ?
หลี่ฮ่าวไม่พูดอะไรแล้วเดินตามไปอย่างว่าง่าย
คนอื่นๆ เองก็รู้สึกแปลกใจอย่างมากแต่ก็เดินตามพวกเขาไปด้วย
ปากของหลิวเยี่ยนแทบจะแนบเข้ากับหูของหลี่ฮ่าวอยู่ร่อมร่อ เจ้าหล่อนเอ่ยพลางหัวเราะเสียงแผ่ว “ปล่อยของออกมาให้หมด อยู่ที่นี่อย่าเก็บความสามารถไว้! นายอ่อนแอเกินไป ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนอะไรไว้ทั้งนั้น ซ่อนไปก็ทำให้นายได้เรียนรู้น้อยลง ลูกพี่น่ะยังมีของดีอยู่อีกมาก!”
หลี่ฮ่าวไม่พูดอะไร เขาแค่เบี่ยงตัวหลบปากของอีกฝ่าย ‘อย่ามากระซิบกระซาบข้างหูสิ ไม่ชอบ’
“คิกๆ…”
หลิวเยี่ยนยิ้มอย่างมีความสุข ส่วนหลิงหลงที่อยู่ด้านหน้าก็ไม่สนใจแต่อย่างใด
แต่เป็นอวิ๋นเซียวสมาชิกหญิงที่เป็นหมอซึ่งอยู่ด้านข้างเขากล่าวพลางหัวเราะ “พี่เยี่ยนอย่าแกล้งเขาสิ”
“ใครแกล้งเขากัน”
หลิวเหยียนยิ้มกว้าง “เสี่ยวฮ่าวรูปหล่อขนาดนี้ เธอดูคนในทีมพวกเราสิหน้าตาน่าเกลียดจะตาย! ผอมแห้งเหมือนไม้เสียบผี อ้วนเหมือนกำแพงตัน หัวหน้าก็พอไหวอยู่หรอก ถ้าไม่พูดถึงเรื่องอายุที่มากเกินไปของเขาและตัวดำปิ๊ดปี๋เหมือนถ่านของเขาน่ะ! เสี่ยวฮ่าวหล่อกว่าเยอะเลย!”
ชายหนุ่มสามคนที่เหลือผ่อนฝีเท้าลง
ไม่มีใครพูดอะไร
แต่หลี่ฮ่าวรู้สึกว่าตนเองกำลังจะซวย เหมือนว่าเขาไปล่วงเกินพวกเขาสามคนพร้อมกัน
‘ผมไม่ได้เป็นคนพูดสักหน่อย หลิวเหยียนพูดต่างหาก พวกคุณอย่ามาจดบัญชีแค้นกับผมล่ะ’
ในตอนนี้ทุกคนก็มาถึงพื้นที่ออกกำลังกายแล้ว
มีอุปกรณ์ทุกอย่างครบครัน!
หลิวหลงเองก็ไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาตอบเสียงเรียบ “ก่อนจะข้ามขั้นไปเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ มนุษย์เราเองก็มีผู้ฝึกฝนที่เก่งกาจเหมือนกัน เช่นศาสตราจารย์หยวนซั่วของนายที่ฝึกฝนตำราห้าปาณภูตจนถึงขั้นสุดยอด ทำให้เขาแข็งแกร่งอย่างมาก!”
“แม้แต่ผู้อำนวยการกองตรวจการณ์คนก่อน ถึงจะดูบอบบางแต่ก็ฝึกฝนถึงขั้นสุดยอดจนถึงขนาดฟันแทงไม่เข้า ปืนต่างๆ ก็ทำได้เพียงแค่ทิ้งบาดแผลภายนอกเอาไว้เท่านั้น”
“คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นตัวแทนของคนธรรมดาที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาขั้นเทพไปจนถึงระดับสุดยอด!”
“ก่อนพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะปรากฏตัว พวกเราเคยเรียกคนพวกนี้ว่าปรมาจารย์นักรบมาก่อน! เป็นปรมาจารย์ ยอดฝีมือในด้านวิชาป้องกันตัว เป็นตัวแทนของผู้ที่มีกายเนื้อเป็นคนธรรมดาแต่สามารถรับคมอาวุธทุกอย่างได้!”
ปรมาจารย์นักรบ!
หลี่ฮ่าวตั้งอกตั้งใจฟัง เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้สัมผัสและไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน
หลิวหลงพูดต่อ “ปรมาจารย์นักรบก็มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ แน่นอนว่ามีหลายครั้งที่ไม่ใช่แค่เรื่องพลังที่ต่างกันเท่านั้น! บางคนชำนาญในด้านความเร็ว หรือการป้องกันตั้งรับ บางคนชำนาญในด้านการใช้แรง…”
“แต่ละคนต่างมีความถนัดแตกต่างกันออกไป ดังนั้นย่อมไม่สามารถจัดลำดับหรือแยกแยะพวกเขาโดยใช้มาตรฐานเดียวกันได้! พวกที่มีความเร็วบางทีอาจจะสามารถสังหารปรมาจารย์นักรบที่เชื่องช้าแต่แข็งแกร่งได้! ส่วนพวกที่แข็งแกร่งนั้นก็อาจจะสามารถสังหารปรมาจารยก์นักรบที่ว่องไวให้ตายด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวได้เช่นกัน”
“ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์นักรบก็ต้องมีพลังที่โดดเด่นสักอย่าง มีความสามารถเหนือคนทั่วไปถึงจะเรียกว่าเป็นปรมาจาย์นักรบ! ความเร็วหรือพลังล้วนแต่เป็นการแสดงศักยภาพที่ทำให้เห็นได้ดีที่สุด ส่วนพลังในการป้องกันอย่างอื่น อย่างเฉินเจียง ถ้าไม่ถึงตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน ความจริงก็ยากจะตัดสินได้ว่าเขาเก่งกาจขนาดไหนเหมือนกัน”
หลี่ฮ่าวพยักหน้าอีกครั้ง
หลักการนี้แหละ!
เขามองหลิวหลงอย่างประหลาดใจ “ความหมายของหัวหน้าก็คือปรมาจารย์นักรบนั้นยากจะแบ่งได้ว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเหรอครับ? ดังนั้นปรมาจารย์นักรบทั้งหมดก็พอๆ กันหมด…”
“เลอะเทอะ!”
“……”
หลี่ฮ่าวพูดไม่ออก ก็คุณพูดเองนี่นา
หลิวหลงหันหน้ามองเขา “อย่าคิดเยอะเกินไป แข็งแกร่งก็คือแข็งแกร่ง อ่อนแอก็คืออ่อนแอ! ดังนั้นเมื่อสิบปีก่อนปรมาจารย์นักรบถึงมีการแบ่งคนที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ เพียงแต่ลำดับขั้นไม่ได้แบ่งเป็นสิบสังหาร ทะลวงร้อย พันยุทธ์เช่นนี้! นี่ก็คือปรมาจารย์นักรบ!”
หลี่ฮ่าวชะงักไปเล็กน้อย นี่ก็ออกจะ….ตรงเกินไปแล้วมั้ง!
แล้วก็ง่ายเกินไปด้วย!
เหมือนหลิวหลงจะรู้ความคิดของอีกฝ่าย เขาจึงกล่าวเสียงเย็น “แค่ฟังก็เข้าใจแล้วใช่ไหมล่ะ? ก็ตรงไปตรงมาแบบนี้แหละ! คนที่นี่ หมายถึงมาตรฐานในการทหาร! คนที่เรียกว่าปรมาจารย์นักรบได้ เงื่อนไขพื้นฐานที่สุดก็คือจะต้องสามารถรับมือกับกลุ่มคนสิบคนโดยสังหารพวกเขาได้โดยซึ่งๆ หน้า นี่ก็คือมาตรฐานของสิบสังหาร! มากกว่านี้ก็คือทะลวงร้อยซึ่งความยากอยู่เหนือกว่าที่นายจะจินตนาการไว้ได้ ซึ่งนายต้องจัดการกลุ่มทหารจำนวนนับร้อยคนได้เพียงลำพัง แบบนั้นนายก็คือทะลวงร้อย!”
“งั้นถ้าพันยุทธ์ละครับ…”
………………………………………………………………….