ตอนที่ 38 กองตรวจการณ์เมืองหยิน (2)
หลิวเยี่ยนวิ่งพลางอธิบายเสียงเบา “ตอนนี้องค์กรพลังเหนือธรรมชาติไม่หวาดกลัวใครทั้งนั้น เหตุผลหนึ่งก็คือไม่มีใครรู้ว่าฐานบัญชาการของพวกเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าพวกเขามีกันกี่คน ไม่รู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งมากขนาดไหน!”
“ยอมยกเมืองบางส่วนให้ ถึงขนาดที่ว่าหากจำเป็นขึ้นมาจริงๆ ยังสามารถยกเมืองให้พวกเขาได้เลย! ปล่อยให้พวกเขาตั้งเมืองขึ้นมาเอง! หนึ่งคือมีข้อผูกมัด หากพวกเขาต้องการจะลงมือทำร้ายคนทั่วไปย่อมต้องระวังไว้บ้าง สองคือพวกเขามีที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง ทำให้โจมตีได้แม่นยำมากขึ้น! สามคือถ้าคนพวกนี้ตั้งอาณาจักรของตัวเองละก็ อาวุธทำลายล้างที่ทรงพลังทั้งหลายแหล่ก็จะมีประโยชน์ขึ้นมา แต่ไม่ใช่ว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะสามารถทำอะไรตามใจชอบได้เหมือนตอนนี้…”
หลี่ฮ่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วแววตาก็เป็นประกายวิบวับ น่าสนใจจริงๆ!
ถ้าฟังจากที่หลิวเยี่ยนกล่าวก็ถือว่าเป็นเรื่องดีจริงๆ นั่นแหละ
องค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรมที่ไหน เพราะพวกเขาลึกลับและเป็นอิสระ ทันทีที่ตั้งอาณาจักรขึ้นมาก็จะได้ถูกตีกรอบบ้าง
พอถึงตอนนั้นต่อให้พวกเขาจะไม่คิดเกรงกลัวสิ่งใด กระทั่งยิงปืนใหญ่และโยนพวกระเบิดทำลายล้างเมืองใส่พวกเขาก็ตาม…
ความคิดของผู้พิทักษ์รัตติกาลดีเยี่ยมจริงๆ!
หลี่ฮ่าวเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน หลิวเยี่ยนกล่าวว่า “นี่คือแนวโน้มที่น่าจะเป็นไปได้และไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้! นโยบายถูกต้อง วิธีการก็ถูกเหมือนกัน ที่จริงฉันกับลูกพี่ไม่มีความสามารถมากพอจะคัดค้านและไม่สามารถคัดค้านได้ด้วย…พูดโดยรวมก็คือการทำแบบนี้อาจจะช่วยให้สังคมสงบสุข และช่วยควบคุมปัจจัยบางอย่างที่จะสร้างความวุ่นวายได้ด้วยซ้ำไป!”
แต่ว่าหลี่ฮ่าว นายต้องจำเอาไว้อย่างหนึ่ง…การตั้งอาณาจักรได้นั้นต้องมีประชากร แล้วจะไปเอาประชากรมาจากไหน ทางการตอนนี้เกิดจากคนธรรมดารวมตัวกัน ดังนั้นพวกเขาถึงได้สนใจ ดังนั้นพวกเขาถึงได้ยอมปกป้อง…นายคิดว่าพวกคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติที่ก่อตั้งองค์กรพวกนี้เขาจะสนใจเหรอ พวกเขาจะบริหารจัดการเป็นเหรอ ดังนั้นที่ไหนโดนทอดทิ้ง ที่ไหนถูกเก็บไว้ ใครถูกเก็บไว้…ความจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนพวกนี้โดนทอดทิ้งนั่นแหละ!”
คนพวกนี้มีจุดจบอย่างไรหากอยู่ภายใต้การปกครองขององค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติล่ะ
ไม่อาจมีใครรู้ได้!
บางทีอาจใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหรืออาจเหมือนตกนรก อนาคตไม่มีใครล่วงรู้ แต่อันที่จริงถือได้ว่าไม่ค่อยจะยุติธรรมกับคนที่ถูกทิ้งนัก
ทว่า…จะทำอย่างไรได้?
ทั้งหมดที่หลิวหลงทำลงไปก็เพื่อให้เมืองหยินได้กลายเป็นเมืองที่ถูกเก็บรักษา เพราะเมืองหยินเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ชายขอบและตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่ตั้งของเมืองไม่ได้สำคัญ อีกทั้งขนาดยังเล็ก จำนวนประชากรก็มีน้อย หากโดนปล่อยเกาะก็เหมือนว่าจะสมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน
หากลากองค์กรต่างๆ ยื่นมือเข้ามายุ่งด้วยอาจจะมีคุณมากกว่าโทษ
ทว่าหลิวหลงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
ดังนั้นเขายอมจำใจจะกลับมาที่เดิมแล้วสังหารผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติด้วยตนเอง ค่อยๆ เพิ่มระดับพลังของตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ และเมื่อเวลานั้นมาถึงจะสามารถปกป้องทั้งเมืองหยินเอาไว้ไม่ให้โดนทอดทิ้ง ทันทีที่โดนทอดทิ้ง ทั้งเมืองหยินก็จะกลายเป็นพื้นที่ในอาณัติปกครองของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
ทันทีที่สงครามปะทุขึ้น เมืองหยินก็จะเป็นพื้นที่ควบคุมองค์กรพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างเป็นทางการ อาวุธทำลายล้างรุนแรงจะถูกใช้ในเมืองหยิน
ซึ่งทั้งหมดนี้หลี่ฮ่าวไม่เข้าใจนักในตอนนี้
เพียงแต่คนระดับสูงของเมืองหยิน เช่นพวกผู้บังคับการตรวจตราหลายคนของผู้พิทักษ์รัตติกาลต่างก็รู้ดีแก่ใจ
ทีมล่าปีศาจถูกสร้างขึ้นก็เพราะเหตุนี้
หลี่ฮ่าวยังครุ่นคิดกลั่นกรองเรื่องพวกนี้อยู่ แต่หลิวเยี่ยนกลับไม่พูดอะไรอีก ทั้งสามคนยังคงเดินทางไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่กลับไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าในขณะเดินท่ามกลางสายฝน
ตำแหน่งของพวกเขาในตอนนี้อยู่ห่างจากจุดที่นัดรวมตัวกันอีกสิบกว่ากิโลเมตร
ต่อให้พวกเขาจะเป็นปรมาจารย์นักรบ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ระยะทางร่วมสิบกว่ากิโลเมตรก็ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะถึง
……
ณ มหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยิน
หยวนซั่วถอนหายใจ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ปากประตูพลางมองออกไปด้านนอกกล่าว “ไม่รู้ว่านักเรียนของฉันจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า!”
หูฮ่าวจมอยู่ในภวังค์ไม่พูดไม่จา
แต่หลี่เมิ่งกลับปากไวเหมือนที่ผ่านมา “ไม่แน่ว่าอาจจะตายไปแล้วก็ได้ หรือไม่อย่างนั้นพวกเราออกไปดูกัน ฉันไม่เชื่อว่าคนพวกนี้จะกล้าฆ่าผู้พิทักษ์รัตติกาล แต่ถ้าพวกเราเกิดตายขึ้นมาจริงๆ ก็แค่ช่วยกันเก็บศพกลับมาก็แค่นั้น แต่ไม่แน่ว่าฝ่ายตรงข้ามอาจจะอ่อนแอ พวกเราเองจะได้ฉวยโอกาสนี้ฆ่าพวกเขาด้วยเลย…”
คำพูดของหญิงสาวไม่น่าฟังนัก
แต่พอได้ยินประโยคสุดท้าย หยวนซั่วก็ตัดสินใจว่าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงคนนี้อีก
แม่หนูน้อยคนนี้ไม่มีสมอง
แต่ว่ายังมีหัวใจที่ร้อนรุ่มด้วยเพลิงที่ลุกโชนและไม่เคยดับมอด แถมยังยินดีจะสังหารศัตรูหลายคนเสียด้วย…
บางทีในกลุ่มของพวกผู้พิทักษ์รัตติกาลอาจจะต้องการพวกมีพลังเหนือธรรมชาติที่เลือดร้อนแบบนี้ ไม่คิดอะไรมากมาย ไม่คิดหน้าคิดหลังเกินไป คิดหาแต่หาโอกาสจะฆ่าคน ความจริงเบ่งอำนาจใส่หน่อยก็ไม่เลวนัก
เหมือนอย่างหูฮ่าวที่เป็นคนคิดมากกว่าหลี่เมิ่ง ดังนั้นจึงไม่พูดไม่จาเพราะสิ่งที่เขาเป็นกังวลมีมากกว่า
และในเวลานี้เอง จู่ๆ ข้างใบหูของหูฮ่าวก็มีเสียงดังขึ้น เขาฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ “หลิวหลง…ใกล้จะไม่ไหวแล้ว!”
หยวนซั่วมองเขา
หน่วยข่าวกรองของผู้พิทักษ์รัตติกาลถือว่าไม่เลวนัก เรื่องทั้งหลายในเมืองหยวนซั่วเองอาจจะไม่รู้ แต่ผู้พิทักษ์รัตติกาลคงจะรู้เพราะกองตรวจการณ์เองก็อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขา
“หลิวหลงรวบรวมเพื่อนเก่าๆ ไล่ล่าสังหารพวกคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติไปสามคนซึ่งล้วนอยู่ในขั้นจันทราทมิฬทั้งนั้น! แต่ครั้งนี้…องค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่งคนไปมากกว่า ตอนนี้ผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติหลายคนต่างก็อยากฆ่าหลิวหลง…เกรงว่าหลิวหลงคงจะต้านไม่ไหว!”
พอหูฮ่าวพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป
หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการของกองตรวจการณ์!
ความจริงพวกเขาเองก็ถือเป็นหน่วยงานหนึ่ง ทว่า…ในตอนนี้เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ ที่นี่มีแค่เขากับหลี่เมิ่ง ไม่ออกไปไหนอาจจะพอรักษาตัวรอดได้ ทันทีที่ออกไปเกรงว่าจะตายสถานเดียว!
หยวนซั่วปิดปากเงียบไม่พูดอะไร
เกรงว่าหลิวหลงคงไม่ไหวแล้วอย่างนั้นเหรอ?
ตอนนี้…ถึงเวลาที่ตนจะออกโรงได้หรือยังนะ?
เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วก้าวเท้าเดินออกมา ช่างเถอะ เจ้าเด็กหลิวหลงนั้นถึงจะโง่งม แต่หลายปีมานี้เขาทุ่มเทให้เมืองหยินไม่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าการลงแรงของอีกฝ่ายนั้นไร้ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ลบล้างคุณงามความดีของเขาไปเลย!
หลิวหลงต้องเอาตัวเองให้รอด!
……
เขตเมือง
หลิวหลงกำลังวิ่งอยู่
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ไล่ตามมาด้านหลังไม่ได้มีแค่คนเดียว
เงาโลหิตหลายร่างพุ่งเข้าไปกัดกินร่างของหลิวหลงครั้งแล้วครั้งเล่า หลิวหลงในตอนนี้สีหน้าซีดเผือด เริ่มไร้เรี่ยวแรง
เงาโลหิตปะทะเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกครั้งต่างก็พ่ายแพ้บาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย
สิ่งของที่ไร้รูปร่างนั้นน่ารำคาญติดหนึบมากกว่าพวกมีพลังเหนือธรรมชาติด้วยซ้ำไป
ให้ตายเถอะ!
นี่มันอะไรกันเนี่ย
ฆ่าก็ไม่ตาย ทำลายก็ไม่ได้ เลือดร้อนเดือดพล่านของขั้นทะลวงร้อยทำได้แค่ขับไล่ไป แต่ฆ่าไม่ตายอยู่ดี
ตอนนี้หลิวหลงไม่อยากคิดเรื่องอื่น
เขาต้องออกไปนอกเมืองให้ได้!
พอไปถึงที่นั่นบางทีอาจจะยังพอมีโอกาส ถ้าหากไปไม่ไหว…ก็ต้องล่อเจ้าพวกนี้เอาไว้ก่อนจนกระทั่งหลิวเยี่ยนไปถึง แค่นี้ก็ถือเป็นอันสำเร็จ
ในฐานะปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อย แต่วันนี้สามารถสังหารผู้มีพลังเหนือธรรมชาติขั้นจันทราทมิฬสามคนก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ขณะที่หลิวหลงเตรียมจะสู้ตาย พื้นดินด้านหน้าเขาก็สั่นไหว หน้ากากผีดำดินมุดมาดักด้านหน้าขวางเขาเอาไว้แล้ว
ใบหน้าหลิวหลงฉายแววเย็นชา
ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว แค่ฆ่าพวกเขาก็พอ!
ขณะที่เขาเตรียมใจจะสู้ตายนั้น วินาทีนี้เองก็ได้มีเสียงปืนดังขึ้น!
เสียงปืนที่ดังขึ้นนี้เหมือนเป็นเสียงสัญญาณ!
และในวินาทีเดียวกันเสียงปืนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้น!
บนตึกสูงแห่งหนึ่งที่ไกลออกไปท่ามกลางความมืดมิด ชายวัยกลางคนในชุดผู้ตรวจการณ์คนหนึ่งก็กวาดตามองด้านล่าง เขาถือปืนกระบอกหนึ่งไว้ในมือ
ชายวัยกลางคนผู้นี้ร่างอ้วนเล็กน้อย บนบ่าของเขามีตราสัญลักษณ์รูปกระบี่สามด้ามติดอยู่
หนึ่งดาวคือผู้ตรวจการณ์ สองดาวคือผู้บังคับการตรวจตรา ส่วนสามดาวคือผู้บัญชาการลาดตระเวน
หลี่ฮ่าวถือว่าเป็นระดับหนึ่งดาว และต่อให้เป็นผู้ตรวจการณ์ระดับหนึ่งก็ยังมีแค่ดาวเดียวเช่นกัน
หลิวเยี่ยนและหลิวหลงต่างเป็นผู้บังคับการตรวจตราซึ่งมีสองดาว
ในเมืองหยินมีผู้บัญชาการลาดตระเวนสามดาวเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นผู้อำนวยการกองตรวจการณ์ เขาเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้และเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
ในวินาทีนี้ผู้อำนวยการกองตรวจการณ์มาแล้ว!
ผู้อำนวยการที่ทำให้หลิวหลงเลิกสนใจหลี่ฮ่าวมาแล้ว
เขายืนอยู่บนตึกสูงแห่งนั้นแล้วลั่นไกปืน
วินาทีนี้เอง ในเขตเมืองก็มีเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงท่ามกลางสายฝน
นั่นคือกองกำลังคนกลุ่มหนึ่ง!
เหล่าคนของกองตรวจการณ์นั่นเอง!
……………………………………………………..