ตอนที่ 30 คืนก่อนพายุลมฝนจะมา (2)
ฝึกวิชายุทธมานับสิบปี แต่สุดท้ายเพื่อได้เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเลยจำต้องล้มเลิกเส้นทางนักรบตามที่ใฝ่ฝันเอาไว้ นี่เป็นสิ่งที่หลิวหลงเสียดาย หากไม่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่จะเป็นปรมาจารย์นักรบพันยุทธ์ยังต้องใช้เวลาอีกกี่ปี
ถ้าทุกอย่างราบรื่น สิบปีหรือยี่สิบปี หรืออาจจะทั้งชีวิตกันล่ะ
แต่ถ้าเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เขาอาจจะกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติขอบเขตสุริยะพรายในเวลาเพียงชั่วพริบตา และทัดเทียมกับพันยุทธ์ได้
เขาถอนหายใจเสียงเบาๆ ทีหนึ่ง พลันคิดว่าการที่หลี่ฮ่าวเปลี่ยนถ่ายเลือด ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี
ศักยภาพร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมแล้ว!
ศักยภาพร่างกายยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งยากที่จะเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้ นี่เป็นกฎที่ธรรมชาติกำหนดไว้
หลี่ฮ่าวกลับไม่ยี่หระ เพราะเขาไม่ได้ประทับใจอะไรต่อพลังเหนือธรรมชาตินัก แต่กลับรู้สึกดีต่อปรมาจารย์นักรบมากกว่า
อาจารย์ของเขาก็เป็นปรมาจารย์นักรบ
หัวหน้าทีมหลิวหลงในทุกวันนี้ก็เป็นปรมาจารย์นักรบเช่นกัน แม้จะให้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ แต่กลับให้ผลประโยชน์อยู่ไม่น้อย แล้วยังตามปกป้องตัวเองอีก เป็นปรมาจารย์นักรบดีจะตาย!
อีกอย่างในทีมก็มีแต่ปรมาจารย์นักรบ!
พวกปรมาจารย์นักรบดีจะตายไป
ส่วนเรื่องที่เส้นทางปรมาจารย์นักรบถึงทางตัน พันยุทธ์จำกัดถึงขีดสุดแล้ว หลี่ฮ่าวในตอนนี้เพิ่งสัมผัสวิชายุทธ กระทั่งกลายเป็นสิบสังหารไปแล้ว เขายังอยู่ห่างไกลจากพันยุทธ์นัก อีกทั้งคิดว่าปรมาจารย์นักรบก็ไม่ได้แย่ไปกว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด เขาย่อมไม่คิดว่าจะมีข้อเสียตรงไหน
เขาไม่เข้าใจความสิ้นหวังของหลิวหลง หลี่ฮ่าวเคยเจอปรมาจารย์นักรบพันยุทธ์ที่แท้จริง เขาคิดว่ามันยิ่งใหญ่มาก!
ดังนั้นหลี่ฮ่าวในตอนนี้ ตอบกลับประโยคหนึ่งที่ทำให้หลิวหลงคิดว่าเขายังเด็กนัก
“ลูกพี่ครับ เป็นปรมาจารย์นักรบก็เป็นปรมาจารย์นักรบไปสิ มันไม่ดีตรงไหนเหรอ พลังเหนือธรรมชาติแกร่งมากเลยเหรอ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติขั้นจันทราทมิฬสองคนยังถูกอาจารย์ผมซัดจนตัวปลิวในท่าเดียวเลย พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะโต้กลับอะไรด้วยซ้ำ!”
หลิวหลงหลุดขำ เขายังเด็กเกินไป!
หลี่ฮ่าวพูดต่อ “อีกอย่างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็ไม่ได้สร้างความประทับใจแก่ผมเท่าไรนัก!”
เพราะพวกเขาฆ่าเพื่อนของตน หรือกระทั่งฆ่าพ่อแม่ของตน คดีหลายอย่างที่ตนรู้เป็นไปได้ว่าล้วนเป็นฝีมือของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
คนเหล่านี้พอกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกลับไร้ซึ่งคุณธรรมอันดีที่คู่ควรกับพลัง ทำให้จิตใจบิดเบี้ยวได้ง่าย
ปรมาจารย์นักรบต่างกัน!
ปรมาจารย์นักรบค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น ปรมาจารย์นักรบในทีมหลายคนก็ฝึกวิชายุทธมามากกว่าสิบปี น้อยสุดก็แปดถึงสิบปี แม้แต่หลี่ฮ่าวยังฝึกมาตั้งสามปีแล้ว
ส่วนปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรดอาจกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติภายในไม่กี่ปี เทียบเท่ากับมีพลังสิบสังหาร
ฆ่าทหารนับสิบได้อย่างง่ายดายตั้งแต่เล็กแต่น้อย ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแบบนี้จะไม่เหลิงได้เช่นไร
“พลังเหนือธรรมชาติเพิ่งพัฒนามาได้ยี่สิบปี ก็เท่ากับว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติรุ่นแรกๆ เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติได้ยี่สิบปี ยี่สิบปีมานี้ก็กำลังปลูกฝังเลี้ยงดูผู้มีพลังเหนือธรรมชาติรุ่นต่อๆ ไป ผมคิดว่ามีหลายคนที่ขาดจิตใต้สำนึกพื้นฐานของความเป็นคน!”
“ปรมาจารย์นักรบรับศิษย์ จะพิจารณาจากหลายด้าน ดูว่าเหมาะกับสภาพร่างกายตัวเองไหม แต่ทางพลังเหนือธรรมชาติ ผมคิดว่าเหมือนเห็นแค่พรสวรรค์ ดูว่าสามารถดึงพลังสู่ร่างกายได้หรือเปล่า เหมือนไม่คำนึงถึงด้านอื่นสักนิด”
ระบบการคัดเลือกของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ หลี่ฮ่าวฟังหวังหมิงเล่าให้ฟังมาหมดแล้ว มันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ทั้งนั้น!
ส่วนอย่างอื่นไม่สนใจแม้แต่น้อย
ต่อให้คุณเป็นนักโทษก็จะมีองค์กรพลังเหนือธรรมชาติคอยตามล้างตามเช็ดให้คุณ ขอแค่คุณกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้ ความผิดที่ผ่านมาก็เป็นอันโมฆะไป!
หลิวหลงหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไร
หลิวเยี่ยนกลับยิ้มสดใส ยิ้มจนคนมองรู้สึกขนลุก ยิ้มจนหลี่ฮ่าวรู้สึกแปลกพิกล
“เสี่ยวฮ่าวฮ่าวพูดได้ดี!”
หลิวเยี่ยนยิ้มเย็นยะเยือก “เมื่อยี่สิบปีก่อน ต่อให้ปรมาจารย์นักรบทำผิดก็ต้องถูกพาตัวมาสำเร็จโทษ ควรประหารก็ประหาร! เป็นปรมาจารย์แล้วยังไง มีพลังแข็งแกร่งแล้วยังไง คุณคือคนชั่วก็สมควรโดนฆ่า!”
“แต่ปัจจุบันกลุ่มองค์กรพลังเหนือธรรมชาติบางส่วน รับพวกนักโทษที่ทำผิดพวกนั้นจำนวนมาก! เพราะพวกเขาพบว่าสภาวะจิตใจของคนที่เคยทำผิดดีกว่า ยิ่งไม่กลัวตาย ยิ่งกล้าที่จะดึงพลังสู่ร่างกาย! และนี่ส่งผลให้ในกลุ่มองค์กรบางแห่งมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่เคยทำผิดเกลื่อนเต็มไปหมด!”
“หรือถึงขั้นว่าต่อให้คุณฆ่าใครไปก็ไม่เป็นไร! ขอแค่คุณสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้สำเร็จ ขอแค่ไม่เข้าร่วมกลุ่มพิทักษ์รัตติกาล แค่นี้ก็จะมีองค์กรพลังเหนือธรรมชาติคอยปกป้องคุณ ช่วยบังฝนบังแดดให้คุณ!”
หลิวเยี่ยนยิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์คุกรุ่นขึ้นตามลำดับ กัดฟันเค้นรอยยิ้มออกมา!
“กลบเกลื่อนความผิด เข้าข้างคนผิด แต่กลับสามารถเดินทางไปทั่วอย่างเปิดเผยได้ ต่อให้เป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลก็ทำอะไรไม่ได้!”
“ถึงผู้พิทักษ์รัตติกาลจะไม่ใช่คนชั่วร้าย แต่เพราะมีข้อจำกัดมากเกินไป ความสามารถยังไม่มากพอที่จะปกครองโลกจึงทำได้แค่เดินตามทางนโยบายรัฐ เพื่อได้รับการสนับสนุนจากองค์กรบางกลุ่ม ทำได้แค่ไม่สนใจ ขอแค่ไม่ทำเกินกว่าเหตุก็จะไม่มีการเอาผิด แต่มันก็ทำให้คนบางส่วนเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ฮ่าวได้ยินคำวิจารณ์แบบนี้ เป็นครั้งแรกที่รู้เรื่องราวของกลุ่มองค์กรพลังเหนือธรรมชาติขนาดนี้
เขารู้สึกเกินคาดหน่อยๆ แต่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลดี
“พอพลังล้ำเส้นแบ่งบรรทัดฐาน อาวุธปืนทั่วๆ ไปใช้ข่มขู่อะไรพวกเขาไม่ได้อีก องค์กรทางการอย่างผู้พิทักษ์รัตติกาลยังคุมไม่อยู่ หากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นก็เหมือนว่าจะเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่หรอก!”
หลิวเยี่ยนยิ้มเย็นทีหนึ่ง “ฉะนั้นนะ คิดจะหลุดพ้นกฎและเงื่อนไขก็ต้องกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ! หลี่ฮ่าว นายจำเอาไว้นะ ขอแค่นายกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ต่อให้นายมีความผิดก็ไม่เป็นไร ความผิดเล็กน้อย ผู้พิทักษ์รัตติกาลจะไม่เอาเรื่อง แต่ถ้าเป็นความผิดใหญ่หลวง ขอแค่เข้าร่วมองค์กรอื่น รับรองว่านายก็มีชีวิตที่สุขสบายแล้ว!”
หลี่ฮ่าวส่ายหน้ายิ้มตอบ “พี่หลิว ดูพี่พูดเข้าสิ ผมไม่เหมือนพวกเขา ผมเคยได้รับการศึกษาระดับสูงมาก่อน อีกอย่างผมเข้ามาอยู่ในกองตรวจการณ์หนึ่งปี ไม่ว่าจะด้านไหนๆ ผมก็เป็นคนเที่ยงธรรม เป็นคนเคารพกฎระเบียบอยู่แล้ว แต่เดิมทีคนพวกนั้นมีนิสัยเลวร้ายชอบทำผิดกฎอยู่แล้ว แล้วจะเอาผมไปเปรียบกับพวกนั้นได้ยังไง”
หลิวเยี่ยนแค่นเสียงทีหนึ่ง “ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งร้ายกาจ!”
“…”
ประโยคนี้ทำเอาเถียงกลับไม่ถูกแล้ว
ยิ่งกว่านั้นการเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็เป็นเรื่องอนาคตที่พูดยาก หลี่ฮ่าวจึงไม่ถกต่อ
ทั้งหกคนเดินออกจากห้องเก็บของลับด้วยกัน
……
เมื่อหลี่ฮ่าวพลังเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขาก็รู้สึกมีความมั่นใจและความกล้าเพิ่มมากขึ้น
ระหว่างที่เดินอยู่ เขาปริปากถามว่า “ลูกพี่ เรามีแผนอะไรต่อกรกับฆาตกรคดีไฟครอกหรือเปล่า”
หากเป็นก่อนหน้านี้เขาจะไม่ถาม
ส่วนหลิวหลงก็คงไม่ตอบ
แต่ตอนนี้หลิวหลงคิดๆ ดูแล้วจึงเอ่ยตอบว่า “แผนง่ายมาก ล่องูออกจากถ้ำ เชิญคนลงโอ่ง[1]! หลักๆ ต้องอาศัยอาวุธปืนไฟ ใช้อาวุธปืนไฟเปิดก่อนแล้วฝังระเบิดไว้ใต้ดินกับใช้ปืนกลกราดยิง! คนที่อ่อนแอจะถูกกำจัดทิ้ง คนที่แข็งแกร่งจะบาดเจ็บ ถึงตอนนั้นเราก็เริ่มล่าเหยื่อ!”
หลี่ฮ่าวขมวดคิ้ว “อีกฝ่ายไม่มีทางไม่รู้ ผมสงสัยว่าในทีมปฏิบัติการมีคนของอีกฝ่ายแฝงอยู่ด้วยซ้ำ แล้วจะไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของอาวุธปืนไฟได้ยังไง อีกอย่างก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเคยสะกดรอยตามผม ลูกพี่เองก็ถูกเห็นหน้าแล้ว! อีกฝ่ายน่าจะรู้ถึงการมีอยู่ของทีมล่าปีศาจ ถึงขั้นรู้ว่าพวกคุณฆ่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไปแล้วเท่าไร…”
เขาคิดว่าหลิวหลงประมาทเกินไป
ถึงไพ่ใบสุดท้ายของเขาจะเป็นอาจารย์ แต่ก็ไม่อยากให้พวกหลิวหลงต้องบาดเจ็บอย่างหนักเพราะความประมาทจนเหลือแค่ไม่กี่คนหรอกนะ
หลิวหลงพยักหน้ายิ้มๆ “ผมรู้ แน่นอนว่ายังมีแผนนอกเหนือจากนี้อีก แต่คุณรู้มากไปก็ไม่ใช่เรื่องดี ยังไงซะคุณแค่รู้ไว้ว่าเรายังมีแผนสำรองอื่นก็พอแล้ว!”
“ภารกิจของคุณง่ายมาก ก่อนคืนฝนตกจะมาถึง หาทางล่ออีกฝ่ายไปยังจุดที่เรานัดหมายกันไว้ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายก็จะตกหลุมพราง!”
หลี่ฮ่าวอึกอักอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดอะไร
หลิวหลงยิ้มถาม “คิดว่าอันตรายมากเหรอ”
“นิดหน่อย”
“ช่วยไม่ได้”
หลิวหลงหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง “นอกเหนือจากนี้ คุณคิดว่าเรายังมีวิธีไหนที่ดีกว่านี้อีกเหรอ ผมอยากใช้อำนาจข่มพวกเขาอยู่หรอกแต่เราไม่มีความสามารถนี้ อยากวางแผนลอบฆ่าอยู่เหมือนกัน แต่ยังตามหาร่องรอยการเคลื่อนไหนของอีกฝ่ายไม่เจอ! ถ้าอย่างนั้นก็ใช้วิธีเด็ดขาดไปเลย ในเมื่ออีกฝ่ายอยากฆ่าคุณนัก เช่นนั้นเขาก็ต้องเป็นฝ่ายลงโอ่งก่อน!”
ว่าแล้วก็โบกมือพูดกับคนที่เหลือว่า “พวกนายไปก่อน ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับหลี่ฮ่าว”
ไม่มีใครถามอะไรแล้วพากันเดินปลีกตัวไป
กระทั่งพวกเขาเดินไปไกลแล้ว หลิวหลงจึงถอนหายใจทีหนึ่ง “ทางหลิวเยี่ยน…เมื่อกี้คุณก็เห็นแล้ว เธอเคยแต่งงานมาก่อน แต่สุดท้ายสามีถูกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติฆ่าตาย อีกฝ่ายเข้าร่วมองค์กรพลังเหนือธรรมชาติแห่งหนึ่งไป ผู้พิทักษ์รัตติกาลทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลยทำได้แค่แกล้งมองไม่เห็น เมื่อกี้เลยอารมณ์ฉุนเฉียวไปหน่อย”
หลี่ฮ่าวใจกระตุกวูบ
หลิวหลงพูดต่อ “เหตุที่เล่าเรื่องนี้ก็แค่อยากบอกคุณว่า เธอดูเหมือนไม่ค่อยมีสติบ้าๆ บอๆ บางครั้งก็แสดงพฤติกรรมที่ยากจะเข้าใจได้ ทั้งหมดล้วนมีต้นสายปลายเหตุ! ตอนหลิวเยี่ยนปฏิบัติภารกิจ เป็นคนที่บุกบั่นไม่กลัวตายมากที่สุด คุณอย่าเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิง เวลาบ้าบิ่นขึ้นมาผมยังเทียบไม่ติดเลย! เธอเข้าร่วมทีมล่าปีศาจ ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แล้วไปตามล่าหมอนั่น…แต่เสียดายเพราะจนถึงป่านนี้ก็ยังไม่สำเร็จ”
เขายังอยากเล่าเรื่องของหลิวเยี่ยนให้ฟังคร่าวๆ ประเด็นสำคัญเพราะหลิวเยี่ยนเป็นคนบ้าๆ บอๆ พัวพันตามตื๊อหลี่ฮ่าวไม่หยุด หลิวหลงไม่อยากให้หลิวเยี่ยนทิ้งความทรงจำอันเลวร้ายอะไรในสายตาของหลี่ฮ่าว
“เหตุที่ตามตื๊อคุณ ก็ไม่ได้คิดจะอยากมีความเกี่ยวข้องอะไรกับคุณจริงๆ หรอก…”
พูดถึงเรื่องนี้หลิวหลงยังหัวเราะ “เธอกระตือรือร้นกับสมาชิกคนใหม่ทุกคน หลักๆ เพราะอยากฝากความหวังให้เด็กใหม่เข้าสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติให้ได้ หรือพูดให้น่าเกลียดหน่อย หากเด็กใหม่เข้าสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติได้จริงๆ ละก็ เธอก็ยอมมีอะไรกับคุณจริงๆ…เพื่อเป้าหมายเดียวก็คือแก้แค้น! แต่ผมจะเตือนเด็กใหม่ทุกคนก่อน เพื่อไม่ให้เอาเปรียบแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ ต้องรู้ว่าเธอแบกรับไฟแห่งความเคียดแค้นฝังรากลึก เธอเป็นกุหลาบที่มีหนาม ไม่ใช่ใครก็จะเอาอยู่หรอกนะ!”
………………………………………………………
[1] เป็นสำนวนเชิงว่าเอาแบบอย่างแผนการที่คนอื่นคิดขึ้นเพื่อจัดการคนอื่นมาใช้กับคนๆ นั้นเอง หรือกล่าวว่า “ดาบนี้คืนสนอง”