ตอนที่ 47 ข่าวดีของทีม (1)
เพราะการปล่อยสองพลังซ้อนจะช่วยให้พลังภายในถูกปลดปล่อยออกมา
นี่บ่งบอกว่าหลี่ฮ่าวก้าวข้ามมาอยู่ในขอบเขตทะลวงร้อยแล้ว แน่นอนว่าหากปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเป็นทางการได้เมื่อไร เมื่อนั้นเขาถึงจะอยู่ในขอบเขตทะลวงร้อยอย่างแท้จริง
แต่หลี่ฮ่าวไม่สนใจ!
เขาดีใจเหมือนคนบ้า
นี่เพิ่งกี่วันเอง
นับจากวันที่เขาก้าวมาอยู่ในขอบเขตสิบสังหาร รวมๆ กันก็แค่สามสี่วันเท่านั้น
ส่วนดูดซับพลังลี้ลับไปเท่าไรนั้น ความจริงจะบอกว่ามากก็ไม่มากเท่าไร ใช่ว่าพวกหลิวเยี่ยนจะดูดซับไปจะน้อยกว่าเขาเสียเมื่อไร ประเด็นคือระหว่างที่เขาดูดซับพลังลี้ลับก็ได้ดูดซับพลังจากจี้หยกกระบี่ไปด้วย
พลังจี้หยกกระบี่ต่างหากที่สุดยอด!
เพราะช่วยถ่วงดุลพลังเงาโลหิตและพลังลี้ลับไม่ให้พลังเหล่านี้สร้างแรงกระแทกมากเกินไป แต่กลับแก้ไขโครงสร้างพลังให้ดีขึ้น เหมาะกับบำรุงร่างกายไม่ให้เกิดความรู้สึกอ่อนล้าเหมือนพลังเหนือธรรมชาติ
หลี่ฮ่าวต่อยหมัดรัวๆ ด้วยความตื่นเต้น!
เคล็ดวิชาห้าปาณภูต!
ไม่เพียงเท่านี้ เขาในเวลานี้ยังทดลองใช้กระบวนท่าใน ‘ตำราเก้าหลอมแรงปราณ’
เส้นทางปรมาจารย์นักรบมีจุดด้อยอยู่อย่างหนึ่ง
ทุกครั้งที่เปลี่ยนกระบวนท่าก็ต้องเปลี่ยนวิธีการหายใจตามไปด้วย
ตำราเก้าหลอมแรงปราณมีวิชาหายใจเป็นของตัวเอง เคล็ดวิชาห้าปาณภูตก็มีวิชาคายรับเป็นของตัวเองเช่นกัน
ตอนที่หลี่ฮ่าวใช้กระบวนท่าในตำราเก้าหลอมแรงปราณก็ต้องหยุดใช้วิชาคายรับของห้าปาณภูตแล้วเปลี่ยนไปใช้วิชาหายใจของตำราเก้าหลอมแรงปราณแทนถึงจะใช้งานได้อย่างราบรื่น ซึ่งระหว่างที่เปลี่ยนจะมีกระบวนการง่ายๆ อย่างหนึ่ง
ความจริงใช้ระยะเวลาน้อยมาก ยิ่งคุ้นชินมากเท่าไรก็ยิ่งง่าย
แต่ยามที่ผู้แข็งแกร่งปะทะฝีมือกัน นี่อาจจะเป็นจุดอ่อน
หลี่ฮ่าวเปลี่ยนกระบวนท่าพลางคิดจุดนี้ตามไปด้วย ไม่รู้ว่าอาจารย์มีวิธีแก้ไขมันหรือเปล่า
ตอนนี้ดูเหมือนตำราเก้าหลอมแรงปราณจะไม่ค่อยมีคุณประโยชน์มากเท่าไร
แต่หลี่ฮ่าวสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชานี้
พลังภายในระเบิดตัวออก เขาไม่ใช่ทะลวงร้อยแต่ความสามารถอาจพอๆ กับหลิวเยี่ยน ทว่าพอปล่อยสองพลังซ้อนเขาก็คือทะลวงร้อยแล้ว ปล่อยพลังภายในออกมา ความสามารถพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดไปไกลกว่าหลิวเยี่ยน
นี่แค่ครั้งที่สองนะ!
ถ้ามีครั้งที่สาม ครั้งที่สี่หรือมากกว่านั้นล่ะ
ตลอดจนเก้าพลังซ้อน บางทีเขาอาจจะเข้าสู่ขอบเขตทะลวงร้อยระดับกลางถึงระดับท้ายจากระดับเริ่มต้นก็ได้…
“ฮ่า!”
หลี่ฮ่าวไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก คำถามนี้รอตนควบคุมพลังทะลวงร้อยได้ดีแล้วค่อยคิดดีกว่า เขาในตอนนี้หวังแค่ว่าจะปล่อยสามพลังซ้อนได้เท่านั้น
พลังภายในมีมากกว่าเมื่อก่อน ร่างกายแข็งแรงกว่าแต่ก่อน เขาในตอนนี้มีพลังภายในเพียงพอและร่างกายต้านทานการถูกกลืนกินได้ ทว่าเมื่อพลังภายในทะลักออกมาเป็นครั้งที่สามกลับเริ่มหลุดการควบคุม ไม่อาจคงสภาวะปล่อยพลังซ้อนในเวลาอันรวดเร็วได้
เมื่อไม่อาจประคองพลังให้คงสภาวะปล่อยพลังซ้อนในเวลาอันรวดเร็วได้จึงทำให้ไม่ต่างจากพลังภายในทั่วไปเท่าไร แม้แต่ปล่อยพลังออกจากตัวยังทำไม่ได้เลย
‘อาจารย์บอกว่าตอนเราลงสนามจริงยังใช้ไม่ได้ ปฏิภาณไหวพริบยังไม่มากพอ…แต่ มีวิธีทลายอยู่นับหมื่น!’
ความคิดของหลี่ฮ่าวในขณะนี้ต่างจากหยวนซั่วประมาณหนึ่ง
เขาคิดว่าขณะนี้ตนเข้าสู่ขอบเขตทะลวงร้อยช่วงระดับเริ่มต้น ย่อมเทียบกับหวังหมิงไม่ได้อยู่แล้ว
แต่หากตนอยู่ในขอบเขตทะลวงร้อยระดับสมบูรณ์ หวังหมิงจะสู้ตนได้ไหมนะ
ดังนั้นยกระดับตัวเองรวมถึงยกระดับพลังตัวเองไปก่อน รอเจอปัญหาชั้นจิตวิญญาณค่อยฝึกพลังช้าๆ เพิ่มพูนประสบการณ์ลงสนามจริง ถึงเมื่อนั้นเขาก็มีเวลาฝึกฝนอย่างช้าๆ แล้ว!
ใช่แล้ว สิ่งที่หลี่ฮ่าวคิดคือใช้พลังในขอบเขตข่มคนอื่น!
อย่างเช่นอาจารย์ พันยุทธ์เก่งก็จริง ต่อให้หลี่ฮ่าวไปถึงขั้นพันยุทธ์ก็ใช่ว่าจะสู้อาจารย์ได้ แต่ถ้าตนอยู่ระดับเหนือกว่าอาจารย์อีกขั้นล่ะ
‘เอาชนะด่านอุปสรรค นั่นคือตำนาน!’
‘แต่ก็เท่ากับว่าความยากเพิ่มขึ้นทวีคูณ ใช้พลังกดข่มคนอื่นเป็นเรื่องปกติ ไม่มีทางพลาดท่าร้อยละร้อยแน่นอน…’
ความคิดของหลี่ฮ่าวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ระหว่างที่กำลังฝึกเคล็ดวิชาอยู่
วินาทีนี้เขาคิดต่างจากคนอื่น บางคนคิดว่าอยู่ในระดับเดียวกันก็คงไม่มีใครเอาชนะใครได้ แต่หลี่ฮ่าวในตอนนี้กลับกำลังครุ่นคิดว่าตนควรจะยกระดับตัวเองให้อยู่เหนือกว่าคนอื่นอีกหนึ่งขั้นไปตลอดดีไหม…คุณอยู่ในระดับเดียวกันไม่มีใครชนะใคร แต่ถ้าฉันอยู่เหนือกว่าคุณ…คุณจะเอาอะไรมาสู้กับฉันได้ล่ะ
‘ฉะนั้น…ไม่จำเป็นต้องหยุดแค่นี้ เราต้องดูดซับพลังต่อ ดูดซับจนกว่าจะดูดซับไม่ไหว!’
พลังลี้ลับ พลังเงาโลหิต พลังจี้หยกกระบี่
สิ่งเหล่านี้เขาต้องรีบย่อยสลายมันให้เร็วที่สุด ต่อให้พลังจี้หยกกระบี่ใกล้จะหมดแล้ว ความจริงหลี่ฮ่าวก็ไม่นึกเสียดาย แปรเปลี่ยนมันมาเป็นพลังของตนต่างหากถึงจะเป็นของตนไปชั่วชีวิต ถึงอย่างไรพลังที่ไม่อยู่กับตัวก็คงมิอาจเป็นของเราได้ตลอดกาล
……
ค่ำคืนนี้เสียงฝึกต่อยหมัดของหลี่ฮ่าวดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
หยวนซั่วก็ไม่ได้มาก่อกวนเขา หลี่ฮ่าวที่เพิ่งสัมผัสการปล่อยพลังสู่ภายนอกครั้งแรกย่อมกระตือรือร้นต่อการฝึกวิชายุทธ์มากอยู่แล้ว หยวนซั่วคิดว่าหากรักษาความกระตือรือร้นนี้ต่อไป หลี่ฮ่าวถึงจะมีอนาคตอันสดใส
……
ส่วนเงาโลหิตในเมืองหลี่ฮ่าวไม่ได้ตามไปเก็บ
เฮ่อเหลียนชวนยังอยู่
แน่นอนว่าเขาต้องไปเก็บอยู่แล้วและจะไปในอีกไม่ช้านี้ เพราะหลี่ฮ่าวกลัวว่าคนของชาดจันทราจะมาเก็บเงาโลหิตกลับไป ดังนั้นรอเฮ่อเหลียนชวนกลบไปเขาก็จะรีบไปเก็บทันที
เช่นนี้ต่อให้คนของชาดจันทรามาจริงก็ต้องรอเฮ่อเหลียนชวนกับหยวนซั่วไปถึงจะกล้าโผล่มา
หลี่ฮ่าวคิดทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
หลี่ฮ่าวกลับไปยังกองบัญชาการของทีมล่าปีศาจอีกครั้ง
ผ่านจากวันศึกสงครามไปสองวันแล้ว อาการของคนในทีมยังพอไหว อู๋เชาที่อาการสาหัสที่สุดก็ลงจากเตียงเคลื่อนไหวได้แล้ว
ทุกคนต่างมีรอยยิ้มบนใบหน้า!
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ต่อสู้ดุเดือดที่สุดแต่กลับเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีสมาชิกทีมคนใดเสียชีวิต เหตุนี้เลยทำให้หลิวหลงรวมถึงสมาชิกในทีมอารมณ์ดีกันมาก
ไม่เพียงเท่านี้ รอจนกระทั่งหลี่ฮ่าวก้าวเข้ามา พอหลิวเยี่ยนที่มาเช้ากว่าเห็นหลี่ฮ่าวก็จุดยิ้มเย้ายวนทันที “เสี่ยวฮ่าวฮ่าว พี่สาวรักนายที่สุดเลย!”
สิ้นคำตัวเธอก็มาซบแอบอิงบนตัวหลี่ฮ่าว
หลี่ฮ่าวเคอะเขินหน่อยๆ พูดเสียงต่ำว่า “กระดุมติดให้แน่นหน่อยดีกว่าครับ!”
“เสี่ยวฮ่าวฮ่าวเขินเป็นด้วยเหรอ”
หลิวเยี่ยนพูดเสียงหัวเราะคิกคัก “ตอนที่นายแทงคน ไม่เห็นเขินแบบนี้เลยนะ!”
ไม่ไกลจากตรงนั้น อู๋เชาที่แผลยังไม่หายดีก็ฉีกยิ้มบางๆ “หัวหน้าหลิว ตอนเขาแทงคนพี่เห็นด้วยเหรอ”
ว่าแล้วก็ยิ้มร้าย “เขาแทงยังไง ผู้ชายอย่างเราคงไม่มีโอกาสได้สัมผัส”
หลิวเยี่ยนเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก็แค่นหัวเราะ “หุบปากไปเลยเจ้าบ้า! ครั้งนี้มีแค่นายที่บาดเจ็บหนักที่สุด ยังมีหน้ามาพูดจาลามกกับฉันอีก!”
“…”
อู๋เชาหุบปากในทันทีพลันทำท่าระอาใจหน่อยๆ
ฟังดูพูดเข้า ผมอาการหนักที่สุด แต่ผม…ก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา!
อวิ๋นเหยาที่ยังทำแผลให้เฉินเจียนอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงนิ่งขรึมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองด้วยซ้ำ “รองหัวหน้าหลิว อายุสามสิบต้นๆ แล้วช่วยควบคุมตัวเองหน่อย หลี่ฮ่าวอายุยังน้อย”
“เธอว่าใครอายุสามสิบต้นๆ กัน”
หลิวเยี่ยนเดือดดาล ปกติเธอไม่กล้ามีเรื่องกับอวิ๋นเหยา แต่คำพูดนี้ของอวิ๋นเหยาเท่ากับเปิดศึกกับเธอแล้ว!
เธอโกรธแล้วจริงๆ!
ใครอายุสามสิบกว่ากัน
ฉันเพิ่งจะสามสิบต่างหากล่ะ!
………………………………………………………………………