ตอนที่ 18-3 ปรมาจารย์แสงดารา พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ (3)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 18 ปรมาจารย์แสงดารา พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ (3)

คุยกับหวังหมิงสั้นๆ ไม่กี่ประโยค หลี่ฮ่าวก็เลือกที่จะโยนงานทันทีเอ่ยปากว่า “เฉินน่า พี่ดูแลหวังหมิงไปก่อน ผมขอออกไปข้างนอกหน่อย”

“นายไปไหนเหรอ”

“หน่วยปฏิบัติการใหญ่”

“ไปอีกแล้วเหรอ”

หลี่ฮ่าวยิ้มตอบ “เพื่อภารกิจตอนสิ้นเดือนน่ะ ผมรับภารกิจดูแลอาจารย์นักศึกษามหาวิทยาลัยกู่ย่วนไม่ใช่เหรอ ผมเลยต้องไปรับช่วงต่อ ฝึกต่ออีกสักหน่อย เลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุขัดข้องไง”

เฉินน่าพูดไม่ออก ได้แต่เอ่ยอย่างระอาใจว่า “ถามว่านายจะไปไหม นายบอกไม่ไป ตอนนี้ก็ดันจะไปอีก! ก็ได้ งั้นฉันดูแลหวังหมิงเอง!”

หลี่ฮ่าวพูดหยอกเย้า “ทิ้งหนุ่มหล่ออย่างหวังหมิงไว้ให้พี่ พี่ยังไม่พอใจอีกเหรอ”

ว่าแล้วก็มองไปทางหวังหมิงแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หวังหมิง งั้นนายเรียนรู้กับเฉินน่าไปนะ งานง่ายมาก นายเก่งจะตาย ไม่นานคงรับช่วงต่อได้แล้ว”

หวังหมิงยิ้มอ่อนโยน พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “พี่ฮ่าว งั้นคืนนี้กินข้าวด้วยกันสักมื้อสิ ผมเลี้ยงเอง ผมเพิ่งมาที่นี่ นับว่าพวกพี่เป็นอาจารย์ของผม ต้องเลี้ยงข้าวถึงจะถูก!”

“เอาสิๆ!”

เฉินน่าพยักหน้ารัวๆ ส่วนหลี่ฮ่าวที่เดิมทีอยากปฏิเสธ แต่คิดๆ แล้วก็พยักหน้ายิ้มๆ “ได้ งั้นก็ฝากตัวด้วยนะ!”

ว่าแล้วก็ลุกเดินจากไป

เลี้ยงข้าวหรือ

เลี้ยงบ้าอะไร!

มีความเป็นไปได้มากว่าหมอนี่มาที่นี่เพราะตน

หากไม่ใช่คนของเงาโลหิตที่ส่งมาจับตาดูเขาก็คงเป็นคนที่ผู้พิทักษ์รัตติกาลส่งมาแล้วล่ะ

ส่วนทำไมผู้พิทักษ์รัตติกาลถึงส่งตัวมาเงียบๆ แบบนี้…เหอะๆ เดาว่าคงเหมือนพวกเงาโลหิตตามคาด หรืออาจจะเป็นเพราะคนพวกนี้รู้ดีถึงสถานการณ์ของเมืองหยิน แต่เก็บเงียบไว้ไม่แสดงตัว

ตอนนี้อาจจะคาดการณ์ได้ว่าเป้าหมายของเงาโลหิตคือหลี่ฮ่าว เลยส่งคนมาประกบอย่างใกล้ชิด

ไม่แน่อาจจะไม่ได้ติดต่อกับทางเมืองหยินแล้วมาโดยตรง คิดจะสังเกตสถานการณ์ก่อนค่อยว่า

“กล้ามากจริงๆ ที่มากองตรวจการณ์โต้งๆ แบบนี้…ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติของเงาโลหิตกล้าขนาดนี้เลยเหรอ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหน่วยปฏิบัติการที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหยิน…น่าจะเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลมากกว่า!”

หลี่ฮ่าวลองวิเคราะห์ดูแต่ไม่รู้ว่ามีความแม่นยำเท่าไร แต่เขามีความมั่นใจอยู่แปดในสิบส่วนว่าหวังหมิงเป็นคนของผู้พิทักษ์รัตติกาล!

ปรมาจารย์แสงดารา!

ให้ตาย อายุยังน้อยขนาดนี้ แต่อย่างว่าอายุใช่ว่าจะเป็นเรื่องจริงเสมอไป

หลี่ฮ่าวใช้สมองคิดอย่างรวดเร็วว่านี่เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่

หากเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาล…เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีจริงๆ

“ตอนแรกเรายังกังวลว่าหลิวหลงจะจัดการไม่ได้ แต่ถ้าหมอนี่เป็นผู้พิทักษ์รัตติกาล…กลับมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ!”

หลี่ฮ่าวเดินลงไปยังห้องชั้นใต้ดินของหน่วยปฏิบัติการใหญ่พร้อมกับความคิดพวกนี้

……

“มาช้า!”

หลิวหลงรออยู่ก่อนแล้ว หลี่ฮ่าวก็ไม่สนใจแล้วเอ่ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ห้องเก็บแฟ้มคดีมีเด็กใหม่มาหลายคน มีคนหนึ่งผมต้องดูแลซึ่งน่าจะมารับช่วงต่อผม ผมเลยสอนงานอยู่ครู่หนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสถาบันตรวจการณ์ของเมืองไป๋เยวี่ยมืออาชีพจริงๆ มาถึงก็รับช่วงต่อได้สบายๆ เลย”

หลิวหลงพยักหน้าไม่ได้สนใจเช่นกัน

ส่วนหลี่ฮ่าวที่เห็นดังนั้นก็ประเมินได้ว่าหลิวหลงคงไม่รู้เรื่องจริงๆ หรือไม่อีกฝ่ายก็กำลังมีแผนที่ซับซ้อนเกินไป

หลี่ฮ่าวพูดขึ้นว่า “ลูกพี่ เมื่อคืนลูกพี่เจออะไรไหม มีคนสะกดรอยตามผมหรือเปล่า”

“พูดยาก แต่มีความเป็นไปได้ ตอนที่ผมไปไม่เจอใครแล้ว”

หลี่ฮ่าวในตอนนี้สนใจเรื่องนี้อย่างมาก เขาไม่ได้สนใจเงาโลหิตแต่กำลังสนใจเรื่องอื่น เลยรีบพูดว่า “ลูกพี่ คนธรรมดาอย่างเราจะแยกแยะปรมาจารย์แสงดาราได้ไหม อีกฝ่ายมีความแตกต่างอะไรจากเราหรือเปล่า”

หลิวหลงชะงัก “หลิวเยี่ยนไม่ได้บอกเหรอ”

“ไม่ได้บอก”

หลิวหลงส่ายศีรษะ หลิวเยี่ยนไม่น่าพึ่งพาตามคาดจริงๆ แต่ไม่นานเขาก็อธิบายว่า “ปกติไม่ต่างกันมาก! ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เราก็เหมือนกัน ช่วงเวลาที่แตกต่างกันจริงๆ คือช่วงที่อีกฝ่ายใช้พลังเหนือธรรมชาติ!”

หลิวหลงอธิบาย “พอปรมาจารย์แสงดาราใช้พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติก็จะมีกระแสคลื่นพลัง…แน่นอนว่าคนทั่วไปยากจะสังเกตเห็น แต่ปรมาจารย์นักรบอย่างเราสัมผัสได้ ส่วนคนที่ไม่ใช่ปรมาจารย์นักรบ…”

เขามองหลี่ฮ่าวแวบหนึ่งราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “นึกออกแล้ว ในทีมมีเครื่องตรวจวัดพลังเหนือธรรมชาติอยู่อันหนึ่งที่ใช้จับสัมผัสคลื่นพลังเหนือธรรมชาติได้ เรามีไว้เพื่อคนธรรมดาโดยเฉพาะ”

“เครื่องตรวจวัดพลังเหนือธรรมชาติเหรอครับ”

“ใช่!”

หลิวหลงพยักหน้ารับ “ขอแค่อีกฝ่ายใช้พลังเหนือธรรมชาติ เครื่องวัดนี้จะตรวจจับได้ในระยะประมาณร้อยเมตรจากจุดที่คุณอยู่”

หนึ่งร้อยเมตร!

ไม่เจ๋งเอาเสียเลย!

หลี่ฮ่าวขมวดคิ้วกล่าว “ระยะตรวจวัดสั้นขนาดนี้ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่ใกล้เราระยะหนึ่งร้อยเมตร…ถ้าใช้พลังเหนือธรรมชาติด้วยแล้ว ผมคงตายคาที่แล้วล่ะ”

“งั้นก็ช่วยไม่ได้!”

หลิวหลงส่ายศีรษะกล่าว “พลังเหนือธรรมชาติเพิ่งโผล่มาไม่กี่ปีนี้เอง พัฒนาไปได้อย่างตอนนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนที่จะรับมือกับพลังเหนือธรรมชาติได้ ปกติถ้าไม่ใช่ปรมาจารย์นักรบที่แข็งแกร่งก็ต้องเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ดังนั้นเลยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องตรวจวัด เครื่องตรวจวัดแค่วางไว้ตามเขตต่างๆ ป้องกันผู้มีพลังเหนือธรรมชาติลักลอบเข้ามาเท่านั้นเอง”

“อ้อ!”

หลี่ฮ่าวถามด้วยความสงสัยอีกว่า “แบบนั้นถ้าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่ใช้พลังลี้ลับ เราก็ไม่สามารถแยกแยะได้ใช่ไหมครับ”

“ไม่เสมอไป มีวิธีการแยกแยะผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติโดยใช้พลังสำรวจได้เหมือนกัน อีกอย่างพอผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไปถึงระดับหนึ่ง อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติในตัวอีกฝ่ายได้แล้ว”

“แต่แน่นอนว่ายังอยู่ไกลจากเรามาก!”

หลี่ฮ่าวเอ่ยอย่างเสียดายว่า “อย่างนี้นี่เอง ผมนึกว่าพอผู้มีพลังเหนือธรรมชาติปรากฏตัวจะมีแสงประกายติดตัว มองเห็นตั้งแต่แวบแรกเสียอีก”

“คิดอะไรของนายอยู่!”

หลิวหลงหลุดขำออกมา “จะเป็นไปได้ยังไง! แน่นอนว่าถ้าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอ่อนแอมากหรือเป็นแค่มือใหม่คนหนึ่ง ต่อให้มีคลื่นพลังรุนแรง แต่ขอแค่คนปกติทั่วไปเข้าใกล้แค่นิดเดียวก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างแล้วล่ะ”

“เข้าใจแล้ว!”

หลี่ฮ่าวพยักหน้ารับ เข้าใจแล้ว พวกเขาก็มองไม่เห็นแสงดาราของพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเพราะอ่อนแอเกินไปหรือเพราะคุณยังไม่เข้าสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ หรือผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอื่นๆ ก็มองไม่เห็นเช่นกัน

เหมือนเรา…จะพิเศษกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อยจริงๆ

มิน่าพวกที่สังเกตเห็นเงาโลหิตล้วนหายตัวไปกันหมด ระหว่างนี้บางทีอาจมีเรื่องอื่นแอบแฝงอยู่ด้วยก็ได้

“ลูกพี่ ผมขอเครื่องตรวจวัดสักอันได้ไหม”

หลี่ฮ่าวถามประโยคหนึ่ง หลิวหลงพยักหน้ารับ “ผมจะให้คุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถือว่าเป็นการป้องกันตัวด้วย ถึงจะไม่ได้ผลมากเท่าไรก็เถอะ”

หลี่ฮ่าวไม่สนใจ จะได้ผลมากหรือไม่นั้นก็อีกเรื่อง

แต่มีเครื่องตรวจวัดพลังเหนือธรรมชาติ บางที…เขาอาจจะใช้โอกาสนี้เปิดโปงหวังหมิงได้เสียที

ตอนนี้เขายังบอกไม่ได้

ไม่อย่างนั้นจะทำให้หลิวหลงสงสัย แต่หากพกเครื่องตรวจวัดติดตัว แถมหวังหมิงยังจะเป็นปรมาจารย์แสงดาราอีก ไม่ว่าเขาจะใช้พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไหม แต่หลี่ฮ่าวก็จะหาทางเปิดโปงเขาให้ได้

อย่างน้อยตอนนี้หลิวหลงก็ปกป้องตัวเขาอยู่ ส่วนผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่แน่ใจเท่าไร ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลหรือไม่ หรืออาจจะเป็นพรรคพวกเดียวกับเงาโลหิต หลี่ฮ่าวก็ต้องทำให้หลิวหลงรู้ให้ได้และเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ!

แน่นอนว่าทุกอย่างนี้จะดูจงใจเกินไปไม่ได้

หลี่ฮ่าวคิดแผนในใจ ส่วนหลิวหลงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่พาเขาเดินไปยังส่วนด้านในของห้องชั้นใต้ดินเงียบๆ

ข้างในไม่มีใคร เพียงแต่จากตรงประตูห้องหลี่ฮ่าวเห็นว่าคุณหมออวิ๋นเหยาเหมือนกำลังง่วนกับอะไรบางอย่างอยู่

กระทั่งไปถึงส่วนลึกสุดของห้องชั้นใต้ดิน หลิวหลงก็หยุดอยู่หน้าประตูห้องที่ทำจากโลหะ

ประตูบานนั้นทำจากโลหะ

“นี่เป็นห้องเก็บของของทีมล่าปีศาจ!”

หลิวหลงอธิบายประโยคหนึ่งด้วยเสียงเย็นชา “ของข้างในล้วนเป็นของที่แลกมาด้วยชีวิตของเพื่อนๆ ทั้งสิ้น! คุณเป็นสมาชิกใหม่ ซึ่งอีกไม่นานต้องเป็นเหยื่อล่อ ครั้งนี้เลยละเมิดกฎพาคุณเข้ามา อีกอย่างคุณได้รับโอกาสเห็นพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่แท้จริงที่คนอื่นไม่ได้รับ พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่มีคุณค่าหาที่เทียบไม่ได้เลยล่ะ!”

หลิวหลงพูดเสียงจริงจัง!

เขาก็พูดไม่ผิด เพราะแลกมาด้วยชีวิตจริงๆ

ส่วนหลี่ฮ่าวก็รู้สึกสนใจขึ้นมาฉับพลัน พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ!

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้สัมผัสพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติอย่างแท้จริงนอกจากกระบี่ดาราพราย พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติในนี้จะเหมือนกระบี่ดาราพรายหรือเปล่านะ

อาจารย์บอกว่าวัตถุเหนือธรรมชาติมีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่อ่อนมาก น้อยมาก

แล้วต่อจากนี้ตนจะได้เห็นพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่หนาแน่นแล้วใช่ไหม

หลี่ฮ่าวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะ

เหมือนเขาเห็นแสงดาราเป็นสาย!

แน่นอนว่าเขาแค่เพ้อฝัน แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้

ส่วนหลิวหลงมองเขาแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเบาๆ เผยรอยยิ้มจางๆ จนแทบมองไม่เห็นออกมา นี่ต่างหากปฏิกิริยายามปกติ ผมจะทำให้คุณรู้ว่าต่อให้มีกระบี่ตระกูลหลี่อะไรนั่น หรือเคยสัมผัสพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมาก่อนก็ไม่สำคัญ เพราะพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติจากวัตถุพวกนั้นเทียบไม่ได้กับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่แท้จริงนี่เลย!

…………………………………………………………………………..