ตอนที่ 52 อิทธิพลมืดในเมืองหยิน (4)
หลังจากทักทายกันไม่กี่ประโยคอีกฝ่ายก็ไม่คิดปิดบัง “หน่วยอารักขากู่ย่วนก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก มีสมาชิกทั้งหมดสี่สิบคน แต่สามารถก้าวสู่ขอบเขตสิบสังหารจริงๆ มีไม่มาก มีแค่เจ็ดคน ถ้ารวมผมด้วยก็เป็นแปดคน…”
หลี่ฮ่าวจดบันทึกไปก็ถามต่อ “หัวหน้าเฉินยังไม่ถึงทะลวงร้อยเหรอครับ”
“ยัง อีกนิดเดียว”
หัวหน้าเฉินตอบอย่างนึกเสียดาย “พอๆ กับหัวหน้าหลิวอดีตหน่วยปฏิบัติการของพวกเธอ แต่ได้ข่าวว่าเธอเข้าสู่ทะลวงร้อยแล้วเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
“ครับ”
“น่าอิจฉา!”
หัวหน้าเฉินเอ่ยอย่างหดหู่ใจ อิจฉาจริงๆ เขาไม่คาดหวังที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่กลับยังมีความใฝ่ฝันในขั้นทะลวงร้อยอยู่ แต่เสียดายที่ไม่ได้เลื่อนขั้นสักที
แต่ขั้นสูงสุดของสิบสังหารไม่ถือว่าอ่อนแอแล้ว
แต่หลี่ฮ่าวก็ถามเพิ่มไปอีกประโยค “กู่ย่วนของเราไม่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสักคนเลยเหรอครับ”
“จะว่ายังไงดีล่ะ…”
เขาชั่งใจครู่หนึ่งก็เลือกตอบ “ความจริงก็มีอยู่ท่านหนึ่ง ไม่ใช่ปรมาจารย์แสงดาราทั่วๆ ไปด้วย แต่เป็นปรมาจารย์จันทราทมิฬ! นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่กู่ย่วนค่อนข้างสงบสุขมาตลอด แต่ระยะนี้ท่านนั้นไม่อยู่กู่ย่วน ออกไปข้างนอกแล้ว”
หลี่ฮ่าวพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้น
จากนั้นก็เดินไปดูฐานปฏิบัติการของหน่วยอารักขาตามหัวหน้าเฉินครู่หนึ่ง สำรวจดูลวกๆ ทีหนึ่งก็ออกมาจากกู่ย่วนอย่างรวดเร็ว
……
ระหว่างทาง
หวังหมิงย่นคิ้ว “หลี่ฮ่าว ตรวจสอบลวกๆ แบบนี้ก็พอแล้วเหรอ”
เขาคิดว่าหลี่ฮ่าวมักง่ายมาก
ตรวจสอบดูอย่างขอไปที ลงทะเบียนนิดหน่อยก็จบเรื่อง ไม่มีมาตรการใดมากกว่านั้นเลย
แค่นี้เหรอ
จะค้นพบความลับได้มากกว่านี้เหรอ
จะค้นพบผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้เหรอ
ล้อเล่นกันหรือไง!
หลี่ฮ่าวหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจอะไรพลางพูดลอยๆ “เป็นปรมาจารย์นักรบทั้งนั้น ตรวจสอบยาก หรือจะให้ประลองฝีมือจริงๆ เหรอ”
“งั้นอย่างน้อยก็เอาเครื่องตรวจจับพลังเหนือธรรมชาติมาด้วยสักเครื่องสิ แม้แต่อันนี้ก็ไม่เอามาด้วย ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาเก็บซ่อนความลับอะไรไว้หรือเปล่า”
“อาจารย์ของผมก็อยู่!”
หลี่ฮ่าวตอบไปอย่างระอา “อาจารย์เข้าสู่ขั้นพันยุทธ์ มีประสาทสัมผัสที่แม่นยำมาก ถ้ากู่ย่วนมีปัญหาจริงๆ เขาคงสัมผัสได้แต่แรกแล้ว”
คราวนี้หวังหมิงเลยนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นได้ พลันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
หลี่ฮ่าวไม่พูดมากกว่านั้น ความจริงเขาแค่หวังว่าวิธีการตรวจสอบอย่างขอไปทีแบบนี้จะเป็นที่รับรู้กันในหมู่ผู้มีอิทธิพลอื่นๆ อย่างรวดเร็ว คิดว่าเขาแค่ทำอย่างกำปั้นทุบดินโดยไม่ให้ความสำคัญเท่าไร
เช่นนี้ต่อให้มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็จะไม่รีบหาที่ซ่อนตัวทันที
ขอแค่ไม่ซ่อนตัวแต่ยังแฝงตัวอยู่ในกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ก็คงปิดบังเขาไม่ได้!
……
เป็นไปตามคาด
เมื่อหลี่ฮ่าวกับหวังหมิงไปจากกู่ย่วน กลุ่มอิทธิพลบางส่วนก็ได้รับข่าวสาร
ว่าหลี่ฮ่าวกับหวังหมิงไปตรวจสอบที่กู่ย่วนอย่างมักง่าย
ไม่ได้ตรวจสอบอะไรเลย แค่จดขึ้นทะเบียนหน่อยพอเป็นพิธีก็ถือว่าเรียบร้อยแล้ว
……
ณ บริษัทเหมืองแร่เฉียวกรุ๊ป
ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่
ประธานบริษัทอาวุโสที่ผมขาวเต็มหัวอมยิ้มน้อยๆ มองลูกชายตรงหน้าแวบหนึ่ง “แค่ดำเนินการให้เป็นพิธีเท่านั้น เดี๋ยวถ้ามีคนมาจริงๆ แกก็ไปต้อนรับสักหน่อย ขึ้นทะเบียนซะ อย่ารับมือแบบมักง่ายซะทีเดียว…ทางเฉียวกรุ๊ปที่ควรขึ้นทะบียนก็ขึ้นทะเบียนให้หมด! ส่วนระดับสิบสังหารไม่กี่คนกับปรมาจารย์แสงดาราอีกสองคน…ก็ขึ้นทะเบียนไปให้หมด!”
เฉียวเผิงยิ้มพยักหน้า “พ่อครับ ผมรู้ว่าควรทำยังไง หลี่ฮ่าวคนนี้…ควรเข้าหาให้มากกว่านี้หรือเปล่า”
“เข้าหาอย่างเหมาะสมได้…แต่อย่าเข้าใกล้มากเกินไป ตอนนี้คนที่จับจ้องเขามีอยู่ไม่น้อย”
“รับทราบครับ!”
ประธานอาวุโสเฉียวกรุ๊ปคิดๆ แล้วก็พูดอีก “ทางหลิวเยี่ยน…แกมั่นใจนะว่าไม่มีปัญหา”
“น่าจะไม่มีครับ!”
เฉียวเผิงตอบเสียงเรียบ “ตอนนั้นจัดการทุกอย่างได้ไวมาก! ผมเชื่อว่าเจ้าหมอนั่นคงไม่มีโอกาสและเวลาพูดคุยอะไรกับหลิวเยี่ยนมากนัก หลายปีมานี้ผมคอยลองเชิงตลอด ถึงหลิวเยี่ยนจะรำคาญผมเต็มทีแต่ก็ไม่ได้ดูแค้นฝังใจ…เธอจับตามองพวกยมราชตลอด”
“งั้นก็ดี!”
ประธานอาวุโสเฉียวกรุ๊ปพยักหน้า หากไม่จำเป็นเขาเองก็ไม่อยากต่อกรกับหลิวเยี่ยนง่ายดายนัก
นั่นเป็นถึงรองหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการของกองตรวจการณ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์บางอย่างกับหลิวหลง
หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่กลับไม่ใช่เรื่องดีอะไร
หากเกิดเรื่องกับผู้ตรวจการณ์ทั่วไปยังพอช่างมันได้ แต่หลิวเยี่ยนไม่ธรรมดา อีกฝ่ายเป็นถึงผู้บังคับการตรวจตรา หากผู้บังคับการตรวจตราตายไปสักคน ต่อให้ผู้พิทักษ์รัตติกาลจะมีพลังไม่มากพอก็ต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้แน่นอน
สามีของเธอเสียชีวิตแต่นั่นไม่ใช่ผู้บังคับการตรวจตราของกองตรวจการณ์เสียชีวิตสักหน่อย ผู้พิทักษ์รัตติกาลย่อมคร้านจะยุ่งเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างเธอกับยมราชอยู่แล้ว มากสุดก็แค่ประกาศตามล่าผู้กระทำผิด
เฉียวเผิงเห็นคุณพ่อไม่พูดไม่จาเลยกระซิบเสียงเบา “คุณพ่อ ช่วงนี้มีคนติดตามเมืองหยินมากขึ้นเรื่อยๆ ทางนั้น…ส่งคนมาหรือยังครับ เราเองก็มีความคืบหน้าช้ามาก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปผมกลัวว่าความจะแตก”
“ไม่ต้องรีบ!”
ประธานอาวุโสเฉียวยิ้ม “รีบไปไม่ใช่เรื่องดี เราตั้งรกรากอยู่ที่นี่หลายปี ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นๆ จะเทียบได้ อีกอย่างช่วงนี้ทางฝั่งนั้นอย่าเพิ่งมีความเคลื่อนไหวใด เพื่อเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตาใคร รออีกหน่อยค่อยว่ากัน”
“ครับ!”
เฉียวเผิงหยักหน้ารับ
ผู้เฒ่าเฉียวมองเขาครู่หนึ่ง พลันก็เอ่ยขึ้นว่า “ต่อหน้าคนแกล้งโง่หน่อย แกล้งซื่อหน่อยไม่เป็นไร แต่ประเด็นเวลาสำคัญอย่าโง่จริงๆ! ทางฝั่งยมราช หลานของยมราชนั่นต่างหากที่โง่จริงๆ! ถูกผู้คนเยินยอปอปั้นจนลืมตัว ใจกล้าถึงขนาดขโมยสมบัติชิ้นสำคัญไปโอ้อวด…สมองกลวง! คนตายไปก็ช่าง ยังเดือดร้อนไปทั้งยมราช แกอย่าเลียนแบบมันเชียวล่ะ!”
เฉียวเผิงทำหน้าจริงจัง “คุณพ่อวางใจได้!”
“อืม!”
ผู้เฒ่าเฉียวพยักหน้า “งั้นก็ดี ตลอดหลายปีมานี้คอยข่มไม่ให้แกก้าวสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติก็อย่าโกรธกันเลย พลังเหนือธรรมชาติเพิ่งพัฒนาได้ยี่สิบปี ก่อนหน้านี้สถานการณ์ไม่ค่อยคงที่เท่าไร แต่ตอนนี้…บางทีอาจจะคงที่แล้ว รอเรื่องนี้ผ่านพ้นไปแกค่อยเลื่อนขั้น ถึงตอนนั้นคงไม่ใช่แค่ลำดับจันทราทมิฬล่ะ”
เฉียวเผิงทำหน้าดีใจรีบพยักหน้ารัวๆ
นี่ก็เป็นสิ่งที่เขารอคอยมาตลอด!
หลายปีมานี้เขาไม่ได้เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติสักที ด้านหนึ่งเพราะไม่อยากทำตัวเด่นเกินไป อีกด้านเพราะมีคุณพ่อคอยข่มอยู่ไม่ให้เขาได้เลื่อนขั้น
เขาอดเอ่ยไม่ได้ “พ่อครับ แล้ว…หลังจากผมเลื่อนขั้น สามารถขอบางสิ่งจากในนั้น…”
“หุบปาก!”
ผู้เฒ่าเฉียวทำหน้าเย็นชา “เมื่อกี้เพิ่งเตือนแกไปก็ลืมแล้วเหรอ เจ้าโง่! ลืมเรื่องนี้ไปซะ ลืมเรื่องอื่นๆ ไปให้หมด จำเอาไว้เราเป็นแค่บริษัทแห่งหนึ่งที่ทำกิจการเกี่ยวกับเหมืองแร่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เรื่องอื่นแกลืมไปให้หมด!”
“รับทราบครับ!”
เฉียวเผิงทำหน้าตึงเครียดไม่กล้าพูดอะไรอีก
ในใจกลับแอบคาดหวังบางอย่าง ทั้งตื่นเต้นลิงโลดและไม่พอใจปะปนกันไป…พยายามมาตั้งหลายปี คุณพ่อคิดจะเอาของพวกนั้นให้คนอื่นไปง่ายๆ หรือ
แต่แน่นอนว่าทางยมราชจะมีเรื่องด้วยไม่ได้
ทว่าทางนี้ค้นพบเจออะไร ทางนั้นก็ใช่ว่าจะรับรู้
เขตพื้นที่ภาคกลางถ่วงพลังพวกเขาไว้มากเหลือเกิน
หากไม่อย่างนั้น ชาดจันทราก็ดี ยมราชก็ช่าง เกรงว่าคงมีผู้แข็งแกร่งโผล่มาตั้งนานแล้ว
ความลับของแปดตระกูลใหญ่ดูจะมีความลึกลับมากกว่าที่คิดเอาไว้
ในฐานะงูประจำถิ่นที่ตั้งรกรากอยู่เมืองหยินมาหลายปี ข้อมูลข่าวสารส่วนหนึ่งที่อยู่ในมือเฉียวกรุ๊ป บางทีอาจจะเทียบชาดจันทราไม่ได้ แต่เฉียวกรุ๊ปก็ปิดบังอะไรไว้อยู่มาก
เฉียวเผิงขบคิดเรื่องพวกนี้พลางเดินออกไปจากห้องทำงานอย่างช้าๆ
กลางห้องทำงาน ผู้เฒ่าเฉียวมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ พักหนึ่งพลันก็พูดขึ้นว่า “แกระวังหน่อย เข้าใกล้หลี่ฮ่าวนั่นลองดูว่ามีจุดพิเศษอะไรหรือเปล่า…อย่าให้มันจับได้เชียว บางที…อาจต้องใช้เลือดของมันถึงจะเปิดที่แห่งนั้นได้”
“มีคนจับตามองเขาอยู่มากเกินไป!”
มีเสียงคนตอบกลับประโยคหนึ่งจากในที่มืด
“ฉันรู้ ถึงได้ให้ลอบสังเกตตอนที่มันมา แต่ไม่ได้จะทำอะไรตอนนี้”
ผู้เฒ่าเฉียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอิดโรย “หลายสิบปีผ่านมาแล้ว หากจะให้ฉันยอมแพ้ไปแบบนี้ฉันทำใจไม่ได้…ถึงฉันจะรู้ว่าทำไปจริงๆ ก็เหมือนขโมยเกาลัดจากเตาไฟ[1]…แต่อย่าลืมว่าพลังเหนือธรรมชาติเพิ่งพัฒนาได้ยี่สิบปี ใช่ว่าจะก้าวตามไม่ทัน! ถ้าพัฒนาไปนับร้อยปีเกรงว่าฉันคงจะไม่มีความคิดพวกนี้แล้ว”
ยี่สิบปี องค์กรพลังเหนือธรรมชาติเปลี่ยนโฉมใหม่ไปเรื่อยๆ บางองค์กรเพิ่งก่อตั้งวันนี้พรุ่งนี้ก็หายสาบสูญไปแล้ว
ทุกอย่างยังไม่คงที่!
ต่อให้เป็นองค์กรใหญ่ทั้งสามก็ใช่ว่าจะมั่นคงเสียทีเดียว
เวลานี้ทุกอย่างยังมีความเป็นไปได้
ผู้เฒ่าเฉียวไม่ได้มีความทะเยอทะยานมากขนาดที่จะคานอำนาจสามองค์กรใหญ่ได้ เขาแค่หวังว่าตนจะได้ผลตอบรับที่คุ้มค่ากับเวลาหลายสิบปีที่ทุ่มเทไป
“เข้าใจแล้ว!”
เสียงในที่มืดหายไป
ผู้เฒ่าเฉียวนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างต่อ
แปดตระกูลใหญ่…
เมืองหยิน!
เกรงว่าทุกคนจะดูถูกเมืองหยินและดูถูกแปดตระกูลใหญ่มากไปหน่อย จากข้อมูลข่าวสารที่เขาล่วงรู้บางส่วนยังรับรู้ได้ว่าแปดตระกูลใหญ่ในยุคอารยธรรมโบราณนั้นอยู่เหนือเกินกว่าที่คาดไว้มาก!
บางทีเมืองหยินในเวลานั้นอาจจะเป็นถึงแกนกลางสำคัญของอาณาจักรอันกว้างใหญ่ด้วยซ้ำ!
ตระกูลเฉียวจะผงาดขึ้นได้หรือไม่ บางทีก็ขึ้นอยู่กับทุกอย่างนี้แล้ว
……………………………………………………………….
[1] สุภาษิตจีน เปรียบเปรยผู้ที่ทำอะไรสูญเปล่า