ตอนที่ 18 ปรมาจารย์แสงดารา พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ (1)
ภายในห้อง
หลี่ฮ่าวมีความรู้สึกผ่อนคลายคล้ายเอาชีวิตรอดจากภัยอันตรายมาได้
สองครั้งแล้ว!
เงาโลหิตใกล้ชิดกับตนมาสองวันติดต่อกัน นี่แสดงว่าอีกฝ่ายกำลังจะเริ่มลงมือแล้วใช่ไหม
ดังนั้นสองวันนี้เงาโลหิตถึงได้คอยจับตามองตัวเองอยู่
เหมือนจะกำลังสังเกตดูว่าหมูที่ตนเลี้ยงอยู่นั้นอ้วนพอหรือยัง
ฆ่าได้แล้วหรือยัง
ฆ่าแล้วจะมีเนื้อสักกี่กิโล
ใช่แล้ว หลี่ฮ่าวในยามนี้กำลังรู้สึกเช่นนี้ การจับตาดูแต่ละครั้งของเงาโลหิตราวกับกำลังเชยชมว่าพืชผลทางการเกษตรที่ตนปลูกนั้นเติบโตเต็มที่หรือยัง
“ให้ตายเถอะ!”
หลี่ฮ่าวอดสบถออกมาคำหนึ่งไม่ได้
นี่เห็นเราเป็นตัวอะไร
หากเป็นแต่ก่อนหลี่ฮ่าวคงยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี ถึงแม้จะสู้สักกันบ้าง แต่ตอนนี้…เขาไม่ยอมรับแล้ว!
จี้หยกกระบี่เป็นของวิเศษ เขาเรียนวิชาคายรับจากอาจารย์มาแล้ว พร้อมทั้งแตะถึงขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติและดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติได้ด้วย ณ ตอนนี้เหตุใดเขาต้องยอมรับชะตากรรมนั้นด้วยล่ะ
“ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่แข็งแกร่งถึงขั้นไม่มีข้อกังวลใจหรอก!”
หลี่ฮ่าวกัดฟัน หากเก่งกาจถึงขั้นไม่ต้องเกรงกลัวอะไร แล้วทำไมถึงต้องทำตัวระมัดระวังขนาดนี้ด้วย
นั่นก็เพราะยังกลัวบางอย่างอยู่!
กลัวใคร
มันต้องกลัวผู้พิทักษ์รัตติกาลอยู่แล้ว!
ในบรรดาผู้พิทักษ์รัตติกาลต้องมีคนเก่งกาจกว่าเงาโลหิตแน่ๆ ดังนั้นเงาโลหิตถึงไม่กล้ากระทำการใดโจ่งแจ้งนัก
“จะหลอกตัวเองให้กลัวทำไม”
หลี่ฮ่าวพูดปลอบใจตัวเองทีหนึ่ง จากนั้นก็หันมองไปยังเจ้าเสือดำพร้อมอดด่าเสียงเบาไม่ได้ “ใช้ไม่ได้จริงๆ เห็นทุกครั้งก็กลัวอย่างงี้ทุกทีเลย”
สายตาของเจ้าเสือดำเต็มไปด้วยความน่าสงสาร
ฉันเป็นแค่สุนัขอ่อนแอมากตัวหนึ่ง ขนาดนายยังกลัว สุนัขอย่างฉันก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ!
อีกอย่างเจ้าเสือดำคิดว่าตนยังเล็กอยู่ หากจะกลัวก็เป็นเรื่องปกติ
หนึ่งมนุษย์หนึ่งสุนัขต่างนั่งหมดแรงอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ปริปากพูดอะไรอยู่นาน
ผ่านไปสักพักฉับพลันหลี่ฮ่าวก็ล้วงเอาเครื่องสื่อสารขึ้นมา กดโทรไปยังหมายเลขหนึ่ง
ครั้งนี้เขาไม่ได้โทรไปหาอาจารย์ของตนอีกแล้ว
รอสักพักก็มีเสียงเย็นชาหยิ่งผยองของหลิวหลงดังมาจากปลายสาย “ว่ามา!”
ไม่มีคำทักทายใด ทว่ากลับเอ่ยแค่คำๆ เดียว
“ผมรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจับตาดูผมอยู่!”
“งั้นเหรอ!”
หลิวหลงปฏิกิริยาเฉยเมยมาก ไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น
หลี่ฮ่าวขบคิดดูแล้ว เป็นไปได้ว่าท่านผู้นี้คงคิดว่าตนจับได้ว่าทีมล่าปีศาจกำลังสะกดรอยตามตนอยู่
แต่เงาโลหิตไม่ใช่ทีมล่าปีศาจ
เดาได้ว่าหลิวหลงอาจจะเข้าใจผิด หลี่ฮ่าวเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงกล่าว “ผมไม่รู้จะพูดยังไง ผมรู้สึกว่าเมื่อกี้ตอนผมอยู่ในห้อง จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา! หมาจรจัดที่เลี้ยงในบ้านตัวหนึ่งเห่าขึ้นกะทันหัน แล้วก็ฟุบนอนบนพื้นไม่กล้าขยับตัวอีก แถมเมื่อกี้ยังฉี่ราดด้วย!”
“หืม”
หลิวหลงชะงักไป
เย็นยะเยือก หมาเห่า ยังฉี่ราดด้วยอย่างนั้นหรือ
เขาฉุกนึกบางอย่างขึ้นมาได้ในฉับพลัน จากนั้นก็ไม่ใจเย็นอีกต่อไป เสียงเย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง “คุณแน่ใจนะ”
หลี่ฮ่าวเตะเจ้าเสือดำทีหนึ่ง เจ้าเสือดำดูเหมือนจะซึมไปสักหน่อย ฉี่ราดหรือ
นายสิฉี่ราด!
ฉี่รดทั่วทั้งบ้านนายเลยด้วย!
เสียดายที่อ้าปากพูดไม่ได้ เจ้าเสือดำจำต้องยอมจำนนแต่โดยดี
ส่วนหลี่ฮ่าวก็โกหกต่อไปอย่างหน้าด้านๆ รีบตอบกลับไปว่า “แน่ใจครับ!”
“เข้าใจแล้ว!”
หลิวหลงตอบกลับด้วยเสียงหนักแน่น พอพิจารณาดูแล้วก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “ตอนนี้อย่าขยับ ไม่ต้องพูดอะไรมาก เดี๋ยวผมไป แต่ไม่ปรากฏตัว! ตั้งแต่พรุ่งนี้…ผมจะคอยติดตามคุณอย่างลับๆ โดยไม่เปิดเผยตัว”
เหตุที่ไม่ได้ห้ามหลี่ฮ่าวกลับบ้านแล้วอาศัยที่กองตรวจการณ์
เพราะเขายังต้องการให้หลี่ฮ่าวปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน
หลี่ฮ่าวไม่พูดอะไร แค่ตอบรับคำหนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ลูกพี่ แล้วตอนนี้ผมไม่ต้องสนใจอะไรเลยเหรอ”
“ไม่ต้องสนใจ!”
เสียงหลิวหลงติดเย็นชาหน่อยๆ “ภารกิจของคุณมีแค่อย่างเดียว ลองสัมผัสความรู้สึกนั้นอีกที ไม่ต้องทำอะไร แค่เปิดผ้าม่านก็พอ!”
“ผมกลัวผม…ไม่มีโอกาสได้เปิด”
หลี่ฮ่าวตอบเสียงพึมพำประโยคหนึ่ง
หลิวหลงเองก็นึกถึงจุดนี้ได้ พอครุ่นคิดดูอีกทีก็ตอบว่า “พรุ่งนี้มาที่กองตรวจการณ์ก็ตรงมาหาผมเลยแล้วกัน!”
“ครับ!”
หลี่ฮ่าวตอบกลับอย่างว่องไว จากระดับสติปัญญาของเขาพอจะเดาได้ว่าบางทีหลิวหลงอาจจะเอาของดีอะไรมาให้ก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็ดีที่สุดเลย
ถ้าหลอกเอา…แค่กๆ ไม่สิ ถ้าขออะไรดีๆ ได้หน่อยก็ขอเถอะ
ในเมื่อทารกที่ร้องโวยวายมักได้นมดื่มเสมอ
ถ้าคุณไม่ปริเสียงในทีมล่าปีศาจบ้าง บางทีอาจจะไม่ได้อะไรเลย เขารู้สึกว่าหลิวหลงเป็นคนขี้เหนียวมาก วันแรกที่เข้าร่วมทีมไม่ได้ให้อะไรสักอย่าง แต่อย่างน้อยหลิวเยี่ยนก็ยังบอกว่าให้หยิบยืมอาวุธปืนได้ตามใจชอบ
“ฟู่ว!
พอตัดสายไป หลี่ฮ่าวนั่งอยู่บนพื้นเริ่มเข้าสู่ห้วงภวังค์อีกครั้ง
ไม่นานก็หันไปมองรอยฝ่ามือบนกำแพงแวบหนึ่งพลันขมวดคิ้วน้อยๆ
เงาโลหิต…สังเกตเห็นหรือเปล่า
ความจริงจะสังเกตเห็นก็ไม่เป็นไร ปรมาจารย์นักรบที่ยังไม่ถึงระดับสิบสังหารคนหนึ่ง ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคงไม่สนใจหรอก
หากคิดว่านี่เป็นความสามารถลับๆ ของหลี่ฮ่าว กลับเป็นเรื่องดีเสียอีก
พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติบนจี้หยกกระบี่ยังพอมี วิชาคายรับหลี่ฮ่าวก็พอทำได้ ในเวลาไม่กี่วันต่อจากนี้บางทีอาจมีการพัฒนาขึ้นทุกวัน หากเห็นว่าตนมีความสามารถอย่างวันนี้ อาจจะหลอกปั่นหัวอีกฝ่ายได้ผล
ต่อให้พัฒนาก็ใช่ว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นหลี่ฮ่าวก็ไม่มีวันยอมแพ้
……
ค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข
วันที่ 14 เดือนกรกฎาคม
ท้องฟ้าปลอดโปร่งอากาศสดใส
ผ่านไปอีกหนึ่งคืน การปรากฏตัวของเงาโลหิตไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครดังเคย
หลี่ฮ่าวหลับสนิทตลอดคืน ก่อนออกจากบ้านเขาย้ำกับเจ้าเสือดำอีกหลายประโยค ทั้งยังทิ้งอาหารไว้ให้มันหน่อยหนึ่งถึงปั่นจักรยานออกไปทำงานเอง
เมื่อคืนหลิวหลงมาหรือไม่นั้นหลี่ฮ่าวไม่อาจทราบได้
ส่วนเขาเองก็ไม่ได้ถาม อย่างไรเสียเขาจำได้เพียงว่าวันนี้ต้องไปหาหลิวหลง ดูสิว่าจะได้อะไรดีๆ มาหรือเปล่า ทางที่ดีให้วัตถุเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งกับตนจะเป็นการดีที่สุด
แน่นอนว่าออกจะเพ้อฝันมากไปหน่อย
……
ห้องเก็บแฟ้มคดี
หลี่ฮ่าวยังทำงานอยู่ที่นี่
ทันทีที่เหยียบเข้าประตู คาดไม่ถึงว่าเฉินน่าจะมาเช้ากว่าเขาเสียอีก พอเห็นหลี่ฮ่าวหล่อนก็ตื่นเต้นประมาณหนึ่งแล้วรีบกวักมือเรียกตนเข้าไปหา
หลี่ฮ่าวแอบสงสัยเล็กน้อย หมอนี่มาทำอะไรแต่เช้ากัน
เฉินน่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุดตั้งแต่เขาเข้ามาในกองตรวจการณ์ ความสัมพันธ์พอใช้ได้และดูจะสนิทกว่าคนอื่นๆ สักหน่อย พวกเขาสองคนอายุน้อยที่สุดในห้องเก็บแฟ้มคดีแล้ว
“หลี่ฮ่าว!”
ครั้นเห็นหลี่ฮ่าว เฉินน่าก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ข่าวดี!”
“อะไรเหรอ”
“ที่นี่จะมีเด็กใหม่เข้ามาละ นายลืมเหรอ เวลานี้ของทุกปีจะเป็นช่วงรับสมัครเด็กใหม่ ในที่สุดเราก็หลุดพ้นสักที หลังจากนี้เราก็ไม่ต้องมาทำความสะอาดทุกเช้า ยกน้ำรินชาอีกแล้ว!”
เฉินน่าดูตื่นเต้นอย่างมาก
เธอกับหลี่ฮ่าวต่างเป็นเด็กใหม่ด้วยกันทั้งคู่ แน่นอนว่าเธอเข้าก่อนหลี่ฮ่าวหน่อยหนึ่ง ดังนั้นหลี่ฮ่าวต้องทำงานมากกว่า แต่มีหลายอย่างที่ยังต้องให้เฉินน่าเป็นคนทำ อย่างเช่นงานเก็บแฟ้มคดีอะไรต่างๆ บางครั้งลำพังแค่หลี่ฮ่าวคนเดียวก็ทำไม่ไหวหรอก
“รับสมัครเด็กใหม่เหรอ”
หลี่ฮ่าวชะงักน้อยๆ แทบจะลืมเรื่องนี้ไปสนิท
จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
เขาใกล้จะออกไปจากห้องเก็บแฟ้มคดีแล้ว ความจริงเขาในตอนนี้ไม่ใช่คนของห้องเก็บแฟ้มคดีแล้ว เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่ได้แจ้งไปฝั่งเบื้องบนเท่านั้น
ที่แท้ก็เพื่อสิ่งนี้นี่เอง!
หลี่ฮ่าวอมยิ้ม ทำหน้าดีใจหน่อยๆ “เป็นเรื่องดีเลยล่ะ! งั้นเราก็หลุดพ้นแล้ว ผมว่าละทำไมวันนี้พี่มาเช้าขนาดนี้ หรือว่าเด็กใหม่จะเข้างานวันนี้เลยเหรอ”
เฉินน่าพยักหน้ารับ พูดด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “ใช่แล้ว! ความจริงคัดคนไว้ก่อนหน้านี้แล้วแค่อยู่ในช่วงฝึกงาน เพิ่งจะเข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการก็วันนี้แหละ!”
“อืม งั้นก็ดี!”
หลี่ฮ่าวเองก็ฉีกยิ้มกว้างดีใจไปพร้อมกับเฉินน่า
สมควรดีใจสิ!
ไม่อย่างนั้นหากตนออกไปไม่มีเด็กใหม่มา เฉินน่าก็ต้องรับช่วงต่อหลี่ฮ่าว หล่อนไม่โมโหตายเหรอ
“เด็กใหม่มีกี่คนเหรอ”
“สองคน…ไม่สิ สามคน!”
เฉินน่ารู้ข่าวค่อนข้าวไวทีเดียว พูดเสียงหัวเราะคิกคัก “ตอนแรกได้ยินว่ามีสองคน ภายหลังเหมือนจะเพิ่มมาอีกคนเป็นสามคน! ดีกว่าเรา! ตอนฉันเข้ามามีแค่ฉันที่เป็นเด็กใหม่ รวมกับนายย้ายเข้ามากลางคันด้วย ฉันเลยต้องรับงานคนเดียวทั้งหมด หลังจากนั้นนายก็โดนเหมือนกัน ตอนนี้เข้ามาทีสามคนจะได้ไม่เหนื่อยมากด้วย”
หลี่ฮ่าวขานรับคำหนึ่งพร้อมพยักหน้า
ความจริงไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไรเลย!
เดี๋ยวรอหัวหน้ามาแล้วต้องไปรายงานตัวก่อน จากนั้นค่อยไปที่หน่วยปฏิบัติการ เขายังมีธุระสำคัญรอออยู่แหนะ จะมีเวลาว่างมาสนใจเรื่องพวกนี้เสียที่ไหนกัน
แต่เขาเป็นคนดีประจำห้องเก็บแฟ้มคดี ต่อให้ไปก็อย่าเสียภาพพจน์เลยต้องดีใจเป็นเพื่อนหล่อนสักหน่อยสิ
…………………………………………………………………….