ตอนที่ 37 ย้อนฆ่า (2)
ใบหน้าภายใต้หน้ากากเผยสีหน้าวาวโรจน์วูบหนึ่ง น้ำเสียงเยือกเย็นดุดันมากขึ้น “หลี่ฮ่าว มานี่ ฉันไม่ฆ่าเธอหรอก เธออยากให้หลิวเยี่ยนกับเฉินเจียนตายเพราะเธอเหรอ เธอรู้ไหมหากทีมล่าปีศาจสูญสิ้น เมืองหยินจะมีคนตายอีกมากแค่ไหน”
“เธอไม่เข้าใจ เมืองหยินเล็กเกินไป เป็นเมืองที่อ่อนแอที่สุดเล็กที่สุดในสามสิบสองเมืองของมณฑลหยินเยวี่ย เป็นเมืองที่สามารถทอดทิ้งได้ มีคนเพ่งเล็งเมืองหยินอยู่ตั้งเท่าไร ผู้พิทักษ์รัตติกาลยังไม่มีกำลังและความคิดมากพอจะคุ้มครองเมืองหยินด้วยซ้ำ…ตั้งแต่หลายปีก่อนผู้พิทักษ์รัตติกาลก็เสนอให้ทอดทิ้งเมืองเล็กๆ แล้วให้ประชาชนย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองใหญ่ โดยพวกเขาจะรับหน้าที่วางแผนคุ้มครองตลอดการเดินทางให้!”
“หลิวหลงไม่อยากให้เมืองหยินหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เลยยืนกรานจะปกปักรักษาเมืองหยินไว้ อาศัยพลังของปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยต่อสู้กับพลังเหนือธรรมชาติ!”
“หลิวหลงเคยลั่นวาจาต่อหน้าผู้พิทักษ์รัตติกาลว่า หากเขามีชีวิตอยู่หนึ่งวันก็ไม่มีวันทอดทิ้งเมืองหยิน เขาตายไป…เมืองหยินอาจจะกลายเป็นอดีต มีคนนับไม่ถ้วนที่ต้องทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนทิ้งงานเพื่อเดินทางไปยังแดนไกล เพียงเพื่อจะให้มีชีวิตอยู่รอด!”
“เธออยากให้พวกหลิวหลงตายไปพร้อมกับเธอหรือไง”
ด้านหลังปรมาจารย์นักรบหน้ากากผีตวาดใส่ยาวเหยียด!
เหมือนกำลังคิดแทนเมืองหยินและกังวลเรื่องอนาคตของเมืองหยิน
แน่นอนว่านี่ก็คือความจริง
เมื่อหลายปีก่อนเบื้องบนได้ยื่นข้อเสนอว่าให้ทอดทิ้งเมืองเล็กๆ แล้วรักษาเมืองใหญ่ๆ ไว้ เลิกคุ้มครองเมืองหยิน เนื่องจากผู้พิทักษ์รัตติกาลมีกำลังไม่เพียงพอ และไม่สามารถแบ่งกำลังทหารไปปกปักรักษาเมืองหยินเพื่อป้องการการรุกรานจากพลังเหนือธรรมชาติได้
แต่แล้วหลิวหลงกลับบอกว่าเขาคนเดียวก็เพียงพอแล้ว!
อาศัยพลังของปรมาจารย์นักรบต้านทานการรุกรานของพลังเหนือธรรมชาติ เพื่อไม่ให้ทุกคนย้ายจากเมืองหยินไปไหน
เรื่องย้ายเมือง พูดง่าย
หากย้ายขึ้นมาคงมีคนนับไม่ถ้วนต้องทอดทิ้งกิจการและครอบครัวไปเมืองใหญ่ เงินเก็บหดหาย ตกงาน จากบ้านเกิดเมืองนอนมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น วัยรุ่นยังดี แต่คนแก่กับเด็กจะใช้ชีวิตอย่างไร
โลกนี้วุ่นวายอลหม่านมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เกรงว่าผู้คนนับล้านจะต้องใช้ชีวิตสุดแสนอนาถาไปกว่าครึ่ง
ในเมื่อหลิวหลงยังมีชีวิตอยู่หนึ่งวัน ต่อให้ผู้ที่แข็งแกร่งในขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติอย่างสุริยะพรายไม่เห็นเมืองหยินในสายตา กระทั่งจันทราทมิฬรุกราน แต่ก็ถูกหลิวหลงจัดการฆ่าตาย ดังนั้นเลยทำให้ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติจึงไม่ย่างกรายมาเมืองหยินสักที
แต่ถ้าหลิวหลงตายล่ะ
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติตั้งเท่าไรที่หวังจะทะยานขึ้นฟ้าในก้าวเดียว กระหายอำนาจเงินทอง สิ่งของนอกกายและสาวงาม ไม่กล้าไปเมืองใหญ่ก็ย่อมมาเสวยสุขอยู่เมืองเล็กๆ เช่นนี้
ไม่รู้ว่าเมืองหยินมีดวงตากี่คู่ที่คอยจับจ้องอยู่!
……
หลี่ฮ่าวที่ถูกหลิวเยี่ยนอุ้มอยู่ก็แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เป็นอย่างนี้หรือ
คิดไม่ถึงว่าเบื้องบนคิดที่จะทอดทิ้งเมืองเล็ก…นี่บ่งบอกว่าแม้แต่ทางการเองก็ยากจะคุมสถานการณ์ไว้ได้จนจำต้องทอดทิ้งบางสถานที่แล้วสร้างเมืองใหญ่ให้รองรับผู้คนได้มากขึ้น เพื่อจะได้คุ้มกันได้ง่ายขึ้น
ทางการถูกบีบให้ป้องกันตัวแล้วสินะ
กระทั่งตกเป็นรองขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติแล้วหรือ
แต่ทางการยังมีกองกำลังทหาร กองกำลังทหารขนาดใหญ่กับอาวุธปืนไฟ อาวุธยุทโธปกรณ์พลานุภาพสุดแข็งแกร่ง ได้ข่าวว่ายังมีอาวุธขั้นสุดยอดที่สามารถกวาดล้างเมืองให้ราบเป็นหน้ากลองได้ ขนาดนี้แล้วยังจำต้องป้องกันตัวด้วยหรือ
หลี่ฮ่าวรู้สึกทึ่งอย่างมาก!
ในความทรงจำเขาทางการมีความแข็งแกร่งมากที่สุด เขาคิดมาตลอดว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่ยอมออกแรง เพราะผู้พิทักษ์รัตติกาลคิดว่าเมืองหยินเล็กเกินไปจึงคร้านจะมาที่นี่
แต่ตอนนี้กลับมีความคิดที่เปลี่ยนไปจากเดิม!
ล้มเลิกความคิดที่จะเฝ้าเมืองหยิน!
มิน่าเมื่อหลายปีก่อนทางมณฑลหยินเยวี่ยถึงเรียกร้องจะเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลเยวี่ยเย่า เพียงแต่ไม่เคยสำเร็จเท่านั้นเอง บางทีนี่อาจจะเป็นความดีความชอบของหลิวหลงเช่นกัน
ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยอย่างเขา ความจริงไปอยู่เมืองไป๋เยวี่ยก็มีที่ยืนสำหรับเขาอยู่ดี
แต่กลับยืนกรานจะอยู่เมืองหยินไม่ยอมไปไหน
“ความเที่ยงธรรม…”
เสียงสโลแกนจอมปลอมของหลิวหลงดังขึ้นข้างหู
ธำรงความเที่ยงธรรม!
เพื่อขจัดมารปีศาจ!
หลี่ฮ่าวมักคิดว่าประโยคนี้ดูปลอมจนเหมือนกำลังปลอบใจตัวเองมากกว่า แต่ตอนนี้…เมื่อรู้ข้อมูลบางอย่างจากปากของศัตรู พลันหลี่ฮ่าวก็คิดว่าบางที…หลิวหลงอาจจะใส่ใจสโลแกนนี้มากกว่าที่คาดคิดไว้ก็ได้
“ความมืดไม่มีวันเอาชนะความเที่ยงธรรมได้หรอก!”
หลี่ฮ่าวตะโกนใส่ไปทีหนึ่ง!
ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยด้านหลังวิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาประมาณหนึ่ง “เธอคิดผิดแล้ว ผู้ชนะต่างหากคือความเที่ยงธรรม! ผู้แพ้ต่างหากคือความมืด! ปรมาจารย์นักรบมาถึงจุดจบแล้ว พลังเหนือธรรมชาติผงาดขึ้น มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแข็งแกร่งนับไม่ถ้วนต่างทะเยอทะยาน! พวกเขาไม่พอใจที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่พอใจที่ต้องคอยเดินทางไปไหนมาไหนอยู่ในความมืด! เมื่อความสามารถของคนเราเลยขีดจำกัดไปจนมากพอที่จะต้านทานหรือทำลายทางการที่มีอาวุธปืนไฟ งั้นพวกเขา…ก็คิดที่จะมาแทนที่!”
“ปรมาจารย์นักรบเดินแต่ละก้าวอย่างมั่นคง ดังนั้นปรมาจารย์นักรบถึงไม่ได้กระหายมากขนาดนั้น อีกทั้งยังสามารถควบคุมจิตใจตัวเองได้…ส่วนพลังเหนือธรรมชาติเหรอ”
ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยคนนี้ วินาทีนี้เหมือนจะทำท่าดูถูกและรังเกียจหน่อยๆ
พลังเหนือธรรมชาติหรือ
ทะยานขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ศีลธรรมไม่คู่ควรกับเกียรติยศตำแหน่งที่มี วัยรุ่นอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีกลายเป็นจันทราทมิฬหรือสุริยะพรายในทีเดียว หนึ่งคนสู้กันคนนับพัน ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาได้อย่างง่ายดาย การได้มาซึ่งพลังที่สะดวกสบายขนาดนี้ เธอจะให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติยอมเดินไปทีละก้าวๆ เหมือนปรมาจารย์นักรบได้หรือ
ไม่ พวกเขาจะโค่นทิ้ง!
แล้วสร้างประเทศเป็นของตัวเอง!
นี่ก็คือขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติในตอนนี้ หรือกฎของโลกในปัจจุบันนั่นเอง
ความจริงปรมาจารย์นักรบหน้ากากผีนั้นเหยียดหยามผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ได้รับพลังกะทันหันเหล่านั้น แต่แล้ว…ความจริงมักโหดร้ายเสมอ ต่อให้หยามมากแค่ไหน เขาก็ต้องขายวิญญาณเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังเหนือธรรมชาติ!
ไม่อยากแล้วจะทำอย่างไรได้
ต่อให้ไม่อยากแค่ไหนก็ต้องคิดหาวิธีทำให้ตัวเองหลอมรวมอยู่ในขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ การก้าวสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ แม้แต่หยวนซั่วยังล้มเหลว ทางการเองก็ให้การสนับสนุนไม่เพียงพอ คนฝั่งพวกเขาก็ยิ่งแย่จึงทำได้แค่หาวิธีพึ่งพาองค์กรพลังเหนือธรรมชาติอย่างไม่ถูกต้องเหล่านั้น
จากนั้นก็เป็นการไล่ล่าที่ปรมาจารย์นักรบคนนี้ไม่พูดอะไรอีก
เพราะใกล้จะถึงตัวแล้ว!
คำพูดก่อนหน้าก็แค่อยากให้หลี่ฮ่าวลังเลจนพิจารณาใคร่ครวญ บางทีหลี่ฮ่าวอาจจะเป็นฝ่ายมาหาถึงที่เองก็ได้
ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้สักหน่อย
จากข้อมูลที่เขาได้รับมา หลี่ฮ่าวเป็นคนที่ให้ความสำคัญเรื่องมิตรภาพ เพื่อแก้แค้นให้เพื่อน เขายอมกระทั่งลาออกจากกู่ย่วนประจำเมืองหยิน คนแบบนี้เมื่อรู้ความหมายของการมีอยู่ของทีมล่าปีศาจ แล้วจะยอมให้พวกเขาเสียสละชีวิตเพื่อเขาอีกไหม
“หลี่ฮ่าว!”
เขาก้าวกระโดดทีหนึ่งก่อนจะอยู่ใกล้หลี่ฮ่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ปรมาจารย์นักรบหน้ากากผีพูดเสียงเย็น “เธอจะสังเวยทั้งเมืองหยินเพียงเพราะเธอคนเดียวเหรอ หลิวหลงไม่ตาย หยวนซั่วยังอยู่ เมืองหยินก็ยังมีค่า ถ้าพวกเขาตายเมื่อไร เมืองหยิน…ใครจะต้านทานพลังเหนือธรรมชาติได้อีกล่ะ”
“ถึงตอนนั้นเธอก็คือนักโทษของเมืองหยิน!”
หลี่ฮ่าวทำหน้าสับสนกัดฟันกรอดพร้อมดวงตาแดงก่ำ เขาเบิกตากว้างจับจ้องปรมาจารย์นักรบคนนั้น อีกฝ่ายเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ มือของเขากำปืน vortex รุ่นที่สามหมายจะยกขึ้นยิง แต่ปลายนิ้วกลับกำลังสั่นเทา
เขากัดฟันตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ยอมจำนนต่อความมืด มีแต่จะแลกมาด้วยความหายนะที่ใหญ่กว่า! วันนี้ถ้าพวกคุณกล้าฆ่าผม…งั้นพวกคุณก็จะ…”
“เจ้าโง่ ใครจะสนุกกับการฆ่าคนธรรมดาเป็นงานอดิเรก ฆ่าเธอ นั่นเพราะเธอมีค่าที่จะให้ฆ่าต่างหาก! หลี่ฮ่าว พวกหลิวเยี่ยนบ้าไปแล้ว เธอจะบ้าตามพวกเขาไม่ได้ ใช่ว่าเธอจะตายแน่ๆ แต่ถ้ายื้อต่อไปแบบนี้จนผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมา พวกเธอก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดได้แม้แต่คนเดียว!”
“ในฐานะปรมาจารย์นักรบเหมือนกัน ฉันนับถือทีมล่าปีศาจ ขอเพียงพวกเขาปล่อยตัวเธอ…ฉันก็จะปล่อยพวกเขาไปเหมือนกัน! หลี่ฮ่าว นี่เป็นคำสัญญาจากปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยคนหนึ่ง เธอต่างหากคือกุญแจสำคัญ ความเป็นความตายของพวกเขาขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ!”
วินาทีนี้หลี่ฮ่าวเกิดความลังเลขึ้นมาในใจ กัดฟันแล้วเอ่ยเสียงนิ่ง “ปล่อยผมลงเถอะ!”
…………………………………………………………….