ตอนที่ 30 คืนก่อนพายุลมฝนจะมา (1)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 30 คืนก่อนพายุลมฝนจะมา (1)

อีกแปดลูกบาศก์ที่เหลือ หลี่ฮ่าวกล้าคิดแต่ไม่กล้าขอ

อีกอย่างมันก็หนักหน่วงเกินไปแล้ว

ความจริงหลี่ฮ่าวในตอนนี้รีบร้อนหวังจะให้ตนแข็งแกร่งขึ้นมากเกินไป อีกอย่างหลิวหลงก็บอกแล้วว่าหนึ่งชีวิตใช้แลกพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมาได้แค่ห้าถึงหกลูกบาศก์เท่านั้น

หลี่ฮ่าวดูดซับไปแล้วสี่ลูกบาศก์

ตอนเขาเข้าร่วมทีมล่าปีศาจ หลิวหลงก็ไม่ได้โกหกอะไรเขาโดยบอกแต่แรกแล้วว่าจะให้หลี่ฮ่าวมาเป็นเหยื่อล่อ ถึงขนาดมอบพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติจำนวนสี่ลูกบาศก์ให้เหยื่อได้ ความจริงนี่ก็เป็นการพิสูจน์ความจริงใจของหลิวหลงได้แล้ว

เวลาที่ควรเจ้าเล่ห์ก็เจ้าเล่ห์ แต่เวลาที่ควรตรงไปตรงมาก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน

ไม่อย่างนั้นลำพังแค่เหยื่อคนเดียว เพื่อล่อผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่อยู่เบื้องหลังออกมาคงไม่จำเป็นต้องให้พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติแก่หลี่ฮ่าวเลย เนื่องจากเวลาน้อยเกินไป หากให้ไปก็อาจจะเปลืองเสียเปล่า ถ้าหลี่ฮ่าวเป็นเพียงคนธรรมดา เกรงว่าต่อให้ดูดซับไปสี่ลูกบาศก์ก็คงไม่มีความหวังแม้กระทั่งขอบเขตสิบสังหารด้วยซ้ำ

เพราะเวลากระชั้นชิดมากจริงๆ!

หลี่ฮ่าวไม่ได้พูดประโยคนั้นออกไป ณ เวลานี้เขายังคงดื่มด่ำกับความแตกต่างของการดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติในครั้งนี้อย่างเงียบๆ

‘พลังธาตุ พลังแสงดารา…ไม่ได้สร้างแรงต้าน แต่กลับดึงพลังธาตุในนั้นออกมา’

จุดนี้ต่างจากพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไร้ธาตุอย่างสิ้นเชิง

พลังไร้ธาตุ แสงดาราจะช่วยผ่อนทุเลาพลังทำลายล้างของมัน ส่วนอันที่มีธาตุจะดึงพลังธาตุวิเศษออกจากกัน จากนั้นพลังตัวนี้จะสูญเสียพลังการโจมตี แต่จะนำมาซึ่งสรรพคุณของการรักษา

ฟังดูแล้วแอบคล้ายคลึงกับแสงดาราอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คล้ายกันเสียทีเดียว

พลังแสงดารา มีไว้บำรุงรักษาร่างกาย

ส่วนพลังมีธาตุใช้รักษาอวัยวะภายใน จากเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เส้นลมปราณทั้งห้าอาจจะรับกับอวัยวะภายในทั้งห้า พลังธาตุที่ต่างกันก็จะทำการรักษาอวัยวะภายในจุดตำแหน่งที่ต่างกัน

ตอนนี้หลี่ฮ่าวรู้สึกถึงความวิเศษของพลังแสงดาราขึ้นมาแล้ว

ไม่รู้ว่าเพราะตนพิเศษกว่าคนอื่น หรือเพราะความพิเศษของพลังแสงดาราในจี้หยกกระบี่ แต่เวลาเขาดูดซับพลังมักได้ผลที่ต่างจากคนอื่นเสมอ

……

ขณะที่หลี่ฮ่าวกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ อยู่ดีๆ หลิวหลงก็ปริปากถาม “รู้สึกยังไงบ้าง”

“รู้สึก…โล่งแปลกๆ!”

หลี่ฮ่าวยิ้มขมขื่น

เปลี่ยนเลือดก็ดี หรือจะขับถ่ายเลือดก็ช่าง อย่างไรเสียก็สูญเสียเลือดไปมากเหมือนกัน ต่อให้รู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังผลิตเลือดอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกร่างกายอ่อนเพลียอยู่ไม่น้อย

“ของเก่าไม่ไปของใหม่ไม่มา มันคือเรื่องดี!”

หลิวหลงพยักหน้าพูดชมประโยคหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ผมพอจะเดาได้แล้วว่าทำไมหยวนซั่วถึงรับคุณเป็นศิษย์!”

กระบี่ตระกูลหลี่…

ตอนนี้หลิวหลงกำลังคิดอยู่ว่า หยวนซั่วคงรู้สินะ

ตระกูลหลี่…มีความต่างจากตระกูลอื่นใช่ไหม

ผู้สืบทอดพลังเหนือธรรมชาติโบราณอย่างนั้นหรือ

ในสายเลือดมีความพิเศษบางอย่างของผู้กล้าที่มีพลังเหนือธรรมชาติในอดีตไหลเวียนหล่อเลี้ยงอยู่ในร่างกายใช่ไหมนะ

ผุดข้อสงสัยขึ้นมามากมาย!

แต่เขามั่นใจว่าหลี่ฮ่าวตรงหน้าอาจจะเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งจริงๆ เพราะเขามักจะให้ความรู้สึกที่ต่างกันแก่เขาทุกครั้ง

พัฒนาเร็วเกินไป นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติทุกคนจะทำได้

ต่อให้ในบรรดาผู้พิทักษ์รัตติกาล นอกจากปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรด ก็คงยากจะเทียบกับหลี่ฮ่าวได้แล้ว

ปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรด…มีคนอย่างหลี่ฮ่าวอยู่เหมือนกันหรือไม่นะ

จากบันทึกการศึกษาของผู้พิทักษ์รัตติกาลบางส่วน ตามยุคสมัยที่พลังเหนือธรรมชาติผงาดขึ้นมา ปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรดเหล่านี้ก็มีพลังเหนือธรรมชาติมาแต่กำเนิดแล้ว นี่แสดงว่าในอดีตบรรพบุรุษของพวกเขาก็อาจจะเป็นผู้กล้าที่มีพลังเหนือธรรมชาติเหมือนกัน

กลอนล็อกเหนือธรรมชาติถูกเปิดออก!

หลี่ฮ่าวกลับดูต่างไปสักหน่อย

นึกถึงตรงนี้พลันเขาก็ถามไปว่า “หลี่ฮ่าว กลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติของคุณ คุณรู้สึกถึงมันได้ไหม”

หลี่ฮ่าวคิดๆ แล้วก็พยักหน้า “ตอนที่ดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ พอจะรู้สึกถึงการมีอยู่ของกลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติได้อยู่รางๆ ครับ”

“ฮึ่ม!”

หลิวหลงสูดปาก แล้วก็ตัดความคิดตัวเองไป

เหตุผลที่สูดปากเพราะหลี่ฮ่าวเพิ่งดูดซับไปสองครั้ง เขาก็รู้สึกถึงกลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติได้แล้ว

เหตุผลที่ตัดความคิดนี้ทิ้ง เพราะหลี่ฮ่าวมีกลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติอยู่ ซึ่งต่างจากปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรดออกไป

นี่บ่งบอกว่าบรรพบุรุษของหลี่ฮ่าวไม่ใช่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติใช่ไหมนะ

แต่กระบี่ของตระกูลหลี่ เป็นวัตถุเหนือธรรมชาติชัดๆ!

‘เวลานานเกินไปเลยถดถอยลงงั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าลูกหลานของเหล่าผู้กล้าที่มีพลังเหนือธรรมชาติในอดีตทุกคนจะเป็นปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรดสักหน่อย หลี่ฮ่าวนับว่าเป็นประเภทที่ขาดพรสวรรค์ กลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติเลยไม่ถูกเปิดออกอย่างงั้นเหรอ’

บางทีอาจจะอธิบายได้แค่นี้แล้ว

พอนึกถึงตรงนี้เขาก็เอ่ยปากว่า “การรู้สึกถึงกลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติได้ในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้ บ่งบอกว่าคุณเป็นอัจฉริยะ! แล้วก็คุณต้องจำไว้ว่าคุณเป็นแค่อัจฉริยะ ไม่ใช่คนที่สวรรค์โปรด! เพราะปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรด กลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติจะเปิดได้ตั้งแต่กำเนิด!”

หลิวหลงพูดเชิงเย้ยตัวเอง “ถึงผมคิดว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนที่สวรรค์โปรดจริงๆ แต่ความจริงมันใช่ พวกเขามีข้อได้เปรียบกว่าเรามาก เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด วันเวลาผ่านไปต่อให้พวกเขาไม่ต้องฝึกฝนก็มีแต่จะแข็งแกร่งมากขึ้น!”

ช่างน่าอิจฉาเสียจริง!

ปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรด ไม่มีกลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติตั้งแต่เกิดอย่างนั้นเหรอ

หลี่ฮ่าวครุ่นคิด นี่กลับง่ายดายขึ้นมากโข ไม่จำเป็นต้องปลดกลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติก็กลายเป็นปรมาจารย์แสงดาราได้โดยตรง ส่วนพวกหลิวหลงไม่รู้ว่าทุ่มเทไปเท่าไรกับการปลดล็อกพลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้น

ส่วนตัวหลี่ฮ่าวเอง เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนอาจจะไม่ใช่อัจฉริยะอะไรนั่น

เพราะกลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติ เขาเคยสัมผัสมันได้ มันทำการปิดผนึกตนโดยสมบูรณ์ราวกับมีโซ่คอยผูกล่ามไว้

ปิดผนึกตำแหน่งสำคัญตามร่างกายทุกจุด!

ตอนนี้หลี่ฮ่าวสัมผัสได้แค่หัวใจ อีกทั้งหลายจุดในสมองก็ถูกกลอนล็อกเอาไว้ ไม่รู้ว่าตามเนื้อตัวยังมีกลอนล็อกพลังเหนือธรรมชาติอื่นๆ อยู่อีกหรือเปล่า

ดังนั้น ณ วินาทีนี้ ต่อให้เป็นหลี่ฮ่าวดวงตาก็ฉายแววอิจฉาออกมาเช่นกัน

เกิดมาเพื่อเป็นปรมาจารย์แสงดารา!

ช่างน่าอิจฉาดีจริงๆ!

แม้คนที่เกิดมาเพื่อเป็นปรมาจารย์แสงดารา จะฟังดูเหมือนขอบเขตสิบสังหาร แต่พวกเขาก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติและความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด หากเป็นปรมาจารย์นักรบ อย่างมากก็เป็นแค่พันยุทธ์ ไม่มีอย่างอื่นนอกจากนี้แล้ว

“พอแล้ว ลูกพี่ จะมาพูดเรื่องนี้ในเวลานี้ทำไมอีก แบบนี้จะไม่เป็นการขู่เสี่ยวฮ่าวฮ่าวเหรอ”

หลิวเยี่ยนยิ้มสดใส “เสี่ยวฮ่าวฮ่าวมีพรสวรรค์มากเลย คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวฮ่าวฮ่าวที่ล่อเพื่อเอากลับมาเป็นเหยื่อดันเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งซะได้! พี่สาวชักทำใจปล่อยให้นายไปเป็นเหยื่อล่อไม่ได้แล้วสิ”

หลี่ฮ่าวยิ้มแห้งรับ

สำหรับคนผู้นี้ เขาหมดปัญญาหาวิธีการดีๆ มารับมือแล้วจริงๆ ไม่ตีคนที่แสดงท่าทีเป็นมิตร[1] ยิ่งกว่านั้น…ต่อให้สู้ขึ้นมาก็สู้ไม่ชนะหรอก!

ทันใดนั้นเอง อวิ๋นเหยาที่ไม่พูดอะไรมาตลอดพลันก็โพล่งขึ้นมาว่า “หลี่ฮ่าว ถึงแม้ว่าครั้งนี้เหมือนนายจะพัฒนาขึ้นแล้ว…แต่ฉันจำเป็นต้องเตือนนายไว้สักหน่อย ศักยภาพร่างกายของนายแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปติดต่อกันหลายวันยังไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์แสงดาราได้ เกรงว่า…นายคงต้องเดินตามรอยของหัวหน้าหลิวกับอาจารย์ของนายแล้วล่ะ!”

พอสิ้นเสียงทุกคนก็ชะงัก

เมื่อครู่หลิวหลงมัวแต่ดีอกดีใจ พอเวลานี้นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นได้เลยขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย เขามองหลี่ฮ่าวแวบหนึ่ง ฉับพลันก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย หลี่ฮ่าว…คุณ…รีบคิดหาวิธีเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแต่เนิ่นๆ ดีกว่า!ปรมาจารย์นักรบมาถึงทางตันแล้ว!”

ถึงจะไม่เต็มใจแต่ก็ต้องยอมรับว่าปรมาจารย์นักรบมาถึงทางตันแล้ว

หลายปีมานี้ปรมาจารย์นักรบพันยุทธ์ไม่ปรากฏตัวขึ้นมาเลย

แม้แต่ในหยินเยวี่ยเองก็มีปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

อีกอย่างทะลวงร้อยก็แค่สูสีกับจันทราทมิฬ แต่ในขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติมีจันทราทมิฬตั้งเท่าไร?

ถึงแม้จะไม่ได้ปรากฏจำนวนที่แน่ชัดนัก แต่อย่างน้อยก็มากกว่าปรมาจารย์นักรบสิบเท่าหรือกระทั่งร้อยเท่าขึ้นไป!

แม้แต่ตัวเขาเองยังปลิดชีวิตผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เขาไม่ได้พยายามเพื่อปรมาจารย์นักรบพันยุทธ์ แต่เพราะมองไม่เห็นอนาคตในภายภาคหน้าแล้วต่างหาก

…………………………………………………………………………..

[1] สำนวนนี้แปลว่า ยามที่เรายกมือขึ้นยากตบอีกฝ่ายเพราะทำผิด แต่อีกฝ่ายดันส่งยิ้มยอมรับผิดเสียอย่างนั้น