ตอนที่ 18-2 ปรมาจารย์แสงดารา พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ (2)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 18 ปรมาจารย์แสงดารา พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ (2)

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น คนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยมา

หลี่ฮ่าวเริ่มวุ่นวายอีกครั้งเฉกเช่นปกติ ไม่ได้อู้งานเพราะตนกำลังออกไปจากที่นี่แต่อย่างใด

กระทั่งเวลาราวๆ เก้าโมงหวังเจี๋ยก็มา

ไม่เพียงแค่เขา แต่ยังมีเด็กใหม่สามคนตามหลังมาด้วย

พวกเขาต่างอายุน้อยกันอยู่ ชายสองหญิงหนึ่ง

“ทุกคนเงียบหน่อย!”

หวังเจี๋ยใบหน้าเปื้อนยิ้มปรบมือพูดเสียงดัง “วางงานในมือลงก่อน…”

เหอะ ความจริงนอกจากเฉินน่ากับหลี่ฮ่าวแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็กำลังคุยเรื่องซุบซิบกันอยู่ แล้วจะมีงานอะไรที่ต้องทำกันอีกเล่า

หวังเจี๋ยเหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้เลยเอ่ยเสียงติดขบขันว่า “วันนี้ห้องเก็บแฟ้มคดีมีเจ้าหน้าที่มาใหม่สามคน เป็นคนเก่งกันทั้งนั้น! ในเมื่อเข้ามาทำงานในห้องเก็บแฟ้มคดีได้ก็บ่งบอกความสามารถและศักยภาพของพวกเขาแล้ว…”

คำชมเชยยาวเหยียด พร้อมกับเด็กใหม่สามคนที่ปรากฏโฉมหน้าให้เห็น

และเวลานี้เองหลี่ฮ่าวก็วางงานในมือลง มองเด็กใหม่สามคนที่เป็นชายสองหญิงหนึ่งตรงหน้า พวกเขาต่างสวมชุดยูนิฟอร์มของกองตรวจการณ์ซึ่งดูดีสง่างามมากทีเดียว

เขาไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้น แต่มองไปยังหนุ่มอายุน้อยสองคนทางซ้ายเป็นหลัก

อายุยังน้อยกันมาก เขารู้สึกจะเด็กกว่าหลี่ฮ่าวด้วยซ้ำ ท่าทางเหมือนจะแค่อายุสิบแปดสิบเก้าปี แน่นอนว่าเรื่องอายุพูดยาก

หล่อเหลาสดใสกันมากเชียวล่ะ!

ปกติหลี่ฮ่าวถูกยกให้เป็นหนุ่มหล่ออันดับหนึ่งของห้องเก็บแฟ้มคดี ซึ่งแน่นอนว่าผสมน้ำไปหน่อย ใครให้ห้องเก็บแฟ้มคดีมีแต่คุณลุงคุณป้าแต่วัยรุ่นมีน้อยกันล่ะ

ทว่าหลี่ฮ่าวก็ไม่ถือว่าขี้เหร่อะไร แต่พอเทียบกับพวกเขาที่อยู่ตรงหน้าก็ออกจะด้อยกว่าหน่อย สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือสุขภาพผิวที่แย่กว่าไม่น้อย

หนุ่มวัยรุ่นคนนั้นผิวขาวเนียนที่ไม่ใช่ขาวซีดแต่เป็นขาวออกน้ำนม ดูนวลเนียนนุ่มมือเลยล่ะ

ปกติพี่อวี้ที่อยากได้หลี่ฮ่าวเป็นลูกเขย ตอนนี้ตาเป็นประกายลุกวาว ไม่รู้ว่าเพราะเปลี่ยนใจอยากได้ท่านนี้มาเป็นลูกเขยแทนแล้วหรือเปล่า

เฉินน่าก็เผลอมองไปหลายทีแถมมองมาทางหลี่ฮ่าวด้วย ฉับพลันก็หัวเราะเอ่ยเสียงเบาว่า “หลี่ฮ่าว เห็นหรือยัง คู่แข่งสำคัญของนายมาแล้ว หมอนั่นชื่อหวังหมิงมั้ง หล่อกว่านายหน่อยหนึ่ง!”

หลี่ฮ่าวยิ้มพยักหน้ารับเบาๆ “พี่น่าชอบก็ดี”

“ชิ! ฉันไม่ชอบเด็กน้อยหรอกนะ!”

ถึงปากจะว่าอย่างนั้น แต่เฉินน่าก็มองไปอีกหลายทีจนอดพูดไม่ได้ว่า “ดวงตาประกายสดใสดีจัง!”

ใช่แล้ว ประกายสดใสมากเชียวล่ะ!

เห็นแล้วมีชีวิตชีวาขึ้นเป็นพิเศษเลย!

ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ถ้าคนหน้าตาหล่อเหลาแต่สายตาไร้ชีวิตชีวาคงชวนให้รู้สึกเจ้าตัวดูโทรมไร้คุณค่า แต่ผู้ชายที่ชื่อหวังหมิงดวงตากลับเป็นประกายสุกใสอย่างมาก

“สวัสดีครับ สวัสดีรุ่นพี่ทุกคน ผมชื่อหวังหมิง มาจากสถาบันตรวจการณ์ เพิ่งเรียนจบปีนี้…”

หวังหมิงเอ่ยแนะนำตัวเอง

ไม่นานหวังเจี๋ยก็พาหวังหมิงเดินมาหาพวกหลี่ฮ่าว เขามองหลี่ฮ่าวกับเฉินน่าแวบหนึ่งแล้วพูดเสียงกลั้วหัวเราะว่า “หลี่ฮ่าว เฉินน่า พวกเธอก็เป็นรุ่นพี่แล้ว หวังหมิง เธอเรียนรู้เรื่องทั่วไปกับหลี่ฮ่าวให้คุ้นเคยกับแฟ้มคดีในมือเขาสักรอบไปก่อน เฉินน่ากับหลี่ฮ่าวพวกเธอก็สอนเขาให้มากๆ ล่ะ”

เหตุที่ให้หวังหมิงเรียนรู้จากพวกเขา ไม่ใช่การดูแลเขาเป็นพิเศษ แต่เพราะหลี่ฮ่าวจะไปแล้ว เรื่องนี้เฉินน่ายังไม่รู้แต่หวังเจี๋ยรู้ดี

ดังนั้นเขาต้องหาคนมาทดแทนตำแหน่งหลี่ฮ่าว

หวังหมิงเหมาะสมอย่างมาก!

เฉินน่าพูดเสียงคิกคัก “ได้เลย ต้องเตรียมโต๊ะทำงานใหม่หรือเปล่า”

“ไม่ต้อง!”

หวังเจี๋ยยิ้มเอ่ย “ย้ายเก้าอี้มาสักตัวก็พอ อยู่ไปก่อนสักช่วงหนึ่งแล้วกัน!”

เฉินน่าฉงนใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก แบบนั้นก็อยู่ไปก่อนสักช่วงหนึ่งแล้วกัน

หลี่ฮ่าวกลับรู้ชัดแจ้งดี เวลานี้แค่อมยิ้มหน่อยๆ พยักหน้ารับเบาๆ แต่ภายในใจกลับไม่ได้สงบอย่างที่แสดงออกไป

หวังหมิง!

มันเรื่องอะไรกัน

เขาคอยสังเกตหวังหมิงไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหล่อเหลา ไม่ใช่เพราะดวงตาที่เป็นประกาย แต่เขากลับเห็นแสงดาราลางๆ จากตัวของเจ้าหมอนี้ ต่อให้แสงดารานี้มีไม่เท่าพวกหลิวหลง แต่ความรู้สึกของหลี่ฮ่าว…แสงดารานี้สว่างไสวกว่าแสงดาราของพวกหลิวหลงด้วยซ้ำ!

ใช่แล้ว ปริมาณไม่มาก เหมือนจะน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

แต่แสงดารานี้กลับส่องแสงเจิดจ้า สว่างเสียจนแม้จะอยู่ห่างกันระยะหนึ่ง แต่หลี่ฮ่าวยังรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกกับความเจิดจ้าของแสงดารานั้น

“ปรมาจารย์แสงดารา!”

ภายในหัวผุดคำนี้ขึ้นมากะทันหัน

การก้าวเข้าสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ มีอยู่สองวิธี ปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรดที่มีมาแต่กำเนิด หรือปรมาจารย์แสงดาราที่ดูดพลังในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น!

วินาทีนี้หลี่ฮ่าวก็นึกถึงคำว่าปรมาจารย์แสงดาราขึ้นมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ

เขาทำหน้าราบเรียบและอ่อนโยนเฉกเช่นปกติ แต่ภายในใจกลับกำลังตกตะลึง

ทำไมอยู่ๆ ถึงมีปรมาจารย์แสงดาราเพิ่มมาอีกคนล่ะ

ใครส่งตัวมากัน

เงาโลหิตหรือ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลหรือเปล่า

คงจะมีแค่สองฝ่ายนี้ ดังนั้นเป็นคนของเงาโลหิตหรือคนของผู้พิทักษ์รัตติกาลกันแน่?

ทำไมถึงมาห้องเก็บแฟ้มคดีพอดี แล้วยังอยู่ข้างกายตนแบบนี้ด้วย

แค่การรับสมัครเจ้าหน้าที่คนใหม่ทั่วไปเท่านั้น ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะเข้ามาทำงานห้องเก็บแฟ้มคดีได้อย่างไร ชัดเจนแล้วว่ามันต้องมีเงื่อนงำบางอย่างแน่

แสงดาราบนตัวหวังหมิง คนอื่นๆ มองไม่เห็นแต่ตนกลับมองเห็นอย่างชัดเจน

“พวกหลิวหลงจะเห็นหรือเปล่านะ”

เมื่อวานเหมือนจะลืมถามไปว่าแยกแยะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างไร!

ไม่ได้การล่ะ!

อยู่ดีๆ วินาทีนี้หลี่ฮ่าวก็รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง คาดไม่ถึงว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตน

ให้ตายเถอะ!

คนของผู้พิทักษ์รัตติกาลหรือเปล่า

หากเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลยังคุยง่าย แต่หากเป็นฝ่ายเงาโลหิตคงน่ากลัวเกินไป เมืองหยินจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป นี่เป็นฐานประจำการของกองตรวจการณ์เชียวนะ!

“พี่ฮ่าว…”

เสียงดังแว่วมาจากข้างหูขัดความคิดของหลี่ฮ่าวเสียก่อน

พอหลี่ฮ่าวเงยหน้าก็พบว่าหวังหมิงกำลังมองเขาอยู่ด้วยรอยยิ้มสดใสอย่างมาก “พี่ฮ่าว พี่เป็นรุ่นพี่ น่าจะโตกว่าผมสักหน่อย หลังจากนี้ผมจะเรียกพี่ว่าพี่ฮ่าว พี่เรียกผมว่าหวังหมิงก็พอ”

หลี่ฮ่าวยิ้มที่ดูจะเสแสร้งไปสักหน่อย แน่นอนว่าไม่มีใครรู้สึกว่าเสแสร้ง เพราะหลี่ฮ่าวยิ้มแบบนี้มาโดยตลอด

“เกรงใจกันเกินไปแล้ว!”

หลี่ฮ่าวเอ่ยอย่างอิจฉาหน่อยๆ “ฉันมาก่อนหนึ่งปี แต่ฉันไม่ได้จบตรงสาย เปลี่ยนสายมาน่ะ! แต่นายไม่เหมือนกัน นายเรียนจบจากสถาบันตรวจการณ์เชียว มืออาชีพกว่าฉันเยอะ! ใช่แล้ว นายเรียนจบจากสถาบันตรวจการณ์ไหนเหรอ ของเมืองหยินเหรอ”

เมืองหยินก็มีสถาบันตรวจการณ์เช่นกัน ความจริงเป็นดั่งคลังสำรองของกองตรวจการณ์ สมาชิกกองตรวจการณ์ส่วนใหญ่ก็จบมาจากสถาบันตรวจการณ์กันทั้งนั้น

“เปล่าครับ”

หวังหมิงยิ้มสดใสพลางส่ายหน้า “ผมมาจากเมืองไป๋เยวี่ย! จบจากสถาบันตรวจการณ์ไป๋เยวี่ย!”

เฉินน่าที่อยู่ข้างๆ เอ่ยด้วยเสียงตกใจ “สถาบันตรวจการณ์ไป๋เยวี่ยเหรอ”

หวังหมิงพยักหน้ารับน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไรมาก เหมือนว่าจะไม่ได้สนใจเฉินน่ามากเท่าไร

ส่วนหลี่ฮ่าวกลับใจสั่นไหวน้อยๆ

เมืองไป๋เยวี่ย!

แถบละแวกเมืองหยินมีเมืองอยู่หลายเมือง ขนาดเมืองพอๆ กับเมืองหยิน อีกทั้งประชากรเหยียบล้านไม่นาน

แต่ห่างจากเมืองหยินไปสามร้อยกว่าไมล์ ยังมีเมืองใหญ่อีกแห่งนั่นก็คือเมืองไป๋เยวี่ย

เมืองไป๋เยวี่ยยังมีตำแหน่งพิเศษอีกอย่าง เมืองนครเอกหยินเยวี่ย เมืองหยินเยวี่ย หรือมาจากชื่อที่ผสมรวมจากชื่อเมืองหยินกับเมืองไป๋เยวี่ยสองแห่งนั่นเอง

เมืองหยินชื่อขึ้นต้นนำหน้าด้วย!

แต่นี่เป็นเรื่องตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ด้วยเวลาที่ผ่านพ้นไปสภาพภูมิศาสตร์ของเมืองหยินไม่ดี ประชาชนเริ่มโยกย้ายถิ่นฐานออกนอกพื้นที่เรื่อยๆ เป็นจำนวนมาก จนปัจจุบันเมืองหยินก็เป็นเพียงเมืองธรรมดาแห่งหนึ่งในสามสิบเมืองภายใต้นครหลวงอย่างหยินเยวี่ย

ได้ข่าวว่าเบื้องบนเคยปรึกษากันว่าจะเปลี่ยนชื่อดีไหม เปลี่ยนจากชื่อเมืองหยินเยวี่ยเป็นเยวี่ยเย่า ภายในเมืองหยินเยวี่ย เมืองที่ใหญ่รองมาก็คือเมืองเย่ากวง ซึ่งปัจจุบันเจริญกว่าเมืองหยินมากโข

แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุป ได้ข่าวว่าเมืองหยินปฏิเสธไปหลายครั้ง ในเมื่ออดีตเมืองหยินก็เคยรุ่งโรจน์มาก่อน

ความคิดพวกนี้แวบผ่านเข้าหัวมาแวบหนึ่ง สิ่งที่หลี่ฮ่าวกำลังคิดคือนักศึกษาที่จบจากสถาบันตรวจการณ์ของนครหลวงกลับมาอยู่ที่นี่…สถานะจริงหรือปลอมยังเป็นปัญหาด้วยซ้ำ เป็นเพราะอยู่ไกลเลยไม่สามารถสืบได้อย่างนั้นจริงๆ หรือ

เฉินน่ากลับดูตกใจปนอิจฉาเล็กน้อย “หวังหมิง ทำไมนายถึงมาที่นี่ล่ะ”

หวังหมิงยิ้มสดใสตอบกลับ “เมืองหยินก็ดีออกไม่ใช่เหรอครับ แน่นอน…หลักๆ ก็เพราะเมืองไป๋เยวี่ยการแข่งขันสูงเกินไป ก้าวหน้าได้ยาก ทางบ้านผมเลยแนะนำให้ผมมาที่นี่ ที่นี่แรงกดดันจากการแข่งขันน้อยกว่าหน่อย ลองดูว่าจะสามารถพัฒนาตัวเองได้หรือเปล่าแล้วค่อยย้ายกลับไปครับ”

เข้าใจแล้ว!

เฉินน่าพยักหน้ารับ “ก็ใช่แหละ อย่าว่าเมืองหยินเล็กเลย แต่โอกาสเลื่อนขั้นไม่น้อยเชียว ประชากรเราน้อย เท่ากับว่าเรามีโอกาสเลื่อนขั้นมากกว่า! เมืองใหญ่การแข่งขันสูงเกินไป นายฉลาดเลือกนะ!”

“ผมก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน”

หวังหมิงยิ้มสดใสกว่าเดิมขับให้ดูหล่อเหลายิ่งกว่าจนเฉินน่ายังพลอยต้องมนตร์สะกดนั้นไปด้วย แต่ไม่นานก็เบนสายตามองหลี่ฮ่าวราวกับกำลังทำใจให้สงบ

ส่วนหลี่ฮ่าวกลับทำท่าระอาใจอย่างชัดเจน

นี่หมายความว่าอย่างไร

เมื่อก่อนพี่บอกว่าผมหล่อมากนะ!

ผู้หญิงก็แบบนี้แหละ…เหอะ!

แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ หลี่ฮ่าวเองก็ค่อยๆ สงบลงเช่นกัน

จะกลัวอะไร!

ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้านรอ[1]!

ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ตนสามารถสังเกตเห็นความต่างของอีกฝ่ายในชั่วพริบตาเดียวได้ นี่ก็คือโอกาสของตน ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมันก็เกิดขึ้นแล้ว ช่างมันปะไร!

………………………………………………………………..

[1] สำนวนแปลว่า จะมาไม้ไหนก็ตั้งรับได้ทั้งนั้น