ตอนที่ 52-3 อิทธิพลมืดในเมืองหยิน (3)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 52 อิทธิพลมืดในเมืองหยิน (3)

หลี่ฮ่าวเสนอ “ตอนนี้มีบริษัทบางส่วน รวมถึงคนใหญ่คนโตมีความสามารถบางอย่าง ความจริงลับหลังอาจจะใช้ของนอกกายแลกพลังลี้ลับตามตลาดมืด ผู้พิทักษ์รัตติกาลหรืออาจจะเป็นองค์กรพลังเหนือธรรมชาติอื่นๆ…นี่ต่างหากคือเหตุผลที่ทำไมเมืองหยินถึงมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติถือกำเนิดขึ้นส่วนหนึ่ง”

“ความคิดของผมคือ เราจะ…”

เขายังพูดไม่ทันจบ หลิวหลงก็ขัดขึ้นทันที “ไม่ได้!”

หวังหมิงที่อยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “จะสนับสนุนวิธีการแบบนี้ไม่ได้ คุณอยากได้พลังลี้ลับเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่จะสนับสนุนการแลกซื้อสินค้าของพวกเขาในที่ลับไม่ได้ แต่ถึงขั้นให้ผู้พิทักษ์รัตติกาลอนุมัติ! แบบนี้มันจะหลุดการควบคุมได้ง่าย เดิมทีทุกคนยังแอบทำกันอย่างลับๆ ล่อๆ พอคุณเปิดตัวสนับสนุนเมื่อไรก็จะสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น หลี่ฮ่าว คุณต้องรู้ว่ามีคนบางส่วนทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์! ความมืดก็คือความมืด ถ้าความมืดกลายเป็นความสว่างเมื่อไรก็ยากที่จะรักษากฎเกณฑ์ไว้ได้อีก!”

หลี่ฮ่าวคิดตามก็พยักหน้าไม่พูดอะไรต่อ

เขามีความคิดนี้จริงๆ คิดจะใช้ช่องทางเหล่านี้ไปแลกพลังลี้ลับมากกว่านั้น

แต่ที่ทั้งสองพูดมาก็มีเหตุผลดี เขาจึงไม่ยืนกรานความคิดเดิมอีก หากหลุดการควบคุมเมื่อไรเมืองหยินก็จะเดือดร้อนแน่นอน

หลิวหลงเองก็ไม่พูดอะไรมากกว่านั้น “ผมจะแจกใบประกาศไปยังทุกบ้าน! หากสามารถมารายงานตัวได้จะเป็นเรื่องดีที่สุด ถ้าไม่ได้…ก็ต้องทำให้เกรงกลัวในอำนาจบ้าง! หลายปีมานี้ภายในของเมืองหยินยังมีปัญหาค้างคาอยู่ส่วนหนึ่ง มีคดีปริศนาบางส่วนที่หลี่ฮ่าวก็รู้ดีว่ายังตามตัวฆาตกรไม่เจอ บางทีอาจจะเป็นฝีมือของคนเหล่านี้ เสียดายที่เก็บกวาดสะอาดสะอ้านจนเราหาหลักฐานไม่พบ”

“ตอนนี้จัดระเบียบเมืองหยินก่อนสักรอบ หากเกิดปัญหาอีกก็คงหาตัวได้ง่ายขึ้น”

หลี่ฮ่าวเสนอตัว “ลูกพี่ ผมขอเป็นคนแจกใบประกาศเพื่อแสดงความจริงใจ!”

“คุณเหรอ”

หลี่ฮ่าวพยักหน้ารับ

นี่เป็นโอกาสอันดี เป็นโอกาสที่จะได้ทำความเข้าใจว่าเมืองหยินมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่เท่าไรกันแน่ เพราะเขาสามารถเห็นมันได้

ใช่แล้ว พลังแสง!

ขอเพียงเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเขาก็จะมองเห็นแสงสว่าง ต่อให้เป็นแสงดาราก็ดี จันทราทมิฬก็ช่าง ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งสังเกตเห็นได้ง่าย ได้ผลกว่าเครื่องตรวจจับพลังเหนือธรรมชาตินั่นมากโข

ขอบเขตการตรวจจับของเครื่องตรวจจับพลังเหนือธรรมชาติยังแคบเกินไป อีกทั้งหากอำพรางคลื่นพลังลี้ลับนี้ได้ก็ตรวจจับไม่ได้อีกต่างหาก แม้ผู้อ่อนแอจะอำพรางยากแต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้

ในเมื่อตัดสินใจอยู่เมืองหยินก่อนชั่วคราว หลี่ฮ่าวก็หวังว่าจะเข้าใจสถานการณ์ของเมืองหยินได้เป็นอย่างดี

จะได้รู้ไปในตัวว่าเมืองหยินมีผู้แข็งแกร่งหลบซ่อนอยู่มากแค่ไหน

ใช่แล้ว เขามั่นใจว่าจะต้องมี

โดยเฉพาะเมื่อเรื่องของชาดจันทรากับแปดตระกูลใหญ่ถูกเปิดโปง ไม่แน่ช่วงนี้อาจจะมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหยินไม่น้อย

นอกจากนี้ยังฉวยโอกาสนี้สืบเรื่องกิจการเหมืองแร่ของเฉียวกรุ๊ปได้ด้วย

นี่เป็นหนึ่งในหกบริษัทใหญ่ของเมืองหยิน ในสถานการณ์ทั่วไปหลี่ฮ่าวคงไม่มีเหตุผลและข้ออ้างใดไปติดตาม แต่ตอนนี้กลับเป็นโอกาสอันดี

หลิวหลงชั่งใจครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ได้! ต้องการความช่วยเหลือจากเราไหม”

“ต้องการครับ รองหัวหน้าหวังไปด้วยกันกับผมเถอะ!”

หลี่ฮ่าวฉีกยิ้ม “เขาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาจากเมืองไป๋เยวี่ย เป็นบุคคลใหญ่โต คนทั่วไปย่อมไม่กล้าปฏิเสธเขาแน่นอน! หากเขาปรากฏตัวก็จะแสดงให้เห็นความจริงใจกับความแน่วแน่ของเราด้วย นอกจากว่าอยากแตกหักกับผู้พิทักษ์รัตติกาล ไม่งั้นก็ควรเชื่อฟังคำสั่ง!”

“ก็ดีเหมือนกัน!”

หวังหมิงทำท่าอึกอัก เขาไม่อยากไป

ให้ตายสิ!

หลี่ฮ่าวจะรั้นลากเราไปเอี่ยวด้วยทำไมกัน

หูฮ่าวกับหลี่เมิ่งก็อยู่นี่เหมือนกันไม่ใช่หรือ

พวกเขาสองคนก็มาจากเมืองไป๋เยวี่ยเหมือนกันนะ

หวังหมิงเหนื่อยใจเหลือเกิน มาที่นี่ เขาไม่อยากทำงานอะไรเลยจริงๆ พวกหลิวหลงจะทำอะไรก็ตามใจเลย ตอนนี้กลับลากตนไปเอี่ยวด้วยทุกเรื่อง

……

หลังจบการประชุม

หลี่ฮ่าวฉุดแขนหวังหมิงเดินไปข้างนอกด้วยกัน

หวังหมิงทำท่าไม่ยินยอมเท่าไร อดถามไม่ได้ว่า “หลี่ฮ่าว เรื่องเล็กแบบนี้คุณหาใครสักคนไปด้วยก็พอ จะมาหาผมทำไม”

“ผู้มีความสามารถมักลำบาก!”

หลี่ฮ่าวหัวเราะทีหนึ่งก็กดเสียงต่ำพูดว่า “เหล่าหวัง อยากทำผลงานแล้วรีบกลับเมืองไป๋เยวี่ยเร็วๆ ไหม”

หวังหมิงแววตาวูบไหว “ทำผลงานยังไง”

“อย่างเช่นตามหาความลับของแปดตระกูลใหญ่แห่งเมืองหยินจนเจอ หรือหาแหล่งกบดานซ่อนตัวของสามองค์กรใหญ่ของที่นี่ หรือตามล่าหานักโทษหนีความผิดบางส่วน แล้วก็เลื่อนขั้นเป็นสุริยะพราย…วิธีมีเยอะเหลือเกิน”

“เรื่องนี้เกี่ยวกับที่คุณลากผมไปแจกใบประกาศเหรอ”

“เกี่ยวสิ!”

หลี่ฮ่าวยิ้มพยักหน้า “แบบนี้เราถึงจะรู้เรื่องความลับของเมืองหยินได้มากขึ้นไง! วันๆ เอาแต่นั่งอยู่ในห้องทำงาน หรือว่าจะรอเบาะแสปรากฏตัวเองงั้นเหรอ เหล่าหวัง พวกเรายังหนุ่มยังแน่น ผมเองก็อยากเลื่อนตำแหน่งเร็วๆ ฉะนั้นมาช่วยกันเถอะ”

หวังหมิงเริ่มใจอ่อน ผ่านไปพักใหญ่ก็ฝืนพยักหน้าตอบรับไป “ก็ได้!”

หลี่ฮ่าวยิ้ม รู้แล้วเชียวว่าหมอนี่หัวอ่อนโน้มน้าวง่าย

ถ้าสถานการณ์เป็นใจ ความจริงเขาอยากไปสำรวจดูเขตเขาเหมืองแร่ของเฉียวกรุ๊ปด้วยซ้ำ

เพราะหลิวเยี่ยนบอกแล้วว่าเหมือนจะมีการค้นพบบางอย่างที่เขาเหมืองแร่ เขาเหมืองแร่ของเฉียวกรุ๊ปอยู่แถบชานเมืองซึ่งไม่ไกลจากเมืองมากเท่าไรนัก เห็นบอกว่าขุดเหมืองมาตลอดและดูจะขุดมาหลายปีแล้ว คล้ายจะเป็นแหล่งซ่อนแร่ธาตุบางอย่าง

แต่ธุรกิจใหญ่โตอย่างเฉียวกรุ๊ปมาขุดเหมืองบนเขาเล็กๆ แบบนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ได้กำไร แต่กำไรที่ได้ไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้

มีคนบอกว่าเฉียวกรุ๊ปชอบตอบแทนบ้านเกิด ขณะที่ขุดเหมืองแร่ที่เมืองหยินก็จะสร้างโอกาสการทำงานแก่ชาวเมืองหยินมากขึ้น รวมถึงจ่ายภาษีแก่เมืองหยินมากขึ้นตามไปด้วย หลี่ฮ่าวกลับไม่สนใจนัก นักธุรกิจเห็นแก่ผลประโยชน์กันทั้งนั้น เฉียวกรุ๊ปจะใจดีขนาดนี้ได้หรือ

แต่สถานีแรกจะไปเยือนเฉียวกรุ๊ปเลยก็ไม่ได้

……

ตกบ่าย

หลี่ฮ่าวกับหวังหมิงยังอยู่ด้วยกัน ครั้งนี้หวังหมิงเป็นคนขับรถ ซึ่งต่อให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้หลี่ฮ่าวขับรถเด็ดขาด

เพราะหากให้เจ้าหมอนี่ขับรถ แม้แต่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างเขาก็ยังรับไม่ได้

“ไปไหนก่อน”

“กู่ย่วนเมืองหยิน!”

หลี่ฮ่าวหัวเราะออกเสียง “นั่นเป็นมหาวิทยาลัยผมเชียวนะ ถึงผมจะลาออกมาแล้วแต่ผมก็อยากกลับไปดูสักหน่อยว่ากู่ย่วนมีความสามารถขนาดไหน ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนศาสตราจารย์ออกไปข้างนอก ทีมรปภ.ของกู่ย่วนจะเป็นผู้รับผิดชอบความปลอดภัยเอง”

กู่ย่วนน่าจะมีความสามารถอยู่บ้าง

ไม่นับอาจารย์ หลี่ฮ่าวคิดว่าบางทีอาจจะมีผู้แข็งแกร่งคุมอยู่ด้วย

ทางฝั่งกู่ย่วนหลักๆ ก็คือเขตคณะตามรอยอารยธรรมโบราณ แต่ก็มีคณะสำคัญอื่นๆ อยู่ไม่น้อย ครั้นที่หลี่ฮ่าวยังเรียนอยู่กู่ย่วนเคยแอบได้ยินข่าวมาว่าทางกู่ย่วนก็มีการบุกเบิกสำรวจด้านอื่นๆ เกี่ยวกับอารยธรรมโบราณเช่นกัน

……

ณ​ กู่ย่วนเมืองหยิน

หลี่ฮ่าวคุ้นเคยกับที่นี่อย่างมาก

ครั้งนี้เขามาด้วยเรื่องงาน

ห้องทำงานของรองอธิการบดี

รองอธิการบดีผมขาวโพลนเต็มหัว เมื่อได้ยินจุดประสงค์การมาเยือนของหลี่ฮ่าวก็เอ่ยอย่างปลื้มใจว่า “เมื่อก่อนตอนเธอเรียนอยู่กู่ย่วนแล้วลาออกกลางคัน ฉันยังแอบเสียดาย ไม่คิดว่าเธอเข้าไปทำงานกองตรวจการณ์จนสร้างอนาคตให้ตัวเองได้ แบบนี้ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว”

“ทางกู่ย่วนมีหน่วยอารักขาอยู่จริงๆ ความจริงเรื่องนี้อาจารย์ของเธอรู้ดีที่สุด ถึงขั้นมีคนบางส่วนเคยได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ของเธอด้วย”

รองอธิการบดีผมขาวพูดอีกว่า “นี่ก็ไม่มีอะไรน่าปิดบัง เมื่อก่อนเมืองหยินไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนอะไร เราเลยไม่ได้รายงานตัว ในเมื่อครั้งนี้ต้องรายงานตัว งั้นฉันก็จะให้หัวหน้าเฉินที่เป็นหัวหน้าหน่วยอารักขามา พวกเธอคุยกันเองก็พอ”

หลี่ฮ่าวพยักหน้า หัวหน้าเฉินคนนั้นความจริงเขาเองก็รู้จัก

ทว่าในเมื่อมาด้วยเรื่องงานก็แจ้งทางกู่ย่วนก่อนดีกว่า

รองอธิการบดีโทรไปบอกไม่นาน…สักพักก็มีชายร่างสูงใหญ่ราวกับหมีเดินมา

เมื่อเห็นหลี่ฮ่าวก็ยิ้มน้อยๆ พอเห็นหวังหมิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“หัวหน้าเฉิน!”

หลี่ฮ่าวยิ้ม “รบกวนด้วยนะครับ ครั้งนี้เรามาเพราะหน่วยงานสาขาย่อยของผู้พิทักษ์รัตติกาลก่อตั้งที่เมืองหยินแล้วเลยจำเป็นต้องมีการขึ้นทะเบียนรายงานตัวของผู้มีความสามารถพิเศษภายในเขตเมือง พร้อมกับเรียนเชิญผู้มีความสามารถพิเศษไปเข้าร่วมพิธีเปิดอาคารหน่วยงานสาขาย่อยของผู้พิทักษ์รัตติกาลในอีกสามวันข้างหน้าด้วยครับ!”

เขาอธิบายไปตรงๆ แล้วก็หัวเราะกล่าว “กู่ย่วนเป็นสถานที่ที่ผมคุ้นเคยที่สุด สถานีแรกที่เรามาก็คือกู่ย่วน ผมเชื่อว่ามีหัวหน้าเฉินอยู่คงให้ความร่วมมือเราเป็นอย่างดี”

หัวหน้าเฉินหยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว!”

ว่าแล้วก็มองหวังหมิงแวบหนึ่ง “ท่านนี้คือ”

“คนใหญ่คนโตมาจากเมืองไป๋เยวี่ย รองหัวหน้าหน่วยหวัง หวังหมิง!”

หวังหมิงหมดคำจะพูด เจ้าหลี่ฮ่าวเห็นใครก็แนะนำแบบนี้ไปทุกทีว่าเป็นคนใหญ่คนโตจากเมืองไป๋เยวี่ย…กลัวคนอื่นไม่รู้ว่าตนเป็นคนใหญ่คนโตหรือไง

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ!”

หัวหน้าเฉินพยักหน้ารับแต่ไม่ได้ยื่นมือมาจับทักทาย ในเมื่อระหว่างผู้แข็งแกร่งเว้นระยะห่างไว้บ้างจะดีกว่า

…………………………………………………………………………….