ตอนที่ 49-4 สาขาย่อยของเมืองหยิน (4)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 49 สาขาย่อยของเมืองหยิน (4)

หลิวเยี่ยนหัวเราะร่วน “เสี่ยวฮ่าวฮ่าวสมองดีจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพลังไม่ค่อยแข็งแกร่ง นายเป็นหัวหน้าทีมยังได้เลย!”

หลิวหลงปรายตามองหล่อน นี่หมายความว่าอะไร

หลิวเยี่ยนกล่าวพลางหัวเราะ “ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่น ลูกพี่อย่าเข้าใจผิดสิ! ฉันก็แค่แปลกใจเท่านั้นเอง เมื่อก่อนเสี่ยวฮ่าวดูดซับพลังลี้ลับเร็วเกินไป ครั้งนี้ได้พลังลี้ลับมาตั้ง 32 ลูกบาศก์ ดูดซับไปแล้วเท่าไร ตอนนี้พลังอยู่ในขั้นสิบสังหารระดับไหนกันแน่ พี่สาวอย่างฉันบรรลุไปถึงขั้นทะลวงร้อยแล้ว ส่วนอวิ๋นเหยาเองก็กลายเป็นปรมาจารย์นักรรบในขั้นจันทราทมิฬแล้ว ส่วนอู๋เชากับเฉินเจียนเองก็ยังไม่ไปถึงไหนเพราะอาการบาดเจ็บทำให้พวกเขาสองคนเพิ่งเริ่มดูดซับพลังลี้ลับได้เมื่อสองวันก่อนนี้เอง…แต่นายที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ”

พอกล่าวออกมาเช่นนี้หลิวหลงเองก็เริ่มประหลาดใจขึ้นมาเหมือนกัน

หลี่ฮ่าวไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนเองก็พอจะมองออก

เช่นนั้นหนทางในการเป็นปรมาจารย์นักรบของเขาคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

เพราะพลังลี้ลับนั้นช่วยให้ศักยภาพเพิ่มขึ้นมากทีเดียว

หลี่ฮ่าวเอ่ยอย่างเก้อเขิน “เฉยๆ ครับ พลังเพิ่มขึ้นไม่มากหรอก มีพลังลี้ลับบางส่วนที่สิ้นเปลืองไปบ้าง”

ส่วนเพิ่มขึ้นมาเท่าไรกันแน่นั้น… ถ้าบอกว่าอยู่ในขั้นทะลวงร้อย ทุกคนก็อาจจะไม่เชื่อ หรือต่อให้เชื่อก็อาจจะเสียใจเพราะอย่างไรเสียตัวเขาเองก็เพิ่งจะเลื่อนขั้นไปเป็นสิบสังหารไม่กี่วันเอง

หลิวหลงเห็นเขาไม่ค่อยอยากจะพูดก็เลยไม่เซ้าซี้อะไร

ส่วนเรื่องการเลื่อนขั้น บางทีอาจจะอยู่ในขั้นสิบสังหารระดับต้นหรือระดับกลาง หรืออาจจะระดับปลาย

พยายามรั้งเอาไว้ในระดับปลายแล้วกัน!

ส่วนการบรรลุเป็นทะลวงร้อย เขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน แต่น่าจะไม่มีความเป็นไปได้เท่าไหร่นัก

“ก็ได้ งั้นทุกคนก็พักผ่อนกันเยอะๆ เดี๋ยวอีกสองวันน่าจะมีเอกสารเป็นทางการออกมา ในนั้นน่าจะมีนโยบายที่แน่ชัดและน่าจะได้ข้อสรุปออกมา อีกเดี๋ยวฉันจะส่งเอกสารยื่นขอเลื่อนขั้นให้หลี่ฮ่าวเป็นรองหัวหน้าก็แล้วกัน”

พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็อดเสียใจไม่ได้ “หลี่ฮ่าว เสียดายที่นายไม่ไปเป็นพวกเสมียน”

เจ้าเด็กนี่คิดแผนการอยากแต่จะเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง แบบนี้สู้ไปทำงานด้านเอกสารเผื่ออนาคตจะไปได้ไกลมากกว่า

หลี่ฮ่าวรีบร้อนกล่าว “ลูกพี่ ผมก็เกาะใบบุญพี่อยู่ไม่ใช่หรือไงครับ ไม่อย่างนั้นผมจะมีโอกาสเหรอ อีกอย่างก็ได้พวกพี่ๆ ทุกคนคอยดูแล ทุกคนรู้ว่าผมอายุยังน้อย แถมยังจนด้วยเลยให้โอกาสผม ให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นบ้าง…เมื่อวานผมไปดูบ้านแล้ว คราวก่อนที่ระเบิดก็ระเบิดแถวบ้านผม ตึกถล่มลงมาเกือบหมด ช่วงนี้ผมกำลังพยายามหาบ้านอยู่เลย!”

ใช่แล้ว ต่อให้บ้านจะยังไม่ได้ถล่มลงมาทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากเลย

คืนที่ต่อสู้กัน เมืองหยินเกิดระเบิดขึ้น เขตที่หลี่ฮ่าวอาศัยนั้นคือหนึ่งในเป้าหมายที่ชาดจันทราโจมตี

ตอนนั้นเพื่อล่อหลิวหลงออกไปเลยไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ระเบิดนั้นยังส่งผลทำให้ตึกเก่าๆ พวกนั้นเกิดความเสียหาย ปู่ย่าตายายที่อยู่ชั้นล่างต่างตกใจจนตกเตียงกันหมด ได้ยินมาว่าคนแก่ที่แข้งขาหักก็มีลูกสาวมารับตัวไปแล้ว

ตอนนี้ไม่มีคนมาโวยวายแล้ว แต่ก็ไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัยต่อแล้วจริงๆ

หลี่ฮ่าวกำลังคิดอยากจะหาที่พักอาศัยใหม่ แต่จะให้ไปอยู่บ้านอาจารย์ตลอดก็คงไม่ได้ วันสองวันอาจจะยังพอไหว แต่พอนานวันเข้าอาจารย์เองก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แค่เขาจามทีหนึ่งตาแก่ก็เปรยเชิงบ่นขึ้นแล้วว่า ‘เด็กอายุน้อยๆ เนี่ยหัดระวังมารยาทเสียบ้าง’

พอหลายๆ ครั้งเข้าหลี่ฮ่าวเองก็เริ่มจะทนตาแก่หัวรั้นนี่ไม่ไหวเช่นกัน

“มาสิมาอยู่กับพี่สาว!”

หลิวเยี่ยนกอดคอเขาแล้วเผยรอยยิ้มเย้ายวน “เตียงบ้านพี่กว้างมากนะ!”

หลี่ฮ่าวยิ้มกว้าง “อย่าเลยครับ ผมกลัวรบกวนพี่”

“แหม จะเป็นงั้นไปได้ไงเล่า!”

หลิวเยี่ยนยิ้มกว้างพลางบีบหน้าหลี่ฮ่าว “นายน่ารักแบบนี้จะรบกวนฉันได้ไง”

หลี่ฮ่าวเองก็มองคนอื่นๆ เหมือนจะขอความช่วยเหลือ แต่คนอื่นๆ กลับหลบสายตาเขา แววตาของคนที่เหลือเหมือนอยากจะดูอะไรสนุกๆ มากกว่า

หลิวหลงเองก็ไม่สนใจพวกเขาอีกกล่าวพลางโบกมือ “เอาเถอะน่า พวกนายออกไปเถอะ! หากไปไหนก็ให้ระวังๆ ตัวหน่อยล่ะ หลี่ฮ่าวเองก็เหมือนกัน ถ้าหาบ้านก็พยายามอย่าอยู่ไกลจากเขตเมืองมากเกินไป มิเช่นนั้นโอกาสที่จะขอความช่วยเหลือคงไม่มีด้วยซ้ำ!”

“รับทราบครับ!”

ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป

เมื่อเดินออกจากห้องทำงานก็เห็นมู่เซินเดินมา ทุกคนต่างทักทายอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมาย

ทว่ามู่เซินกลับเดินมาทักทายทุกคนด้วยท่าทีสนิทสนม แล้วมองหลิวเยี่ยนก่อนจะหัวเราะคิกคัก “ขอแสดงความยินดีกับหัวหน้าหลิวด้วยนะ ต่อไปคงจะต้องเรียกหัวหน้าหน่วยแล้วล่ะ!”

หลิวเยี่ยนหัวเราะสดใส “อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ ผู้อำนวยการเป็นถึงตำแหน่งผู้บัญชาการลาดตะเวน อีกอย่าง…ฉันก็ไม่ใช่หัวหน้าหน่วยด้วยค่ะ!”

พูดจบก็พาหลี่ฮ่าวเดินออกไปพร้อมกัน

คิดว่าเหตุที่มู่เซินมาก็เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าหากเขาได้ยินเรื่องที่จะแนะนำให้หลี่ฮ่าวได้เลื่อนขั้นเป็นรองหัวหน้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง

หลังจากเดินออกมาระยะหนึ่งจนห่างจากมู่เซินเล็กน้อยแล้ว หลิวเยี่ยนถึงหุบยิ้ม “เจ้าอ้วนนี่ไม่ธรรมดาเลย อย่าตกหลุมรักรอยยิ้มเขาเชียวล่ะ! บางทีมู่เซินอาจเลื่อนขั้นเป็นทะลวงร้อยได้เร็วกว่าลูกพี่ด้วยซ้ำ! เจ้าอ้วนมารับตำแหน่งที่เมืองหยินแบบนี้ไม่รู้ว่าวางแผนอะไรกันแน่ แต่เห็นว่ากันว่าครอบครัวเขาเองก็มีหน้ามีตาในเมืองไป๋เยวี่ยอยู่บ้าง ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปล่วงเกินเขาและอย่าไปสนิทชิดเชื้อกับเขาเชียวล่ะ! ”

หลี่ฮ่าวพยักหน้าด้วยท่าทีประหลาดใจ “ผู้อำนวยการเลื่อนขั้นเป็นทะลวงร้อยระดับสมบูรณ์แล้วเหรอครับ”

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่อาจจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง ว่ากันว่าตอนเขาปลิดชีพผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่บินได้คนนั้นในคราวเดียวครั้งก่อน…เขาน่าจะเป็นคนในขั้นทะลวงร้อยเป็นอย่างน้อยล่ะ!”

หลี่ฮ่าวเข้าใจในทันทีแล้วไม่ได้ถามอะไรต่อ

……

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง

ณ เมืองไป๋เยวี่ย

ณ สำนักงานใหญ่ผู้พิทักษ์รัตติกาลประจำมณฑลไป๋เยวี่ย

หวังหมิงเผยสีหน้าตกใจครู่ใหญ่แล้วกล่าวอย่างขมขื่น“ผม…ผมได้เป็นรองหัวหน้าเหรอครับ”

ไปที่เมืองหยินอีกแล้วเหรอ?

เราไม่อยากไปเลยสักนิด!

เราสูญเสียอะไรไปที่นั่นก็มาก ถ้าไปอีกจะไม่โดนคนเย้ยเอาหรือไง

อีกอย่างที่นั่นกันดารสุดๆ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเบื้องบนต้องส่งเขาไปด้วยนะ

ตนเลื่อนขั้นเป็นจันทราเต็มดวงแล้วซึ่งก็เท่ากับทะลวงร้อยระดับปลายๆ ในหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลถือว่าเป็นอัจฉริยะอายุน้อยด้วยซ้ำ พวกคุณส่งผมไปแบบนี้มันเหมาะสมแล้วหรือ

หวงอวิ๋นที่อยู่ตรงข้ามยิ้มเอ่ย “นี่ถือเป็นการตัดสินใจของหัวหน้าหน่วยทั้งหลาย ข้อหนึ่งนายเป็นลูกศิษย์ของหยวนซั่ว ไปที่นั่นคงจะมั่นคงได้ง่าย! ข้อสองอย่างไรเสียนายก็เคยมีประสบการณ์ร่วมต่อสู้กับหลิวหลงมาก่อน เขาน่าจะยอมรับนายได้ง่ายกว่า ข้อสาม…ไปสังเกตทุกพฤติกรรมของหลี่ฮ่าวด้วย!”

หวงอวิ๋นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หลี่ฮ่าว เป็นทายาทของแปดตระกูลใหญ่ เป็นทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่! ถึงแม้ตอนนี้ทุกคนไม่ได้พูดถึงแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะมองข้ามเรื่องนี้! นายเองก็รู้จักกับหลี่ฮ่าวนี่ นายไปเถอะ น่าจะเข้ากับเขาได้ดีกว่า หรืออาจจะอยู่เกาะติดกันเหมือนองครักษ์ติดตัวเลยก็ได้…ขณะเดียวกันพวกชาดจันทราก็คงไม่รามือง่ายๆ! แน่นนอนว่าพวกเราเองก็กำลังจับตาดูตัวเก่งๆ ของพวกเขาอยู่ แต่องค์กรนี้ใหญ่โตไม่เบา พวกเราไม่มีทางจับตาดูได้ครบทุกคนหรอก”

“หวังหมิง นายไปที่นั่น ภารกิจที่ต้องรับผิดชอบหนักไม่เบา! เรื่องทรัพยากรอะไรนั่นนายสบายใจได้เลยเพราะให้เต็มที่อย่างแน่นอน หากมีเรื่องอะไรก็ติดต่อฉันได้ทุกเมื่อ”

หวังหมิงปวดร้าวอย่างยิ่ง!

พูดน่ะมันง่าย เมืองหยินอยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่ ในสถานการณ์ปกติแล้วจะติดต่อไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ

คราวนี้จบเห่แล้ว!

นี่ถือว่าเขาถูกส่งตัวไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม

เขากล่าวอย่างอดไมได้ “แล้วหูเจี๋ยกับหลี่เมิ่งล่ะ?”

ในเมื่อตนซวยแล้ว สองคนนั้น…ก็คงไม่ดีไปกว่าตนเท่าไรหรอกมั้ง

หวงอวิ๋นระบายยิ้ม “พวกเขาสองคนเหรอ พวกเขาเองก็ไป โครงสร้างขององค์กรผู้พิทักษ์รัตติกาลเมืองหยินยังแข็งแกร่งไม่พอ คนจำนวนน้อยเกินไป หากได้คนในขั้นจันทราทมิฬอย่างพวกนายสามคนเข้าร่วมด้วยน่าจะช่วยเสริมสร้างองค์กรนี้ด้วยพอดี! นายไปรับตำแหน่งรองหัวหน้า ส่วนพวกเขาทั้งสองคนก็ดูว่าทางนั้นจะจัดการอย่างไรแล้วกัน ไม่ว่าเช่นไรนายก็แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเล็กน้อย”

ครั้นหวังหมิงได้ยินแบบนี้ก็ปลอบใจตัวเอง เหมือนจะใช่แฮะ

เพียงแต่ว่า..ไม่อยากไปเลยจริงๆ!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไปแล้วจะต้องเผชิญหน้ากับพวกหลิวหลงและหลี่ฮ่าว รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

แต่ถ้าเบื้องบนตัดสินใจแบบนี้แล้ว เขาย่อมปฏิเสธไม่ได้จึงทำได้แค่อ้อนวอน “รอจัดการที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ผมจะกลับมาที่นี่ได้เสมอเลยใช่ไหมครับ”

“แน่นอน!”

“งั้นก็ดีครับ”

หวังหมิงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกหวังว่าจะได้กลับมาโดยเร็ว เมืองหยินเล็กเกินไปจริงๆ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ทำให้เขาปวดใจด้วย

หวงอวิ๋นไล่หวังหมิงไปแล้วระบายยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะพึมพำ “ในที่สุดก็จบสักที…ค่อยกลับมา…ตอนที่เมืองหยินอพยพคนก็แล้วกัน!”

เบื้องบนตัดสินใจแล้วว่าแผนการในการอพยพคนจะต้องดำเนินต่อไป

ส่วนเมืองหยินเองก็อยู่ในแผนการนี้เช่นกัน

ส่วนจะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้นก็คงต้องรอดูสถานการณ์อีกที

………………………………………………………………………………………….