ตอนที่ 17 มาเยือนครั้งที่สอง (3)
แต่สำหรับปรมาจารย์นักรบที่ไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างพวกอู๋เชา อันที่ไร้พลังธาตุจะมีค่ามากกว่า เพราะสามารถเอามาพัฒนาตัวเองได้โดยที่ร่างกายไม่ขับออก แถมความเสี่ยงก็ต่ำด้วย
ในทีมทุกคนย่อมสนใจพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่ไร้ธาตุมากกว่า
“เขาอ่อนแอเกินไป!”
หลิวหลงตอบเสียงเรียบ “เราไม่ใช่ผู้พิทักษ์รัตติกาล ไม่มีผู้แข็งแกร่งที่พอจะดึงพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่มีธาตุได้ทุกเมื่อ หากซึมซับไปแล้วเกิดการขับออก เราคงรับมือไม่ไหวเพราะเขาจะตัวระเบิด ทำเขาตายไปนายจะรับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อเหรอ”
ก็ได้ อู๋เชาไม่พูดอะไรอีกแล้วก็ได้
หลี่ฮ่าวอ่อนแอเกินไปจริงๆ เพิ่งเข้าทีมมาใหม่ ฉะนั้นหากจะให้ผลประโยชน์แก่เขาเพื่อพัฒนาตัวเองสักหน่อยก็สมควรอยู่หรอก
เพียงแต่อู๋เชายังมีข้อข้องใจอยู่อย่างหนึ่งเลยถามเสียงเบาว่า “ลูกพี่ พี่ชักชวนเขามาร่วมทีม ใช้งานครั้งเดียว…หรือคิดจะเลี้ยงเขาไปเรื่อยๆ เหรอ”
นี่ก็เป็นจุดที่เขากำลังสงสัยเช่นกัน
ส่วนหลิวหลงเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วหัวเราะ “สามารถมีชีวิตต่อได้ก็เป็นเพื่อนร่วมทีมกันตลอดไปแหละ! ขอแค่เขายังมีชีวิตรอดก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมรบ สิ่งที่ควรเป็นของเขาก็เป็นของเขา ควรปกป้องก็ปกป้อง ควรสั่งสอนก็สั่งสอน…ถ้าตายไป…พูดมากไปจะมีประโยชน์อะไรเหรอ”
อู๋เชาเข้าใจ
เขา ก็ผ่านมาด้วยวิธีนี้เหมือนกัน
ผู้ที่ปรับตัวได้ถึงจะรอด!
การมีชีวิตอยู่รอดได้ในทีมล่าปีศาจถึงจะถือว่าเป็นเพื่อนร่วมทีม หากตายไปก็ช่วยไม่ได้ วันแรกที่เข้าทีมมาทุกคนต่างรู้กันดีว่าการล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นอันตรายแค่ไหน
หากไม่มีความจำเป็น ไม่มีความใฝ่ฝัน เกรงว่าก็คงอยู่ร่วมทีมเดียวกันไม่ได้
“เด็กใหม่นี่ดีจังนะ!”
เขาแอบคร่ำครวญประโยคหนึ่ง สมาชิกคนใหม่ไม่ต้องทำอะไร เข้ามาก็ได้รับประโยชน์เลย น่าอิจฉาจังแฮะ
แน่นอนว่านี่ก็เป็นกฎเช่นกัน
สมาชิกคนใหม่อ่อนแอเกินไปและไม่มีพลังป้องกันตัวเลยสักนิด แบบนั้นทีมก็จะค่อยๆ สูญเสียพลังไป อ่อนแอขึ้นเรื่อยๆ จนทุกคนตายหมดในสักวัน
เพียงแต่เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาเข้าทีมมาใหม่ต่างได้พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติเพียงแค่ลูกบาศก์เดียวเท่านั้น
อีกทั้งตอนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ๆ ไม่ได้สักลูกบาศก์ด้วยซ้ำเพราะไม่มีพลังสำรอง แต่ที่มีสำรองอยู่น้อยนิดในตอนนี้ก็ขุดเอามาอย่างยากลำบากไม่น้อย
อู๋เชานึกๆ แล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงคาดหวังว่า “ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะกำจัดอีกฝ่ายได้ไหม อีกฝ่ายให้พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติได้เท่าไร ไร้พลังธาตุหรือมีพลังธาตุ ลูกพี่ ถ้าดูดซับอีกนิดพี่ก็จะเลื่อนขั้นได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
หลิวหลงส่ายหน้าไม่ตอบ
เลื่อนขั้นหรือ
ยาก!
หากไม่สามารถดึงพลังสู่ร่างกายจนเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์แสงดาราได้ในครั้งแรก แบบนั้นก็มีแต่จะทำให้วิถีฝึกบำเพ็ญการต่อสู้ของตน ศักยภาพทางร่างกายและพลังที่แท้จริงแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น กลับกันต่อจากนี้ไปมีแต่จะเลื่อนขั้นลำบากมากขึ้นกว่าเดิมต่างหาก
ปรมาจารย์นักรบขั้นทะลวงร้อยอย่างเขาคิดจะเลื่อนขั้น เกรงว่ายังต้องทำอีกหลายครั้ง ทางที่ดีที่สุดต้องเจอพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่เหมาะสมให้ได้
แม้พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่ไร้พลังธาตุจะใช้งานได้ดี แต่มันช่วยเพิ่มศักยภาพร่างกายมากกว่า แต่หากดูดซับมากไปใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ในทางกลับกันจะทำให้เขาเลื่อนขั้นยากขึ้นมากกว่าเดิม
หลิวหลงถอนหายใจในใจเบาๆ ก่อนมองหน้าต่างตึกตรงข้ามอีกครั้งเอ่ย “นายยืนดูอยู่ตรงนี้แหละ ถ้ามีอะไรก็รีบรายงานให้ฉันทราบด้วย!”
“ครับ!”
หลิวหลงไม่พูดอะไรอีกแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ช่วงนี้ทางหลี่ฮ่าวน่าจะไม่เป็นไร แต่วันฝนตกฟ้าครึ้มในอีกไม่กี่วันมาเยือนคงพูดยากแล้ว บางทีอาจตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อก็ได้
……
หลังจากหลิวหลงเดินจากไปไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี ไม่นานช่วงเวลารัตติกาลก็มาเยือน
ภายในห้องหลี่ฮ่าวยังคงฝึกเคล็ดวิชาลิงอยู่ดังเดิม
ในแต่ละครั้งเวลาฝึกจะนานขึ้นเรื่อยๆ
หยาดเหงื่อบนพื้นมีมากพอจะทำให้พื้นลื่นได้แล้ว
ขณะที่หลี่ฮ่าวยังฝึกอยู่ จู่ๆ เจ้าเสือดำที่ฟุบนอนอยู่ก็เห่าเสียงเบาๆ “โฮ่งๆ”
หลี่ฮ่าวใจกระตุกวาบ
มีคนมาเหรอ?
วินาทีถัดมาหลี่ฮ่าวก็ใจหล่นวูบจนเผลอกลั้นหายใจ แต่ก็กลับมาสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็วแล้วเริ่มฝึกเคล็ดวิชาลิงอีกครั้ง เพียงแต่พลังอ่อนแอกว่าก่อนหน้านี้มากโข
ในตอนนี้หลี่ฮ่าวนึกหวั่นใจขึ้นมา
และรู้สึกหวาดกลัวด้วย!
เพราะหางตาเห็นเงาโลหิตตัวหนึ่งปรากฏตรงบานหน้าต่างบ้านของตัวเอง เงาโลหิตสีแดงชาดแนบติดหน้าต่างอยู่อย่างนั้น
เงาโลหิตมาแล้ว!
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ฮ่าวเจอเงาโลหิตที่บ้านตัวเอง!
หลิวหลงอยู่ละแวกนี้หรือเปล่านะ
เขาเห็นไหมนะ?
เห็นหรือเปล่า
ให้ตายเถอะ!
หลี่ฮ่าวแอบรู้สึกกระวนกระวายในใจ นี่เงาโลหิตกำลังจับตาดูตัวเองอยู่อย่างนั้นหรือ
เขาทำได้เพียงแสร้งทำเป็นใจเย็นและมองไม่เห็นไป
เขาฝึกเคล็ดวิชาลิงอีกรอบแล้วแสร้งทำท่าเหนื่อยหอบไม่อยากฝึกต่ออีกแล้ว
เงาโลหิตตรงหน้าต่างยังคงลอยเคว้งอยู่กลางอากาศเช่นนั้นราวกับไม่มีผ้าม่านกั้น เหมือนทะลุม่านแนบติดบานกระจกโดยตรงอย่างนั้นเลย
หลี่ฮ่าวคาดเดาในใจ นี่แสดงว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่อยู่เบื้องหลังเงาโลหิตก็อยู่ละแวกนี้เหมือนกันใช่ไหม
จะลงมือกับตนตอนนี้เลยหรือเปล่า
จะอาจหาญเกินไปแล้ว!
เมื่อวานเพิ่งเกิดเรื่องรื้อบ้านตระกูลจางไป คืนนี้อีกฝ่ายก็กล้าปรากฏตัวที่นี่แล้ว นี่ไม่เห็นพวกหลิวหลงอยู่ในสายตาเลยสักนิด!
‘ทำยังไงดี’
เงาโลหิตไม่ยอมจากไปไหนเลยทำเอาหลี่ฮ่าวรู้สึกร้อนรนใจอย่างมาก แต่เพื่อกลบเกลื่อนความไม่สบายใจเลยทำเพียงเดินเข้าห้องอาบน้ำแล้วอาบน้ำไป
ขณะที่เขากำลังชำระร่างกายอยู่นั้นพลันขนบนตัวก็ตั้งชันขึ้นบางส่วน ไม่ช้าหลี่ฮ่าวก็แสร้งทำเป็นใจเย็น ไม่กล้ามอง ไม่กล้าคิดมาก เขากลัวว่าจะถูกเงาโลหิตจับได้ว่าตนมองเห็น!
ณ ตอนนี้เงาโลหิตกลับอยู่ข้างเขา ให้ตาย!
ในห้องน้ำที่แสนคับแคบ หลี่ฮ่าวกับเงาโลหิตตัวแทบชนกันอยู่ร่อมร่อ
‘ทำใจให้สบาย! อีกฝ่ายแค่มาจับตาดูเราเท่านั้น ไม่ได้มาแล้วลงมือเลย ไม่ได้มาเพื่อฆ่าเราแน่ๆ หากเป็นไปตามที่อาจารย์คาดการณ์ไว้ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลา…ทำใจให้สบาย มองไม่เห็น! ฝึกวิชามันสะใจจริงๆ หลิวเยี่ยนหน้าอกใหญ่จริงๆ เวลาต่อสู้จะรู้สึกว่าเป็นภาระหรือเปล่า’
เขาเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น แล้วเริ่มคิดเรื่อยเปื่อยเพื่อบ่ายเบี่ยงความสนใจ
เขากลัวว่าหากคิดต่อไปจะทำให้ตัวเองขวัญเสียมากกว่า
จี้หยกกระบี่ตรงหน้าอกก็เหมือนเครื่องประดับจี้หยกทั่วๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร หลี่ฮ่าวไม่รู้ว่าเงาโลหิตเห็นแล้วจะคิดมากหรือเปล่า ซึ่งตอนนี้เขาก็ไม่สนใจแล้วเช่นกัน
ส่วนเรื่องที่ถูกเงาโลหิตเห็นตัวเปลือยเปล่าของตน หลี่ฮ่าวยิ่งไม่สนใจเข้าไปใหญ่
ใครจะคิดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้เล่า
‘สถานการณ์ของเรา อันตรายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!’
หลี่ฮ่าวคิดเรื่อยเปื่อยจนเวลาผ่านไปทีละนิด กระทั่งเขาอาบน้ำเสร็จเงาโลหิตถึงหายไปอย่างเงียบๆ
ส่วนเจ้าเสือดำที่ฟุบอยู่บนพื้นในห้องนั่งเล่น เงียบเสียยิ่งกว่าอะไร
กระทั่งเงาโลหิตหายตัวไป เจ้าเสือดำถึงพรูลมหายใจออกทางปากทีหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันหลี่ฮ่าวเองก็พ่นลมออกทางปากน้อยๆ หนึ่งคนหนึ่งสุนัขหันมองหน้ากันโดยไม่ปริเสียงใดๆ
ส่วนเจ้าเสือดำมองด้วยสายตางุนงงเล็กน้อย
นายก็เห็นเหมือนกันเหรอ
ฉันนึกว่านายตาบอดเสียอีก!
เก่งจังเลย เห็นแต่ทำเหมือนไม่เห็น เก่งยิ่งกว่าฉันเสียอีก!
………………………………………………………………..