ตอนที่ 52-2 อิทธิพลมืดในเมืองหยิน (2)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 52 อิทธิพลมืดในเมืองหยิน (2)

หลี่ฮ่าวหัวเราะคิกคักกล่าว “ถ้าเป็นแค่การสร้างความน่ายำเกรงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้ที่ลูกพี่ลงมือความจริงก็เห็นผลแล้วนะ พวกเขาไม่มีทางไม่รู้ว่าลูกพี่ฆ่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไปถึงสามคน!”

เพียงเพื่อสร้างความน่ายำเกรง ความจริงไม่ใช่เรื่องจำเป็นเท่าไร

หลิวหลงตอบเสียงนิ่ง “ไม่ใช่แค่สร้างความน่ายำเกรง แต่ยัง…มีกลุ่มอิทธิพลบางส่วนที่ทำแต่เรื่องสกปรก! ก่อนหน้านี้ไม่มีความสามารถย่อมไม่มีเหตุผลที่จะจัดระเบียบใหม่ แต่ตอนนี้เราเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลจึงมีสิทธิ์ในการกำจัดเซลล์มะเร็งก้อนนี้ทิ้ง!”

ว่าแล้วเขาก็เลือกตอบตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม “มีอีกประเด็นหนึ่งก็คือหาเงินพิเศษ! ฆ่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ทำผิดกฎหมาย ช่วงชิงพลังลี้ลับของพวกเขาไป นี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นรอเบื้องบนจัดสรรงบประมาณมาให้อย่างเดียว ซึ่งทางกองบัญชาการใหญ่ของผู้พิทักษ์รัตติกาลกำหนดให้พลังลี้ลับเมืองหยินเราแค่เดือนละสิบลูกบาศก์! ผู้บัญชาการลาดตระเวนเมืองสามลูกบาศก์ ผู้บังคับการตรวจตราหนึ่งลูกบาศก์ ผู้ตรวจการณ์ครึ่งลูกบาศก์ ที่เหลือก็จัดการแบ่งกันเอาเอง”

ทีมผู้พิทักษ์รัตติกาลมีเก้าคน โดยมีผู้บัญชาการลาดตระเวนเมืองหนึ่งคน ผู้บังคับการตรวจตราสามคนคือหลี่ฮ่าว หลิวเยี่ยนกับหวังหมิง ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นแค่ผู้ตรวจการณ์รวมถึงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสองคน แถมเป็นแค่ผู้ตรวจการณ์ระดับหนึ่งอีกต่างหาก

จากเงินเดือนที่ทางเบื้องบนกำหนดให้ หนึ่งเดือนแค่แปดจุดห้าลูกบาศก์ก็พอ แต่ให้มาสิบลูกบาศก์ไม่ถือว่าน้อยเลย

หากคำนวณจากเงินจริงๆ เงินในแต่ละเดือนของหลี่ฮ่าวสูงถึงหลักล้านทีเดียว!

แน่นอนว่านั่นเป็นราคาของตลาดมืด

ไม่ว่าอย่างไรการได้พลังลี้ลับหนึ่งลูกบาศก์ในแต่ละเดือนความจริงไม่น้อยแล้วจริงๆ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่มีผู้คนใฝ่ฝันอยากเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลอยู่นับไม่ถ้วน

แต่สำหรับหลิวหลงมันน้อยเกินไป

ถ้าเป็นแต่ก่อนสามลูกบาศก์เขาคิดว่ายังพอใช้ได้ แถมยังได้รับอย่างต่อเนื่อง หนึ่งปีได้สามสิบหกลูกบาศก์ก็เยอะมากแล้ว

แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันไม่พอ

เพราะทุกคนแข็งแกร่งขึ้น อย่างหลิวเยี่ยนได้เดือนละหนึ่งลูกบาศก์เธอเองก็ไม่พอใช้สักนิด ในฐานะปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อย พลังลี้ลับแค่นี้อย่าว่าแต่จะเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเลย แค่เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ร่างกายยังยาก

ดังนั้นเขาต้องการพลังลี้ลับที่มากกว่านี้

ถ้อยคำเถรตรงเช่นนี้เรียกให้พวกหวังหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

หลิวหลงบอกให้ฆ่าคนเพื่อช่วงชิงพลังลี้ลับมาโดยตรง นี่มัน…ออกจะโหดเหี้ยมเกินไปหน่อย ผู้แข็งแกร่งที่นี่เป็นรูปแบบนี้กันหมดเลยหรือ

หลี่ฮ่าวกลับไม่สนใจเรื่องนี้ คิดๆ แล้วก็กล่าว “แบบนี้ก็จะตกอยู่ในอันตรายกันได้ทุกคน! ผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่ได้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน เมื่อไรที่เราบีบบังคับให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอื่นๆ ต้องซบอกองค์กรพลังเหนือธรรมชาติอื่นๆ เราก็ถือว่าทำผิดหน้าที่กันแล้ว”

หลิวหลงขมวดคิ้ว

เมื่อก่อนเขาเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง ตอนนี้หลี่ฮ่าวหมายความว่าอย่างไร กำลังคัดค้านข้อเสนอของตนอย่างนั้นหรือ

บอกตามตรงเขาแค่มาแจ้งให้ทราบ ทุกคนทำตามที่เขาสั่งก็พอ เขาไม่ชอบให้ใครเถียงและเคยชินกับวิธีการทำงานแบบนี้แล้ว ต่อให้อีกฝ่ายเป็นหลี่ฮ่าวก็ไม่ได้เหมือนกัน

หลี่ฮ่าวเหมือนรู้ว่าหลิวหลงไม่พอใจจึงยิงฟันยิ้มใสซื่อให้อีกฝ่าย “จุดประสงค์หลักของลูกพี่ ความจริงก็ทำเพื่อความปลอดภัยของเมืองหยิน อย่างน้อยก็ไม่เกิดปัญหาภายใน”

หลิวหลงพยักหน้า

“ฉะนั้นผมคิดว่าก็ควรเจรจาก่อนค่อยใช้กำลังทีหลังนะครับ!”

หลี่ฮ่าวเสนอ “ส่งใบประกาศแจ้งไปยังทุกบ้านเพื่อเรียนเชิญปรมาจารย์นักรบ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนในเมืองมายังหน่วยงานผู้พิทักษ์รัตติกาลแล้วรายงานตัว จากนั้นก็แจกบัตรอนุญาตผ่านทางพิเศษให้แต่ละคนไป! ผู้ที่ถือบัตรอนุญาตผ่านทางพิเศษที่ทางเราแจกให้ก็สามารถทำกิจกรรมเคลื่อนไหวภายในเมืองได้อย่างอิสระ เพราะพวกเขามีพลังทำลาล้างที่รุนแรง ดังนั้นต้องดูแลถึงจุดนี้ แค่นี้คนที่ไม่ชอบสร้างเรื่องคิดว่าคงไม่มีปัญหา”

“ผมเห็นว่าเมืองไป๋เยวี่ยก็เหมือนจะทำอย่างนี้เหมือนกันใช่ไหม”

หลี่ฮ่าวมองไปยังหวังหมิง หวังหมิงพยักหน้าเบาๆ “ใช่ แต่เมืองไป๋เยวี่ยมีผู้แข็งแกร่งเยอะ ขอแค่ผู้แข็งแกร่งบางส่วนไม่ทำอะไรเกินไปกว่าเหตุ ผู้พิทักษ์รัตติกาลก็จะไม่สนใจ ขอแค่ไม่สร้างความปั่นป่วนในเมืองก็พอ”

หลี่ฮ่าวยิ้มกล่าว “นี่บ่งบอกว่าวิธีนี้ก็ใช้ได้ผลมาก! สร้างกฎระเบียบให้กับผู้แข็งแกร่งของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ! เพียงแต่เมื่อก่อนเมืองหยินเล็กเกินไปเลยยังไม่มีองค์กรราชการอย่างเป็นทางการ เมืองหยินเลยไม่ได้ทำสักที ครั้งนี้ผมขอเสนอให้เริ่มปฏิบัติการอย่างเป็นทางการเถอะครับ!”

หลิวหลงมองเขา เงียบไปพักหนึ่งก็ปริปากกล่าว “พูดต่อ!”

“คนที่มารายงานตัว มีบัตรอนุญาตผ่านทางก็ย่อมปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ที่ไม่มี…ก็คือผู้ลักลอบเข้าเมือง ถือว่าเป็นผู้ที่มีเจตนาแอบแฝง พอถึงตอนนั้นเราก็มีเหตุผลในการออกปฏิบัติการอย่างถูกต้องแล้ว!”

หลิวหลงขมวดคิ้ว “เกินความจำเป็น! แน่นอนว่าผมไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดี แค่คิดว่ามันไม่จำเป็น!”

หลี่ฮ่าวยิ้มกล่าว “ลูกพี่ เราเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการ ไม่ใช่สมาชิกองค์กรพลังเหนือธรรมชาตินอกกฎหมาย เราต้องยึดศีลธรรมคุณธรรมและกฎหมายเป็นหลักในการตัดสินและพิพากษา เราจะปฏิบัติตนเหมือนผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินอกรีตไม่ได้นะครับ!”

รูปแบบการทำงานของหลิวหลงออกจะดิบเถื่อนไปสักหน่อย

เมื่อก่อนไม่ใช่ปัญหาเพราะอดีตทีมล่าปีศาจเป็นแค่องค์กรที่ไม่ใช่องค์กรรัฐ ตอนนี้ต่างจากเดิมแล้ว ทุกคนกลายเป็นคนของทางการกันหมดแล้ว

จึงทำแบบเดิมอีกไม่ได้!

หลี่ฮ่าวที่เล่าเรียนอยู่ในกู่ย่วนมาไม่กี่ปีและเรียนกับหยวนซั่วมาหลายปี เขารู้ดีว่าบางทีการปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบกฎหมายจะหลีกเลี่ยงปัญหาได้ไม่มากก็น้อย

ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของกฎหมายเพื่อใช้พิพากษา!

ไม่ใช่ปล่อยให้คนอื่นจับจุดอ่อนได้…ในเมื่อเมืองหยินยังมีความสามารถในระดับปานกลาง ดังนั้นจึงต้องการระดับที่เหนือกว่าในการหนุนหลัง ที่นี่ไม่ใช่ประเทศที่เป็นเอกราชในการปกครอง ถ้าเป็นแบบนั้นคงทำอะไรตามอำเภอใจได้

เมืองหยินกับเมืองไป๋เยวี่ยไม่ได้แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง คนใหญ่คนโตของเมืองหยินบางส่วนก็พอมีสิทธิ์มีเสียงที่เมืองไป๋เยวี่ยอยู่บ้าง

“นอกจากนี้ผมเชื่อว่าคนส่วนมากยังมีความเที่ยงธรรมในใจ!”

หลี่ฮ่าวพูดอีก “ความหมายของลูกพี่คือชิงเปิดแล้วก็ฆ่าเลย! มันโหดร้ายเกินไปและป่าเถื่อนเกินไป แบบนั้นจะทำให้คนเมืองหยินไม่สบายใจเอาได้ ตอนนี้ผมคิดว่ายังไม่ใช่เวลา เราสามารถหยุดยั้งความเสียหายได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนลงมือเองซะทีเดียว”

ไม่ลงมือเองหรือ

หลิวหลงมองไปทางหลี่ฮ่าวอีกครั้ง หลี่ฮ่าวอธิบาย “อย่างเช่นสำนักเลขาธิการมีปรมาจารย์นักรบหรือผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนหนึ่ง กู่ย่วนก็มี…อิทธิพลเหล่านี้หากว่ากันตามจริงแล้วเราเป็นพวกเดียวกันหมด! ผู้พิทักษ์รัตติกาลมีกฎข้อหนึ่ง ขอแค่เป็นเขตที่มีผู้พิทักษ์รัตติกาลอยู่ พลังเหนือธรรมชาติ ปรมาจารย์นักรบทั้งหมดต้องขึ้นตรงกับอำนาจของผู้พิทักษ์รัตติกาล เราสามารถจัดสรรปรมาจารย์นักรบ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติร่วมมือกันปราบผู้ละเมิดกฎหมายพวกนั้นได้!”

“แค่นี้ก็ช่วยแบ่งเบาภาระได้โดยที่ไม่ต้องมากองรวมกันอยู่ที่เราทั้งหมด”

“ไม่งั้นจะก่อให้เกิดการต่อต้านพลังเหนือธรรมชาติในเมืองหยินได้ง่าย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเราในการปักหลักที่เมืองหยินเลย!”

พูดถึงนี่เขาก็พูดเสริมอีกว่า “แน่นอนว่าทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับลูกพี่ ถ้าลูกพี่คิดว่าฆ่าเลยตรงๆ ดีกว่า ผมก็จะปฏิบัติตามคำสั่ง!”

หลิวหลงจมอยู่ในห้วงความคิด

หลิวเยี่ยนยิ้มเอ่ย “ลูกพี่ ต้องเปลี่ยนแนวคิดบ้างแล้ว เมื่อก่อนเราแอบทำเรื่องนี้กันทั้งนั้น…เลยไม่ชินหากจะทำอย่างโจ่งแจ้ง! แต่หลี่ฮ่าวพูดถูก เราเป็นคนของทางการ เป็นฝ่ายยุติธรรม จะทำตัวเหมือนพวกโจรไม่ได้!”

เฉินเจียนก็ยิ้มซื่อกล่าว “ลูกพี่ บางที…บังคับใช้กฎหมายโดยตรงอาจจะสะใจยิ่งกว่า! เมื่อก่อนตอนที่อยู่หน่วยปฏิบัติการ เราทำงานกันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ภายหลังพอทีมล่าปีศาจก่อตั้งสำเร็จ เราปักหลักกันอยู่ห้องชั้นใต้ดิน ความจริงมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผมมักรู้สึกว่าเราต่างหากที่เป็นพวกทำผิดกฎหมาย!”

ห้องชั้นใต้ดินถือเป็นแหล่งกบดานและต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืดอยู่ทุกวัน ความรู้สึกอย่างนี้…มันดูเป็นฝ่ายอธรรมจริงๆ

ปากบอกว่าดำรงเพื่อความเที่ยงธรรม ทั้งที่ความจริงบางทีก็ทำได้แค่ปลอบใจตัวเองเท่านั้น

พอหลี่ฮ่าวพูดขึ้นมาแบบนี้ พวกหลิวหลงก็แค่คิดตามไม่ทันชั่วขณะ ในเมื่อพวกเขาชินกับการทำแบบนี้ไปแล้วหลายปีแล้ว

แต่ลองคิดให้ละเอียด…ก็พานนึกถึงช่วงเวลาที่เคยปฏิบัติการอยู่หน่วยปฏิบัติการอย่างเปิดเผย หลิวหลงก็แอบเหม่อหน่อยๆ

ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดมาก่อน เพียงแต่ชินกับวิธีการทำงานท่ามกลางความมืดไปแล้วจริงๆ

แต่แล้วความจริงนี่ก็เป็นรูปแบบการทำงานของผู้พิทักษ์รัตติกาลเหมือนกัน

ผู้พิทักษ์รัตติกาล!

ความหมายตรงตามชื่อที่มักปรากฏในยามรัตติกาล พิทักษ์รัตติกาลต่างหากถึงจะเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาล ดังนั้นทุกคนจึงชินกับการทำอะไรลับๆ ล่อๆ ทว่าวันหนึ่งจู่ๆ หลี่ฮ่าวก็โพล่งมาว่าเราทำอย่างโจ่งแจ้งไปเลยสิ ไม่ใช่แค่หลิวหลง ความจริงพวกหวังหมิงเองก็แอบไม่ชินเสียด้วยซ้ำ

ครั้นเห็นหลิวหลงเงียบไปหลี่ฮ่าวก็เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “มีอีกประเด็นหนึ่งลูกพี่ ผมเสนอว่าผลักกลุ่มอิทธิพลของเมืองหยินไปเป็นฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดไม่ได้ หากทำลายบางส่วนเก็บไว้บางส่วนจะเป็นผลดีต่อเราให้คุมเมืองหยินได้ดียิ่งกว่า!”

“เราไม่ถูกกับฝ่ายอธรรม แต่ถ้ามีคนบางส่วนแค่ทำผิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ…อย่างเช่นแอบลักเล็กขโมยน้อยบ้าง ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติบางส่วนอาจเคยทำมาก่อน แต่เราก็ผ่อนปรนอย่างพอประมาณได้นี่นา”

หลิวหลงไม่พูดอะไร เขากำลังครุ่นคิดตาม

สักพักเขาก็มองหวังหมิง “รองหัวหน้าหวัง คุณคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

หวังหมิงพูดไม่ออก เขาจะคิดอะไรได้ล่ะ

เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้นและไม่คิดอะไรด้วย!

“ผมไม่มีความเห็นใด!”

หลี่ฮ่าวพูดต่อ “แล้วก็ผมมีข้อเสนอเล็กๆ อีกอย่าง”

“ว่ามา”

“ลูกพี่ก็รู้ว่าตอนนี้เราขาดแคลนพลังลี้ลับกันมาก ลำพังแค่ฆ่าคนจะช่วงชิงพลังลี้ลับได้เท่าไรเชียว”

…………………………………………………………………

นิยายเรื่องนี้เข้าร่วมโปรโมชั่นงานหนังสือ

เปิดม่านอ่านนิยาย

อัปเพิ่มต่อ +1

เพิ่มตอนจากปกติ เวลา 16.00 น. ตลอดช่วงแคมเปญ

15-28 ต.ค. 65 เท่านั้น!

ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

Ink Stone