ตอนที่ 45 ปูทาง (1)

ณ กองตรวจการณ์

ห้องชั้นใต้ดิน อู๋เชากับเฉินเจียนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยโดยมีอวิ๋นเหยาคอยรักษาอาการให้พวกเขาอยู่ตอนนี้

อวิ๋นเหยาเหมือนได้พลังการรักษาพิเศษอะไรบ้างมา หล่อนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเครื่องมือทางการแพทย์ใดก็สามารถช่วยรักษาแผลได้แล้ว

หลิวเยี่ยนกำลังยืนเหม่ออยู่ข้างๆ ครั้งนี้เธอไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด แค่มีแผลนอกกายเล็กๆ น้อยๆ และสมานแผลไปตั้งนานแล้วด้วย

“ลูกพี่!”

หลิวหลงเดินเข้าประตูมา ทั้งอวิ๋นเหยา ทั้งหลิวเยี่ยน หรือแม้แต่อู๋เชากับเฉินเจียนที่นอนอยู่บนเตียงก็พากันมองไปทางเขาอย่างพร้อมเพรียงด้วยความเป็นกังวลปนคาดหวัง

คาดหวังอะไร

หลิวหลงรู้ว่าพวกเขากำลังคาดหวังอะไรอยู่ ครุ่นคิดครู่หนึ่งถึงกล่าวว่า “ฉันฆ่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในเมืองไปหลายคน พลังลี้ลับที่ได้รับคงขอกลับมาได้…แต่…ของคนอื่นๆ เกรงว่าหยวนซั่วคงจะไม่ให้”

สงครามนองเลือดสิ้นสุดลง ทุกคนย่อมคาดหวังการจัดการของรางวัลหลังสงครามอยู่แล้ว

ครั้งนี้จันทราทมิฬสิบคนดับสิ้นทั้งหมด หลี่ฮ่าวฆ่าไปหนึ่งคน หยวนซั่วฆ่าไปห้าคน สี่คนที่เหลือหลิวหลงจัดการไปสามคนในทีแรก ส่วนภายหลังกองตรวจการณ์ก็ยิงดับไปอีกหนึ่งคน

หากพลังลี้ลับของสี่คนนี้สามารถขอกลับมาเป็นส่วนของทีมก็คงได้พลังลี้ลับเพิ่มมาอีกร้อยลูกบาศก์เลยทีเดียว

เทียบกับหยวนซั่วแล้ว ย่อมเทียบไม่ติด

แต่เมื่อเทียบกับรายรับของทีมตลอดหลายปีที่ผ่านมา ลำพังแค่รายรับครั้งนี้ก็เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว

หลี่ฮ่าวที่อยู่ข้างๆ ปริเสียงขึ้น “ไม่เป็นไร อาจารย์คงไม่ใช้เยอะขนาดนั้น ไม่แน่อาจจะมีส่วนเหลือ ผมจะลองคุยดู เราอาจได้เพิ่มอีกหน่อย”

หลิวหลงโบกมือปัดแล้วไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ

เขาฆ่าไปเท่าไร ได้มาเท่าไร ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสงสารเขาหรอก

ส่วนหลิวเยี่ยนกลับหัวเราะทีหนึ่ง “เสี่ยวฮ่าวฮ่าว ครั้งนี้นายฆ่าจันทราทมิฬตายไปหนึ่งคนด้วยตัวเอง แค่พลังลี้ลับของเจ้าหมอนี่ก็มากพอให้นายสูบแล้ว อย่างน้อยถ้าสกัดพลังลี้ลับจากเจ้าหมอนั่นออกมาคงได้ราวๆ สามสิบลูกบาศก์เชียวล่ะ!”

สามสิบลูกบาศก์!

สำหรับพวกเขาถือว่าเป็นจำนวนมหาศาลแล้ว

หลี่ฮ่าวกลับส่ายหน้าบอกว่า “นั่นเป็นผลงานของทั้งทีม ไม่ใช่ว่าสุดท้ายใครเป็นคนฆ่าก็เป็นของคนนั้น! ครั้งนี้ถ้าจะต้องนับอย่างนั้นจริงๆ พี่ใหญ่ฆ่าคนเดียวไปสามคน ทีมเราก็ไม่มีให้แบ่งแล้วสิ”

ภารกิจของทีมไม่ได้จัดแจงกันอย่างนี้

ความจริงหลิวเยี่ยนกำลังช่วยขอให้หลี่ฮ่าว แต่หลี่ฮ่าวกลับไม่สนใจเรื่องนี้นัก แค่จัดแจงตามระเบียบของทีมก็พอ

ใครลงแรงเท่าไรคนนั้นก็ได้ส่วนแบ่งมากหน่อย

หากจัดแจงตามการเสียสละของคนสุดท้าย สายป้องกันตัวอย่างเฉินเจียนหรือสายรักษาอย่างอวิ๋นเหยาอาจไม่มีวันลืมตาอ้าปากเลยตลอดชีวิต แบบนี้ทีมก็ไม่มีความหมายใดๆ อีกแล้ว

หลิวหลงยังไม่พูดอะไร เหมือนครั้งนี้เขาไม่ได้สนใจในส่วนแบ่งของพลังลี้ลับเท่าไรนัก

หลิวเยี่ยนมองหลิวหลงแล้วหันไปมองหลี่ฮ่าว

คิดอยู่ครู่หนึ่งพลันก็ถามขึ้นว่า “ผู้พิทักษ์รัตติกาลส่งผู้แข็งแกร่งมาขนาดนี้ ลูกพี่ พวกเขามีแผนอะไรกับเมืองหยินหรือเปล่า”

เธอรู้ว่าหลิวหลงสนใจเรื่องนี้มากกว่า

หลิวหลงหาที่นั่งพัก เพราะบนร่างกายยังมีเลือดไหลจากแผลบางจุด ซึ่งเขาก็ไม่ใส่ใจกับมันมาก ผ่านไปพักหนึ่งถึงตอบกลับ “เจ้าอ้วนมู่หวังอยากก่อตั้งหน่วยแยกย่อยของผู้พิทักษ์รัตติกาลขึ้น แต่หัวหน้าเฮ่อยังไม่สามารถตัดสินใจได้ คิดว่าก็คงไม่สำเร็จตามเคย”

ว่าแล้วก็หัวเราะขึ้นมากะทันหัน “ครั้งนี้ได้ของดีมาไม่น้อย ถ้าทุกคนเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ…บางทีอาจจะพอมีหวัง!”

เขาก็เลือกที่จะพูดปลอบใจทุกคนไปอีกระลอกหนึ่ง

หากทุกคนคาดหวังที่เข้าสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ ก็ใช่ว่าจะหมดหวังเสียทีเดียว

การเลื่อนขั้นของสิบสังหาร โอกาสส่วนมากจะกลายเป็นจันทราทมิฬ

คิดอยากเลื่อนขั้นเป็นจันทราทมิฬแต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา ต่อให้ไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ก็ขอเป็นขั้นสุดยอดของทะลวงร้อยแล้วกัน ความสามารถระดับนี้ยังพอสู้พลังกลุ่มหนึ่งได้บ้าง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือผู้พิทักษ์รัตติกาลจะไม่แบ่งทรัพยากรรวมถึงพลังลี้ลับให้

หลี่ฮ่าวที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร

เรื่องนี้เขาไม่มีสิทธิ์ยุ่ง

หลี่ฮ่าวในตอนนี้กำลังพยายามย่อยพลังที่ได้มาในวันนี้อย่างสุดกำลัง

ในเมื่อดูดซับพลังของเงาโลหิตมาไม่น้อย เขาในตอนนี้มีพลังกายอยู่เต็มเปี่ยมทำให้สุขภาพร่างกายดีกว่าเวลาไหนๆ

วิชาคายรับห้าปาณภูตถูกใช้งานอยู่ตลอด เพียงแต่ครั้งนี้เขาจงใจดึงพลังจากจี้หยกกระบี่มา

พลังของจี้หยกกระบี่อ่อนลงกว่าเมื่อก่อนอย่างรู้สึกได้

ส่วนของสิ่งนี้มีประโยชน์มากกว่านั้น

ถ้าดึงพลังออกมาจนหมดก็น่าเสียดายเกินไป

หากว่าตามที่อาจารย์บอกไว้ ในตอนนี้ความจริงด้านศักยภาพร่างกายของหลี่ฮ่าวเกือบจะไปถึงลำดับขั้นทะลวงร้อยแล้ว แต่แค่ต้องการเวลาปรับตัวสักหน่อย

ถือจังหวะนี้ย่อยสลายพลังเหล่านี้ก่อน

กลับไปยังมีของดีรอเขาอยู่ตั้งเยอะแยะแหนะ!

อย่างเช่นเงาโลหิตในเมือง พลังลี้ลับที่อยู่กับอาจารย์ หากเป็นไปได้คงมีของดีที่ถูกจัดสรรมาจากผู้พิทักษ์รัตติกาลอีก ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนช่วยให้เขาพัฒนาขึ้นไปอีกก้าว

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนได้มาเพราะหยวนซั่วฆ่าผู้แข็งแกร่งลำดับขั้นไตรสุริยาคนหนึ่ง

……

ทุกคนต่างง่วนอยู่กับเรื่องของตัวเอง โดยคนที่รักษาตัวก็รักษาตัวไป คนที่คิดเรื่องตัวเองก็คิดเรื่องของตัวเองไป

หลี่ฮ่าวดูดซับพลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายตัวเองอยู่เงียบๆ

……

ด้านนอกเมือง ไม่นานผู้พิทักษ์รัตติกาลก็เก็บกวาดสถานที่จนเสร็จสิ้น

ในเมื่อมีเฮ่อเหลียนชวนกับหวงอวิ๋นอยู่ คนหนึ่งลำดับขั้นไตรสุริยา คนหนึ่งลำดับขั้นสุริยะพราย บวกกับหยวนซั่วที่ฆ่าไตรสุริยาตายไปอีกคน เมืองหยินในเวลานี้ปลอดภัยยิ่งกว่าเวลาไหน หากไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งลำดับขั้นไตรสุริยาสักสามถึงห้าคนคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะบุกเมืองหยินแน่นอน

ฟ้ามืดลงอีกครั้ง

ณ กู่ย่วนลานบ้านกว้างขวางของตระกูลหยวน

เฮ่อเหลียนชวนมาที่นี่เพียงลำพัง

กลางลานบ้าน หยวนซั่วกำลังฝึกวิชาหมัดมวยอยู่

ประตูเปิดออกอัตโนมัติ

เฮ่อเหลียนชวนเดินตรงดิ่งเข้าไปนั่งลงข้างๆ พลางมองหยวนซั่วฝึกหมัดมวยอยู่เงียบๆ

รอกระทั่งหยวนซั่วฝึกเสร็จหนึ่งชุดกระบวนท่า เฮ่อเหลียนชวนถึงปริเสียงกล่าว “ศาสตราจารย์หยวนซุ่มฝึกซ้อมมาหลายปี กลับกันแม้แต่ผมยังไม่รู้สึกถึงความผิดแปลกใดๆ เห็นทีแผลเมื่อสามปีก่อนศาสตราจารย์จะหายเป็นปกติตั้งนานแล้วสินะ”

หยวนซั่วหัวเราะแล้วนั่งลงเช็ดเหงื่อที่เกาะบนใบหน้า “ไม่ถือว่าเร็ว ความจริงก็เพิ่งหายดีไม่นานนี่เอง! ที่ไม่บอกก็เพราะกังวลเหมือนกัน”

หยวนซั่วทำท่ายิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “ถ้าฉันบอกไปว่าฉันก้าวสู่ขอบเขตพันยุทธ์แล้ว ไม่แน่ผู้พิทักษ์รัตติกาลอาจจะขัดขวางฉันก็ได้!”

“ศาสตราจารย์ดูถูกผู้พิทักษ์รัตติกาลเกินไปแล้ว!”

เฮ่อเหลียนชวนส่ายศีรษะ “ความจริงเราก็คาดหวังมาตลอดว่าศาสตราจารย์จะกลายเป็นพันยุทธ์แล้วก้าวสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ บางทีมณฑลหยินเยวี่ยอาจจะมีผู้แข็งแกร่งลำดับไตรสุริยาเพิ่มมาอีกคน แต่เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน ทำให้เราตั้งรับไม่ทัน…”

“พอเถอะ!”

หยวนซั่วพูดขัดเขา “รางวัลหลังสงครามของฉันล่ะ”

“ส่งไปที่กองตรวจการณ์แล้ว ไม่สะดวกที่จะขนมาส่งเท่าไร”

เฮ่อเหลียนชวนก็ไม่ได้คิดจะยึดของเหล่านี้เป็นของตัวเอง การปลิดชีวิตไตรสุริยาคนหนึ่งมากพอจะทำให้ใครหลายๆ คนล้มล้างความคิดนี้ไปเสีย

เขาไม่ได้มาหาหยวนซั่วเพราะเรื่องนี้ เขาเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “เรื่องที่จะตามสำรวจร่อยรองอารยธรรมโบราณช่วงสิ้นเดือน ศาสตราจารย์มีความคิดยังไงบ้าง”

เดิมทีสัญญากันไว้แล้วว่าสิ้นเดือนนี้จะไปแกะร่องรอยสถานโบราณเก่าแก่แห่งหนึ่ง

แต่เมื่อนั้นหยวนซั่วใกล้จะลงโลงเต็มที หากไปแล้วก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้พิทักษ์รัตติกาล

แต่ตอนนี้อีกฝ่ายขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ฆ่าลำดับไตรสุริยาได้ ถ้าเช่นนั้นก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หยวนซั่วก็ตกอยู่ในห้วงความคิดเช่นกัน “ที่นั่นอันตรายมาก! สามปีก่อนฉันบาดเจ็บจากที่นั่น อีกทั้งวันนั้นก็มีผู้พิทักษ์รัตติกาลตายไปมากมาย ฉันได้ยินมาว่าองค์กรใหญ่ต่างๆ ก็ส่งคนไปสำรวจไม่น้อยและตายไปเยอะเหมือนกัน! ครั้งนี้ผู้พิทักษ์รัตติกาลร่วมมือกับบางองค์กรเพื่อสำรวจร่วมกัน ถึงขั้นจะมีคนจากภาคกลางมาด้วยใช่ไหม”

เฮ่อเหลียนชวนพยักหน้า “อืม คราวก่อนเสียหายสาหัสเอาการ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแบกรับไม่ไหว”

หยวนซั่วชั่งใจครู่หนึ่งก็เอ่ยปากว่า “ฉันพาทีมสำรวจต่อได้ แต่ต้องเปลี่ยนเกณฑ์การจัดสรรใหม่! ก่อนหน้านี้สิ่งที่เข้าข่ายพลังเหนือธรรมชาติเป็นของพวกคุณ ฉันได้แค่ของที่พวกคุณไม่เอา ครั้งนี้…ฉันจะขอแบ่งครึ่งต่อครึ่ง!”

พอสิ้นคำ เฮ่อเหลียนชวนก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “คุณคิดว่า…มันเป็นไปได้หรือ สถานโบราณแห่งนี้ไม่ธรรมดา ครั้งนี้ผู้พิทักษ์รัตติกาลก็จะออกแรงเต็มที่ รวมถึงผมด้วย และยังมีสุริยะพรายอีกหลายท่านเข้าร่วมด้วย!”

หยวนซั่วขอมากไป!

หยวนซั่วหัวเราะ “งั้นก็ช่างเถอะ ผมสำรวจเองแล้วกัน!”

เพราะอันตราย…ย่อมมีอยู่แล้ว

แต่การสำรวจคนเดียวสมบัติก็จะเป็นของตัวเองทั้งหมด อีกทั้งเขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญของคณะตามรอยอารยธรรมโบราณ มีความรู้ความเข้าใจต่อเรื่องอารยธรรมโบราณมากกว่าคนเหล่านี้มากโข การร่วมมือกับผู้พิทักษ์รัตติกาลนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

“ชาดจันทราก็จะส่งคนมาเหมือนกัน!”

เฮ่อเหลียนชวนมองเขา ประมาณว่าแน่ใจหรือว่าจะเคลื่อนไหวคนเดียว

“แล้วยังไง”

หยวนซั่วแค่นหัวเราะทีหนึ่ง “อย่างมากก็แค่ไม่ไป! ฉันไม่ไป ฝากความหวังไว้กับคนพวกนั้น จะเปิดผนึกแหล่งอารยธรรมโบราณได้หรือเปล่ายังพูดยากเลย! ชาดจันทราแล้วอย่างไรเหรอ ความรู้ต่างหากคือพลัง ความรู้ต่างหากที่เป็นสมบัติ! ในโลกปัจจุบันคนที่รู้เรื่องอารยธรรมโบราณมากกว่าฉันจะมีสักกี่คน ถ้าคุณเชิญคนเหล่านั้นมาได้ ฉันกลับจะรอดูว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลอย่างพวกคุณจะได้ส่วนแบ่งเท่าไรเชียว”

……………………………………………………………………