ตอนที่ 21 ความหลงตัวเองของหยวนซั่ว (1)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 21 ความหลงตัวเองของหยวนซั่ว (1)

ณ ห้องชั้นใต้ดิน

การดูดซับครั้งนี้ ทำให้หลี่ฮ่าวรู้สึกว่าตนเองพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด

ทว่าบรรลุถึงขั้นสิบสังหารหรือไม่นั้นหลี่ฮ่าวยังเก็บความสงสัยอยู่ในใจ เพราะพวกหลิวหลงพูดกว้างเกินไป เขาอาจคิดว่าหลี่ฮ่าวยังไปไม่ถึงเลยคิดว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ จนถึงตอนนี้หลี่ฮ่าวก็ยังไม่รู้ว่าสิบสังหารมีลักษณะพิเศษอะไรบ้าง

แค่ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอย่างเดียวหรือ

ณ ตอนนี้หลิวหลงพูดเยอะกว่าแต่ก่อน เหมือนเพราะหลี่ฮ่าวทำตัวดีไม่หยอก หัวหน้าทีมผู้หยิ่งยโสคนนี้ก็ไม่ได้อวดเก่งเท่าแต่ก่อนอีกต่อไป

เห็นดังนั้นหลี่ฮ่าวก็ปริปากถามซ้ำ “ลูกพี่ พอถึงระดับสิบสังหาร นอกจากจะได้ลงสนามจริงก็ไม่มีวิธีอื่นในการชี้ขาดแล้วเหรอ”

“มี!”

หลิวหลงพยักหน้า “ก่อนหน้านี้บางทีหลิวเยี่ยนอาจเกียจคร้านเกินกว่าจะบอกคุณ เพราะคุณเป็นแค่ตัวประกอบที่พร้อมตายได้ทุกเมื่อ ไม่แน่อาจไม่ถึงขอบเขตสิบสังหารก็ตายซะก่อนแล้ว นอกจากห่วงเรื่องลงสนามจริง คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องพวกนี้…”

หน็อยแน่!

หลี่ฮ่าวพลันก็รู้สึกว่าไม่ได้เสียใจภายหลังที่เตะหล่อนไปตอนนั้นเลย เตะได้ดีอีกต่างหาก

ผู้หญิงอย่างหลิวเยี่ยน ต่อหน้ายิ้มคิกคักแต่ในใจกลับตัดสินแน่วแน่ว่าตนคงมีชีวิตอยู่อีกไม่นานอย่างนั้นหรือ

ผู้หญิงต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอีกอย่างหนึ่งตามคาดจริงๆ ด้วย

“แล้วขอบเขตสิบสังหารมีจุดต่างตรงไหนเหรอครับ”

หลิวหลงครุ่นคิดครู่หนึ่งถึงตอบ “ก่อนอื่นต้องบอกไว้ก่อนว่าจะไม่มีการแบ่งขอบเขตในสนามจริง…การสู้ในสนามจริงคือแก่นแท้ จุดนี้คุณต้องจำเอาไว้!”

หลี่ฮ่าวพยักหน้า เรื่องนี้พอจะเข้าใจได้

“ถ้าได้เห็นสนามจริงก็จะสามารถเข้าใจได้จากตัวอักษร อันนี้คุณต้องลองสนามด้วยตัวเอง จะทะลวงร้อยก็ดี พันยุทธ์ก็ช่าง ถ้าคุณได้บุกค่ายทหารด้วยตัวเองก็จะเข้าใจ”

หลี่ฮ่าวยิ้มแห้ง อย่าล้อเล่นเลยน่า

เราไม่อยากตายสักหน่อย

ยิ่งกว่านั้นถ้าไปถึงระดับพันยุทธ์บุกค่ายทหารเองจริงๆ อีกฝ่ายคงไม่มีทางสู้กับคุณด้วยมือเปล่าหรอก เขามีทั้งระเบิดและปืนกล ต่อให้อยู่ในระดับพันยุทธ์ก็ไม่รอดอยู่แล้ว

ต่อให้อยากรนหาที่ตายก็ไม่ได้ตายแบบนี้สักหน่อย!

หลิวหลงพูดต่อ “ถ้าไม่ดูสนามจริง มองแค่ขอบเขตอย่างเดียวก็มีเอกลักษณ์จำเพาะ หากไปถึงขอบเขตสิบสังหารหรือเป็นปรมาจารย์นักรบอย่างแท้จริง ปรมาจารย์นักรบที่ว่าจะมีพลังลมปราณจากภายใน! หรือพลังภายในอย่างที่เล่าขานกันมา…หรือจะคิดอย่างนั้นก็ได้! ก่อนที่พลังเหนือธรรมชาติจะปรากฏขึ้น ปรมาจารย์นักรบก็อยู่เหนือขอบเขตพลังที่มนุษย์ธรรมดาจะมีแล้ว ดังนั้นเอกลักษณ์สำคัญคือพลังลมปราณที่ปะทุจากภายในร่างกาย!”

หลี่ฮ่าวตาเป็นประกาย “พลังภายในเหรอ”

“ใช่!”

หลิวหลงหยักหน้ารับ “ความจริงมันเป็นการเปิดเส้นลมปราณในร่างกายรูปแบบหนึ่ง แล้วรวบรวมพลังจากเส้นลมปราณเข้าด้วยกันจนกลายเป็นพลังภายใน หรือพูดตรงๆ ก็คือถึงระดับปรมาจารย์นักรบ พลังล้นเหลือ เลือดไหลเวียนดี กระดูกเส้นเอ็นส่งเสียงดังลั่น…”

ว่าแล้วจู่ๆ หลิวหลงก็สะบัดแขนทีหนึ่ง

วินาทีนั้นเหมือนเกิดเสียงดังจากกระดูกทั้งแขนขึ้นพร้อมกัน

“เปรี้ยะๆ!”

เสียงดังเหมือนฟาดแส้ยาว เหมือนระเบิดกลางอากาศ

หลิวหลงหัวเราะ “เห็นแล้วใช่ไหม นี่ก็คือปรมาจารย์นักรบ หรือเอกลักษณ์สำคัญที่เด่นชัดของขอบเขตสิบสังหาร! ปล่อยหมัดเตะเท้า กระดูกเส้นเอ็นส่งเสียงดังลั่น พลังภายใจอัดแน่น…ความจริงสุดท้ายก็จะเป็นผลลัพธ์อย่างนี้แหละ!”

หลี่ฮ่าวตาลุกวาว

สิบสังหาร!

นี่หรือปรมาจารย์นักรบที่อ่อนแอที่สุด ปรมาจารย์นักรบในลำดับขั้นพื้นฐานที่สุด ปล่อยหมัดทีหนึ่งก็เกิดเสียงกระดูกลั่นพร้อมกัน เก่งจัง!

เขาในตอนนี้ยังทำไม่ได้เลย!

นี่ก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าเขายังไม่ถึงขอบเขตสิบสังหาร ต่อให้ไม่ลงสนามจริง แค่มองผิวเผินก็ยังไม่ไปถึงขั้นนั้น

“แล้วทะลวงร้อยล่ะครับ”

หลี่ฮ่าวถามต่อด้วยความรู้สึกสนใจที่มากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนหลิวหลงขมวดคิ้วตอบ “ทะลวงร้อย…ทางที่ดีที่สุดคุณอย่าไปคิดเรื่องนี้ ปรมาจารย์นักรบไปถึงปลายทางแล้ว! คุณไปถึงขอบเขตสิบสังหารแล้วจะยังมีโอกาสก้าวสู่ขอบเขตใหม่เสียที่ไหน หากคุณไปถึงระดับทะลวงร้อยเมื่อไร…”

หลิวหลงลอบถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “อย่าไปใฝ่ฝันถึงขั้นทะลวงร้อย! ปรมาจารย์นักรบสิบสังหารที่เลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์แสงดารามีไม่น้อย แต่ที่ไปถึงทะลวงร้อย…ผมแทบไม่เคยได้ยินมาก่อน บางทีหลายปีก่อนอาจจะเคยมี แต่ตอนนี้เกรงว่าจะไม่มีแม้แต่คนเดียว”

“หลี่ฮ่าว จำเอาไว้ว่าวันหน้าทางที่ดีอย่าไปดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไร้ธาตุเด็ดขาด สำหรับปรมาจารย์นักรบแล้วพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไร้ธาตุก็คือสมบัติ แต่ก็เป็นต้นตอแห่งความชั่วร้ายเช่นกัน! หากดูดซับมากไป ศักยภาพร่างกายแข็งแกร่งเกินไป พอพลังแข็งแกร่งมาก…ก็จะยิ่งเปลี่ยนแปลงยาก! หากไปถึงระดับทะลวงร้อยจริงๆ โอกาสที่คุณจะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็ริบหรี่แล้ว”

ดูจะเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย

ตั้งแต่เมื่อไรที่ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยผู้ยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นภาระอย่างหนึ่ง

พวกที่อ่อนแอกว่ายังมีโอกาสจะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ

แข็งแกร่งถึงขั้นทะลวงร้อยกลับเพิ่มความยากเป็นเท่าตัว เพราะต้องการพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมากเกินไป ต่อให้มีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติเพียงพอก็ใช่ว่าจะเลื่อนขั้นได้

เขาก็ดี หยวนซั่วก็ด้วย หากเป็นเมื่อยี่สิบปีก่อนคงเป็นผู้นำปรมาจารย์นักรบกันทั้งคู่ไปแล้ว

แต่ตอนนี้…คนหนึ่งสอนวิชาโบราณคดี คนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการชั้นแนวหน้า

ตำแหน่งดูเหมือนจะสูงแต่ความจริงก็แค่นั้นแหละ ยังสู้เด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ

หลิวหลงดูเหมือนเหม่อลอยเล็กน้อย

หลี่ฮ่าวเองก็เลือกที่จะไม่ถามต่ออย่างรู้ดี

หากว่าตามที่หลิวหลงบอกกับเรื่องราวบางอย่างที่อาจารย์เคยเอ่ยถึง หลี่ฮ่าวก็เข้าใจจุดหนึ่งว่า หากปรมาจารย์นักรบมีความสามารถแข็งแกร่งมากเท่าไร โอกาสที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็อาจจะยิ่งลดน้อยลง

ส่วนพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไร้ธาตุจะช่วยเพิ่มความสามารถปรมาจารย์นักรบมากกว่า

ยิ่งอยากเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมากเท่าไร ยิ่งควรไปดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติจำพวกมีพลังธาตุ

เมื่อเจอพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมีธาตุที่เหมาะกับตัวเอง คุณอาจจะกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเลยก็เป็นได้ แน่นอนว่าเงื่อนไขคือคุณต้องยังมีชีวิตอยู่ เพราะโอกาสตายสูงมาก ในกลุ่มพิทักษ์รัตติกาลยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์

ในทีมล่าปีศาจอาจมีเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นหลิวหลงไม่เคยให้หลี่ฮ่าวดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่มีพลังธาตุ แต่กลับให้เพิ่มศักยภาพร่างกายก่อน

‘อย่าตั้งเป้าหมายเกินตัว!’

หลี่ฮ่าวลอบเตือนตัวเอง บรรลุถึงขอบเขตสิบสังหารก่อนก็ไม่แย่

พลังจากภายใน เสียงกระดูกเส้นเอ็นดังลั่น นี่คือเอกลักษณ์ของสิบสังหาร ส่วนเรื่องลงสนามจริงก็ช่างมันปะไร แค่ก้าวตามพื้นฐานให้ทันก็พอ

ความจริงเรื่องลงสนามจริงก็ง่าย ต่อสู้ให้มาก ฆ่าคนให้มาก คนอื่นๆ ต่อสู้มาสิบปีร้อยสนาม ส่วนเราหากสู้หนึ่งปีร้อยสนามก็ตามพอทันอยู่หรอก นี่ไม่ใช่เรื่องยากเกินตัว

“ลูกพี่ งั้นวันนี้ผมฝึกถึงเท่านี้ก่อน เดี๋ยวผมแวะไปกู่ย่วนเมืองหยินสักหน่อย”

“ไปกู่ย่วนเหรอ”

หลิวหลงหลุดจากภวังค์แล้วมองหลี่ฮ่าวแวบหนึ่งพร้อมย่นคิ้วน้อยๆ ถามเสียงนิ่งว่า “ไปหาหยวนซั่วเหรอ”

“ไปเยี่ยมอาจารย์สักหน่อยครับ”

หลิวหลงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบเสียงนิ่งว่า “เรื่องนี้ก็แล้วแต่คุณ แต่ขออย่างเดียว กลางคืนต้องออกมาจากที่นั่น!”

หลี่ฮ่าวนึกสงสัย

หลิวหลงเห็นดังนั้นก็อธิบายประโยคหนึ่ง “ตอนนี้เราต้องการเบาะแสและร่องรอยการเคลื่อนไหวของคนที่อยู่เบื้องหลังมากกว่านี้ หากคุณอยู่กู่ย่วนเมืองหยิน อีกฝ่ายอาจจะไม่ยอมปรากฏตัว! ส่วนทางกู่ย่วน เพราะอีกไม่นานหยวนซั่วจะออกพื้นที่สำรวจแล้ว บางทีอาจจะมีผู้พิทักษ์รัตติกาลมาก่อนล่วงหน้า…แน่นอนว่าถ้าคุณกลัวตายแล้วเลือกอยู่ที่นั่นไม่ออกมาก็ได้เหมือนกัน!”

หลี่ฮ่าวส่ายหน้า “ผมอยากแก้แค้นมากกว่า!”

ว่าแล้วก็ทำท่าชั่งใจเล็กน้อย “ลูกพี่ ถ้าเราจัดการไม่ได้จริงๆ ต้องแจ้งผู้พิทักษ์รัตติกาลหรือเปล่า”

หลิวหลงทำหน้าเย็นชา “จำไว้อย่างหนึ่ง ถ้าทีมล่าปีศาจยังจัดการไม่ได้ ผู้พิทักษ์รัตติกาลทั่วไป…ก็รนหาที่ตายเหมือนกัน! อย่าประเมินผู้พิทักษ์รัตติกาลไว้สูงเกินไป ในฐานะปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อย ในบรรดาผู้พิทักษ์รัตติกาลที่สามารถเอาชนะผมได้ยังมีไม่มาก อีกอย่างส่วนมากต่างก็มีภารกิจสำคัญประจำอยู่ตามเมืองใหญ่ต่างๆ! เมืองเล็กๆ อย่างเมืองหยิน คุณคิดว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลจะโผล่มาจัดการแก้ปัญหาเรื่องที่แม้แต่ผมยังจัดการไม่ได้เหรอ”

มั่นใจ ภาคภูมิใจ!

เป็นความภาคภูมิใจในฐานะปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยคนหนึ่ง!

ต่อให้ปัจจุบันผู้มีพลังเหนือธรรมชาติต่างหากที่ได้รับความนิยม แต่หลิวหลงก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในฉบับของตัวเอง

ครั้งนี้หลี่ฮ่าวเลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก เขาเองก็เชื่อว่าหลิวหลงย่อมรู้ถึงภัยอันตรายนั้นๆ แต่ยังยืนกรานว่าจะทำเช่นนี้ ใช่ว่ารั้นจะฆ่าเพราะอีกฝ่ายมีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ แต่ความเป็นไปได้มากกว่านั้นก็อย่างที่เขาบอก สิ่งที่เขาจัดการไม่ได้ ผู้พิทักษ์รัตติกาลผู้อ่อนแอกว่าก็ไม่มีทางจัดการได้เช่นกัน

เพราะระดับขั้นผู้อาวุโสของผู้พิทักษ์รัตติกาลคงไม่มีทางมาประจำการเมืองหยินเพราะเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นหรอก

………………………………………………………..