ตอนที่ 21 ความหลงตัวเองของหยวนซั่ว (2)
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลี่ฮ่าวก็ปล่อยวางแล้ว
ยิ่งกว่านั้นเขายังเจอหวังหมิง
เจ้าหมอนี่แฝงตัวเข้ามาก่อนที่วันฟ้าครึ้มฝนตกจะมาถึง หลี่ฮ่าวต้องหาทางแฉเขาให้ได้ เพราะการมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแฝงตัวอาจจะสร้างความเดือดร้อนขึ้นได้
พอออกจากห้องชั้นใต้ดิน
หลี่ฮ่าวเดินตรงออกจากตึกปฏิบัติการ เพิ่งจะออกจากกองตรวจการณ์มา ดวงตาก็วูบไหวน้อยๆ มันช่าง…บังเอิญเสียจริง!
“พี่ฮ่าว!”
ตรงหน้าปรากฏรอยยิ้มสดใสของหวังหมิงเด่นหรา “พี่ฮ่าว ไปกินข้าวด้วยกันไหม ผมเพิ่งมาใหม่เลยยังไม่รู้ว่าโรงอาหารของกองตรวจการณ์มีเมนูอะไรอร่อยๆ บ้าง”
ณ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
การจะพบกันตรงนี้ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเกินคาดเท่าไร
แต่หลี่ฮ่วารู้ว่าเจ้าหมอนี่ต้องจงใจแสร้งว่าบังเอิญเจอเขาร้อยเปอร์เซ็นต์
หลี่ฮ่าวฉีกยิ้มใจดีใสซื่อส่งให้ “โทษทีนะเสี่ยวหมิง ตอนนี้ฉันต้องไปกู่ย่วนเมืองหยินสักหน่อย…”
“มีคดีเหรอ”
สรรพนามเรียกเสี่ยวหมิง ทำให้หวังหมิงเลิกคิ้วขึ้นชั่ววูบแต่ก็กลับมาปกติอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เผยสีหน้าดูสนอกสนใจเหมือนอยากจะเข้าร่วมด้วยคน
“เปล่าหรอก”
หลี่ฮ่าวส่ายหน้ากล่าว “ไปเยี่ยมอาจารย์น่ะ”
“พี่ฮ่าวเป็นนักศึกษาของกู่ย่วนเมืองหยินเหรอ”
“อดีตนะ”
หลี่ฮ่าวยิ้มแล้วก็เอ่ยขอโทษอีกครั้ง “ฉันต้องไปแล้ว เสี่ยวหมิง นายกินเองก่อนเลย หรือไม่ก็ให้พี่น่าพานายไป ไว้ตอนเย็นเราค่อยกินข้าวด้วยกันนะ”
“เอางั้นก็ได้ครับ!”
หวังหมิงไม่ได้ตามตื๊อใดๆ
หลี่ฮ่าวสาวเท้าเดินผละออกมาแวะเอาจักรยานข้างทาง จากนั้นก็ก้าวขาขึ้นควบจักรยานแล้วปั่นไปยังทิศทางของกู่ย่วนเมืองหยิน
หวังหมิงคอยมองแผ่นหลังที่หายลับไปของเขาพร้อมดวงตาฉายแววแปลกๆ ให้เห็นรางๆ
หลิวหลงยอมทุ่มทุนเสียจริง!
ทีมล่าปีศาจนี้ของเมืองหยินคงจะมีคลังเก็บพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไม่มากนัก แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่หลี่ฮ่าวยังได้ดูดซับ
หรือคิดจะดึงตัวหลี่ฮ่าวไปจริงๆ
‘ฟุ่มเฟือยไปหน่อยแล้ว’
เขาเอ่ยขึ้นในใจประโยคหนึ่ง เนื่องจากคดีไฟคลอกครั้งต่อไปใกล้เข้ามาทุกที หลี่ฮ่าวดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติในเวลานี้มันใช้ไม่ได้ผลเท่าไรจริงๆ ต่อให้จะเลื่อนขั้นไปอยู่ขอบเขตสิบสังหารได้อย่างรวดเร็วก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์มากนัก
แล้วจะเปลืองพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไปทำไมกัน!
“หลิวหลงของเมืองหยิน…”
หวังหมิงมองไปยังตึกปฏิบัติที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง ความจริงท่านผู้นี้ก็มีชื่อเสียงเรียงนามในเมืองไป๋เยวี่ยอยู่บ้าง
น่าเสียดาย!
ยิ่งศาสตร์วิชานักรบแข็งแกร่งมากเท่าไรก็ยิ่งก้าวข้ามขั้นได้ยากมากเท่านั้น และยิ่งยากจะทำลายกลอนปลดล็อกพลังเหนือธรรมชาติด้วย
“ศาสตร์วิชานักรบช่วยเพิ่มพลังความแกร่งของกลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติ!”
เขานึกถึงคำเตือนของผู้อาวุโสบางท่านที่ว่าคนทั่วไปเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้เพราะอ่อนแอตั้งแต่แรก
ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยคิดจะเลื่อนขั้นคงเป็นเรื่องยาก
หากเป็นไปตามผลการศึกษาขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ ทางที่ดีที่สุดให้เลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติตอนอยู่ในขอบเขตสิบสังหาร นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด กลอนปลดล็อกพลังเหนือธรรมชาติทำลายไม่ยากมากและยังมีจุดเริ่มต้นที่สูงกว่าคนอื่นด้วย ดังนั้นปัจจุบันมีกลุ่มพลังเหนือธรรมชาติมากมายที่ให้ความสำคัญกับปรมาจารย์นักรบขอบเขตสิบสังหารก่อน
ทะลวงร้อยกลับไม่มีใครต้องการแล้ว
พอนึกถึงหลิวหลง หวังหมิงก็แสดงท่าทีระแวงอย่างเห็นได้ชัดจึงไม่ได้มองไปทางนั้นต่อ แต่หันไปมองทิศทางที่หลี่ฮ่าวหายลับตาไปอีกครั้ง
“หลี่ฮ่าว อาจารย์หยวนซั่ว…หยวนซั่ว…”
เขารู้สึกใจหายวาบเล็กน้อย เพราะท่านผู้นี้มีชื่อเสียงมากกว่าหลิวหลงอยู่มากโข
เขาเองก็เป็นปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยเช่นกัน แต่หยวนซั่วอยู่ในระดับทะลวงร้อยตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนแล้ว เช่นนั้นเท่ากับว่าพลังเหนือธรรมชาติยังไม่ปรากฏ เขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มีวิทยายุทธ์ลำดับต้นๆ เหมือนกัน
ส่วนหลิวหลงความจริงยังแอบพึ่งพาพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่บ้างถึงบรรลุขั้นทะลวงร้อยได้ เทียบกับท่านผู้นั้นที่อาศัยความสามารถตัวเองไปสู่ขั้นทะลวงร้อย มันคนละชั้นกันเลย
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นนักโบราณคดีที่โจษจันไปทั่วหน่วยงานระดับท้องถิ่นหยินเยวี่ย ชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าอีก
“เคล็ดวิชาห้าปาณภูต วิชาการหายใจ…ได้ยินว่าอาจจะมีวิชการาหายใจฉบับที่ฉกาจกว่าอยู่ลับๆ…เสียดาย ท่านคนนั้นนิสัยใจคอแปลกพิลึก คนทั่วไปเข้าหาได้ยาก ไม่รู้ว่าหลี่ฮ่าวเป็นนักศึกษาของเขาได้อย่างไรนะ”
ความจริงหยวนซั่วมีลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย
แต่หลายปีมานี้หยวนซั่วมีลูกศิษย์เพียงคนเดียวก็คือหลี่ฮ่าว
ลูกศิษย์ก่อนหน้านี้หากไม่จบการศึกษาไปแล้วก็ตาย หยวนซั่วอายุปาไปเจ็ดสิบกว่าปีแล้วจึงไม่ได้รับลูกศิษย์มาหลายปี ความจริงการรับหลี่ฮ่าวเป็นศิษย์ก็สร้างความแปลกใจแก่ผู้คนไม่น้อย
……
ทว่าข้อสงสัยของหวังหมิง หลี่ฮ่าวกลับไม่ได้ให้ความสนใจเลย
ณ กู่ย่วนเมืองหยิน
สถานที่อันคุ้นเคย
เงียบสงบ สันติสุข คือสภาพปกติของกู่ย่วน
คณะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของกู่ย่วนก็คือคณะสืบอารยธรรมโบราณหรือก็คือคณะที่หยวนซั่วดูแลอยู่ เพราะหยวนซั่วถึงทำให้กู่ย่วนเมืองหยินมีชื่อเสียงอย่างในทุกวันนี้ได้ นักศึกษาที่จบการศึกษาจากกู่ย่วนไปกลายเป็นที่ต้องการกลุ่มอิทธิพาลมากมายทั่วทั้งหน่วยงานระดับท้องถิ่น
หยวนซั่วมีสิ่งที่ถนัดมากเกินไป ต่อให้ไม่รับศิษย์อีก นักศึกษาคณะสืบค้นอารยธรรมที่เรียนจบไปก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน พวกเขาต่างโลดแล่นอยู่ตามเมืองใหญ่ต่างๆ คอยสืบค้นหาร่องรอยอารยธรรมโบราณในหลากหลายรูปแบบ
อารยธรรมโบราณก็คือสิ่งที่มนุษย์ทั้งโลกให้การค้นหาอยู่ตลอด
จากตำราบันทึกโบราณที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะมีอารยธรรมอย่างทุกวันนี้ สมัยก่อนยังมียุคอารยธรรมโบราณที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู เพียงแต่ท้ายที่สุดก็ล่มสลายหายไปจากประวัติศาสตร์อันยาวนานอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่ตำราบันทึกยังทิ้งไว้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ส่วนปัจจุบันการค้นหาอารยธรรมโบราณช่วยทำให้หลายสิ่งหลายอย่างได้รับโอกาสพัฒนามากขึ้น
การติดต่อสื่อสาร การคมนาคม อาวุธยุทโธปกรณ์ ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องจากการศึกษาอารยธรรมโบราณทั้งสิ้น
ว่ากันว่าวิทยาการสำคัญเหล่านี้ หลายอย่างได้รับอิทธิพลมาจากร่องรอยอารยธรรมโบราณโดยตรง ทำให้สังคมมนุษย์ในยุคการเกษตรเมื่อหลายสิบปีก่อนก้าวเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าเพราะสิ่งที่ค้นพบมีมากเกินไปเลยทำให้วิทยาการหลายอย่างถูกพัฒนาล่าช้าจนส่งผลให้บางสิ่งมีการพัฒนาที่ไม่เสถียร
ความจริงอาวุธยุทโธปกรณ์พัฒนาถึงขั้นแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ขอบเขตการสื่อสารกลับล่าช้าไปมาก ปัจจุบันหากออกจากเมืองหยินยังติดต่อคนต่างเมืองได้ยาก ตามที่หยวนซั่วกล่าวไว้ว่าในยุคอารยธรรมโบราณมีการติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่ห่างกันพันหมื่นลี้ได้อย่างง่ายดาย
ระบบการสื่อสารทำงานเป็นระบบครอบคลุมทั้งแผ่นดิน!
ตอนนี้เครื่องมือสื่อสารก็ใช้ได้แค่คนที่อยู่เมืองเดียวกันเท่านั้น นี่นับว่าเป็นหนึ่งตัวอย่างของการพัฒนาสังคมที่เสียความสมดุล
หลี่ฮ่าวปั่นจักรยานมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่มีใครมาขวางทางเขา
แม้จะไม่ใช่นักศึกษากู่ย่วนแล้ว แต่ในเมื่อสวมชุดผู้ตรวจการณ์ย่อมได้รับอนุญาตเข้าทุกสถานที่อย่างไร้ข้อแม้ใด
เมื่อทะลุผ่านถนนเส้นที่มีต้นไม้ร่มรื่นเรียงรายตามข้างทางมาสักพัก บ้านหลังเดี่ยวหลายหลังก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ที่นี่เป็นที่พักของศาสตราจารย์ผู้มีคุณวุฒิสูงของกู่ย่วน ปกติน้อยคนนักที่จะมา
หลี่ฮ่าวเพิ่งปั่นจักรยานมา อยู่ดีๆ ก็มีคนหนึ่งกระโดดออกจากดงหญ้ามาขวางหน้าหลี่ฮ่าวเอ่ยเสียงเย็นว่า “เขตหวงห้ามของกู่ย่วน คนนอกห้ามเข้า!”
“ผมมาหาอาจารย์หยวน!”
หลี่ฮ่าวเงยหน้ามองอีกฝ่ายพลางยิ้มกล่าว “คุณมาใหม่เหรอ ผมเป็นนักศึกษาของอาจารย์ ชื่อหลี่ฮ่าว ผู้ตรวจการณ์ระดับสามของกองตรวจการณ์ เมื่อก่อนก็เคยมา ก่อนหน้านี้ยังเป็นหัวหน้าจางปฏิบัติหน้าที่อยู่เลย คุณเป็นคนของกองตรวจการณ์หรือหน่วยคุ้มกันของกู่ย่วนเหรอ”
“ผู้เฒ่าหยวนไม่รับแขกชั่วคราว!”
ชายที่ปรากฏตัวไม่สนว่าหลี่ฮ่าวจะพูดอะไรทั้งสิ้น เขาเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ระยะนี้อาจารย์หยวนต้องการบำเพ็ญตนอย่างสงบ!”
หลี่ฮ่าวเลิกคิ้ว “อาจารย์บอกไว้เหรอ”
ว่าแล้วก็ยิ้มเอ่ยอีกว่า “ขอผมติดต่ออาจารย์ก่อน ผมจะไม่ทำให้คุณลำบากใจ แต่ว่า…”
เขามองอีกฝ่ายพลางยิ้มเอ่ย “ผมคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจของหน่วยคุ้มกันหรือทีมอื่นๆ ของพวกคุณมากกว่า อาจารย์ไม่ได้มีนิสัยบำเพ็ญตนอย่างสงบอะไรแบบนั้น ไม่ต้องตัดสินใจแทนอาจารย์ ต่อให้พวกคุณเป็นกลุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างว่าก็ตามเถอะ!”
ชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาที่มองไปทางหลี่ฮ่าวดูเย็นชาเล็กน้อย
“ผมแค่พูดไปอย่างนั้น”
อดีตหลี่ฮ่าวอาจระแวงและระวังตัวจากผู้พิทักษ์รัตติกาล แต่ตอนนี้กลับไม่ยี่หระเท่าไร
หากตนเอ่ยถึงหน่อยจะเป็นอะไรไป
เขาเข้าร่วมทีมล่าปีศาจ หากผู้พิทักษ์รัตติกาลคอยติดตามอยู่จริงย่อมรู้อยู่แล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากเรารู้จักกลุ่มผู้พิทักษ์รัตติกาล นั่นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
สวัสดีครับ
ทางอิงค์สโตนได้รับทราบฟีดแบ็กเรื่องการแบ่งตอนจากนักอ่านแล้ว จึงอยากขอชี้แจงดังต่อไปนี้ครับ
เนื่องจากผลงานเรื่อง ในแต่ละตอนมีจำนวนตัวอักษรต้นฉบับภาษาจีนมาก ส่งผลให้ราคาขายต่อตอนซึ่งพิจารณาจากจำนวนตัวอักษรต้นฉบับตามเงื่อนไขสัญญาสูงตามไปด้วย โดยราคาเต็มอาจสูงถึง 15-20 บาทต่อตอน และอาจทำให้นักอ่านหลายท่านไม่สะดวกที่จะจ่ายในราคาต่อตอนที่สูงถึงขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้ทางทีมงานจึงแบ่งตอนใหญ่ออกเป็นตอนย่อย เพื่อให้ราคาขายไม่สูงจนเกินไป และนักอ่านทุกคนสามารถเข้าถึงได้ครับ
ทางทีมงานขอขอบคุณฟีดแบ็กจากนักอ่านทุกท่าน และขออภัยในความไม่สะดวกด้วยครับ
ทีมงาน InkStone